วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 02:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 132 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2013, 13:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปรมนุตตรสุญญตา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปรมนุตตรสุญญตา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปรมนุตตรสุญญตา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แล้วเป็นสุญญตาไหม แล้วมันคืออะไร โฮฮับช่วยเขาหน่อย

อ้างคำพูด:
เมื่อสิบปีก่อน ระหว่างที่นั่งสมาธิอยู่
ทุกอย่างรอบตัวหายไป ตัวเราก็หายไป สัมผัสทั้งหมดหายไป

เป็นเวลานานเท่าไหร่ ก็ไม่รู้
แต่จู่ๆก็เกิด อารมณ์พลุ่งพล่าน ทั้ง โกรธ รัก เกลียด แทบทุกอย่าง ขึ้นมาพร้อมๆกัน
ก็เลย ตกใจออกจากสมาธิมา หลังจากนั้น ก็เลยไม่ได้นั่ง สมาธิอีกเลย
เคยมีใครเป็นแบบนี้ ไหม


ไม่แบบนี้สิ่คะ ดิฉันอยากรู้จากคุณกรัชกายมากกว่าค่ะ ก็คุณกรัชกายบอกเองว่าคุณโฮฮับไม่รู้ แสดงว่าคุณกรัชกายต้องรู้มากกว่า อย่าไปโยนให้คุณโฮฮับสิ่คะ โยนให้คนนั้นคนนี้ ไม่ไห้เกียรติดิฉันเลยนะคะ เห็นดิฉันเป็นตัวอะไรกันคะ ดิฉันน่ารำคาญมากเลยเหรอถึงได้จับโยนไปโยนมา เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา ไม่ยอมบอกยอมสอนดิฉันดีๆ ทั้งๆที่ตัวเองมีความรู้มากมาย หรือหวงความรู้หรือเปล่าคะ จึงไม่ยอมสอนดิฉันซักที



คุณพึงบอกกรัชกายก่อนว่า คุณเคยปฏิบัติกรรมฐานรูปแบบไหนมา เช่นตัวอย่างที่ถามก่อนหน้าครับ :b1:

แล้วคุณกรัชกายปฏิบัติแบบไหนคะ


เคยทำแบบใช้พอง-ยุบเป็นอารมณ์มาครับ :b1:

ก็พอไปกันได้กับอาณาปาณสตินะคะ


ขยายความหน่อยสิครับ คุณทำอานาปานสติยังไง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2013, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2013, 13:25
โพสต์: 41

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ปรมนุตตรสุญญตา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปรมนุตตรสุญญตา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปรมนุตตรสุญญตา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แล้วเป็นสุญญตาไหม แล้วมันคืออะไร โฮฮับช่วยเขาหน่อย

อ้างคำพูด:
เมื่อสิบปีก่อน ระหว่างที่นั่งสมาธิอยู่
ทุกอย่างรอบตัวหายไป ตัวเราก็หายไป สัมผัสทั้งหมดหายไป

เป็นเวลานานเท่าไหร่ ก็ไม่รู้
แต่จู่ๆก็เกิด อารมณ์พลุ่งพล่าน ทั้ง โกรธ รัก เกลียด แทบทุกอย่าง ขึ้นมาพร้อมๆกัน
ก็เลย ตกใจออกจากสมาธิมา หลังจากนั้น ก็เลยไม่ได้นั่ง สมาธิอีกเลย
เคยมีใครเป็นแบบนี้ ไหม


ไม่แบบนี้สิ่คะ ดิฉันอยากรู้จากคุณกรัชกายมากกว่าค่ะ ก็คุณกรัชกายบอกเองว่าคุณโฮฮับไม่รู้ แสดงว่าคุณกรัชกายต้องรู้มากกว่า อย่าไปโยนให้คุณโฮฮับสิ่คะ โยนให้คนนั้นคนนี้ ไม่ไห้เกียรติดิฉันเลยนะคะ เห็นดิฉันเป็นตัวอะไรกันคะ ดิฉันน่ารำคาญมากเลยเหรอถึงได้จับโยนไปโยนมา เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา ไม่ยอมบอกยอมสอนดิฉันดีๆ ทั้งๆที่ตัวเองมีความรู้มากมาย หรือหวงความรู้หรือเปล่าคะ จึงไม่ยอมสอนดิฉันซักที



คุณพึงบอกกรัชกายก่อนว่า คุณเคยปฏิบัติกรรมฐานรูปแบบไหนมา เช่นตัวอย่างที่ถามก่อนหน้าครับ :b1:

แล้วคุณกรัชกายปฏิบัติแบบไหนคะ


เคยทำแบบใช้พอง-ยุบเป็นอารมณ์มาครับ :b1:

ก็พอไปกันได้กับอาณาปาณสตินะคะ


ขยายความหน่อยสิครับ คุณทำอานาปานสติยังไง :b1:

ปรมนุตตรสุญญตา เขียน:
ผู้ที่สนใจในการปฏิบัติ รีบปฏิบัติเข้านะคะ อย่าติดนั่นติดนี่ ติดแม้กระทั่งอาจารย์ อย่าติดอะไรทั้งนั้น ปลดปล่อยออกให้หมด เอาอานาปานสติ เอาสติปัฏฐานสี่ เอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาอายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนาเป็นวัตถุดิบ เอาอนิจจัง อนัตตา มาพิสูจน์ แล้วจะเห็นสุญญตาเอง ปฏิบัติให้ต่อเนื่อง ทั้งในอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน จะนั่งรถเมล์ รถไฟ เครื่องบิน นอนบนที่นอนตรงไหน ก็ปฏิบัติตรงนั้น กินอาหาร เคี้ยวอาหาร อาบ ถ่าย ล้าง ทุกอย่าง ให้เอาองค์ภาวนาไว้ภายใน ในไม่ช้า ก็จะเกิดตัวรู้ขึ้นมาเอง รู้ธรรมนั้น ก็อย่ารู้มาเป็นกูผู้รู้อีก รู้ปล่อยรู้ จึงจะหมดกันได้

ตกลงจะสอนดิฉันได้หรือยังเอ่ย จะให้ดิฉันอ้างอิงมาให้อ่านอีกกี่รอบคะนี่ คุณกรัชกายไม่ได้อ่านที่ดิฉันโพสต์มาเลยตั้งแต่ต้น อย่างว่า คนไทยอ่านหนังสือไม่เกิน 3 บรรทัด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2013, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปรมนุตตรสุญญตา เขียน:


ผู้ที่สนใจในการปฏิบัติ รีบปฏิบัติเข้านะคะ อย่าติดนั่นติดนี่ ติดแม้กระทั่งอาจารย์ อย่าติดอะไรทั้งนั้น ปลดปล่อยออกให้หมด เอาอานาปานสติ เอาสติปัฏฐานสี่ เอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาอายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนาเป็นวัตถุดิบ เอาอนิจจัง อนัตตา มาพิสูจน์ แล้วจะเห็นสุญญตาเอง ปฏิบัติให้ต่อเนื่อง ทั้งในอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน จะนั่งรถเมล์ รถไฟ เครื่องบิน นอนบนที่นอนตรงไหน ก็ปฏิบัติตรงนั้น กินอาหาร เคี้ยวอาหาร อาบ ถ่าย ล้าง ทุกอย่าง ให้เอาองค์ภาวนาไว้ภายใน ในไม่ช้า ก็จะเกิดตัวรู้ขึ้นมาเอง รู้ธรรมนั้น ก็อย่ารู้มาเป็นกูผู้รู้อีก รู้ปล่อยรู้ จึงจะหมดกันได้


ตกลงจะสอนดิฉันได้หรือยังเอ่ย จะให้ดิฉันอ้างอิงมาให้อ่านอีกกี่รอบคะนี่ คุณกรัชกายไม่ได้อ่านที่ดิฉันโพสต์มาเลยตั้งแต่ต้น อย่างว่า คนไทยอ่านหนังสือไม่เกิน 3 บรรทัด



:b32: คนไทยอ่านหนังสือไม่เกินสามบรรทัด ประโยคนี้เคยอ่านที่เขาเขียนแหน็บกันบ่อยๆครับ อ่านแล้วก็นึกขำๆ จริงอย่าง่เขาว่า หรือเขาว่าเกินความจริง คิดมานานแล้ว คิดๆๆยังสรุปไม่ได้

ตกลงจะให้กรัชกายสอนอะไรครับ เอาชัดๆอีกทีสิครับ :b15:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2013, 14:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว





จขกท. เคยเห็นแบบนี้ไหมครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2013, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอถามอีกสักสองคำถามเถอะนะครับ :b8: คือ ที่จขกท. ว่า
อ้างคำพูด:
เอาอานาปานสติ เอาสติปัฏฐานสี่ เอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาอายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนาเป็นวัตถุดิบ เอาอนิจจัง อนัตตา มาพิสูจน์ แล้วจะเห็นสุญญตาเอง ปฏิบัติให้ต่อเนื่อง ฯลฯ


-ดังนี้เพื่อประโยชน์อะไรครับ ?

-และที่กล่าวมานั่น ถ้ามองที่ข้อปฏิบัติ (ปฏิปทา) หรือวิธีปฏิบัติ กรัชกายยังมองไม่เห็นเลยว่า ทำทำยังไง ที่ว่าปฏิบัติให้ต่อเนื่อง :b1: คือคุณทำ (ปฏิบัติ) ยังไงครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2013, 21:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ปรมนุตตรสุญญตา เขียน:
ที่เรียกว่าเห็นธรรมนั้น คือ จิตเป็นธรรม กลายเป็นธรรม เมื่อจิตกลายเป็นธรรม ก็เห็นธรรม คือ

อนิจังจานุปัสสี เห็นความไม่เที่ยงเป็นปกติ
วิราคานุปัสสี เห็นความจางคลายจากราคะเป็นปกติ หรือเกิด นิพฺพิทา คือ ความเบื่อหน่ายเป็นปกติ
นิโรธานุปัสสี เห็นความดับ เช่น เห็นตาดับ หูดับ ฯลฯ ใจดับ รูป เสียง ฯลฯ ดับ วิญญาณทั้งหกดับ เวทนาทั้งหกดับ แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นอีก
ปฏินิสสัคคานุปัสสี สลัดคืน คืนทั้งหมดเป็นธรรมชาติ ข้อสามเพียงคืนจิต แล้วจิตก็เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติที่ยังรู้อยู่ คือรู้ธรรม เมื่อรู้ธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ หน้าที่เราต้องทำตามธรรมชาติ ถ้าเข้าไปยึดถือธรรมเข้าอีก จะทำให้เสียสติเป็นบ้าได้ ธรรมก็ต้องปล่อย สิ่งทั้งปวงอันใครๆ ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นตัวกู ของกู นี้จึงจะหมดเกลี้ยง คือปล่อยหมด ไม่เหลืออะไรไว้เลย ปล่อยกาย ปล่อยเวทนา ปล่อยจิตให้ธรรมชาติ ให้จิตเป็นธรรมชาติเสีย ธรรมดา จิตนั้นมีหน้าที่รู้ หรือแปลว่ารู้ เรียกว่า จิตพุทโธ หรือจิตรู้ จิตรู้จิตว่าเป็นธรรมชาติแล้ว ไม่ใช่จบแค่นั้น ต้องปล่อยทั้งผู้รู้ คือ จิตที่เป็นธรรมชาติตัวนั้น และปล่อยทั้งสิ่งที่ถูกรู้ คือ ธรรมชาติ ที่เรียกว่า

อนิจังจานุปัสสี เห็นความไม่เที่ยง
วิราคานุปัสสี หรือนิพังพิทา เห็นความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
นิโรธานุปัสสี เห็นความดับ ของอายตนะภายในภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนา อย่างละหก
ปฏินัสสัคคานุปัสสี คืนความรู้ที่จิตที่เป็นธรรมชาติแล้ว เข้าไปรู้ คืนหมด อย่าให้มีอะไรเหลืออีก แม้เพียงนิดเดียว เรียกว่า ปรมานุตรสุญญตา ว่างหมด ดับหมด ดับไม่เหลือ


ตอนนี้ก็เพียรศึกษาอยู่ครับ เพราะเป็นคนช่างสงสัย และจะสังเกตุธรรมตลอด มีธรรมให้สังเกตุเยอะมาก ที่กล่าวมาข้างบนล้วนมีประโยชน์มากครับ คำว่าจิตกลายเป็นธรรม เป็นสภาวะที่เมื่อมีสติกำหนดรู้ และเข้าใจธรรมชาติของจิตว่าจิตนั้นเมื่อมีสติก็แล่นไปตามขันธ์ รูปบ้าง เวทนาบ้าง สัญญาบ้าง สังขารบ้าง วิญญาณบ้าง ยกตัวอย่าง กำมืออยู่ จิตสามารถกำหนดรู้ได้ทั้ง รูปบ้าง(ธาตุ)เช่นธาตุไฟ ตามการปฎิบัติของผมเองก็จะแยกธรรมออกมาตามหมวดหมู่ เมื่อจิตเข้าไปรู้กำมือครั้งแรก จิตเห็นอะไรก่อน? บางทีก็เห็นธาตุไฟที่ชัดแจ้งก่อน บางทีก็เห็นเวทนาชัดแจ้งก่อน บางทีก็เห็นสัญญาชัดแจ้งก่อน(คือเห็นเป็นรูปมือ) เนื่องจากว่าธรรมเป็นทุกข์อยู่แล้ว ทุกข์จึงชัดแจ้ง เพราะลักษณะบีบคั้นของธรรม จิตจึงแล่นไปทั่ว ตั้งอยู่ไม่นานก็แล่นไป จึงเห็นความดับลงของธรรมที่รู้ ถ้าธาตุไฟชัดแจ้งอยู่ ก็ดับลงไปตรงนั้นแต่ ธรรมที่เกิดใหม่อาจจะเป็นเวทนา คือเหตุเกิดของธรรมนั้นก็คือผัสสะนั่นเอง เนื่องจากว่าขันธ์5ยังประชุมกันอยู่ อาการบีบคั้นหรือความทุกข์จึงเป็นปัจจัยหลักที่จิตนั้นจะแล่นไป เมื่อจิตที่ตั้งอยู่บนมือนั้นชัดแจ้งธรรมใดธรรมหนึ่งก็จริง แต่หากจิตแล่นไปที่อื่น เช่น ขาบ้าง ไหล่บ้าง ธรรมที่ชัดแจ้งที่มือก็ดับลง เพราะติตไปชัดแจ้งธรรมใหม่ ที่ไม่ปล่อยธรรมนั้นคือความเห็นเราเอง เพราะเมื่อจิตเราแล่นไปชัดแจ้งที่ใด ความเห็นเราก็จะออกมาเป็น หนาวบ้าง ร้อนบ้าง หนักบ้าง เจ็บบ้าง อันนี้คือส่วนตัวก็ติดตรงนี้ ปล่อยความเห็นไม่ลง เพราะขาดปัญญาที่เป็นอุบายในการสลัดความเห็นออก คือไม่ต้องสลัดจิตออกจิตก็แล่นไปทั่วอยู่แล้ว เพราะความบีบคั้นอย่างที่กล่าวมา แต่ที่สลัดยากก็คือความเห็นเรานั่นเองครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2013, 22:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2013, 13:25
โพสต์: 41

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ขอถามอีกสักสองคำถามเถอะนะครับ :b8: คือ ที่จขกท. ว่า
อ้างคำพูด:
เอาอานาปานสติ เอาสติปัฏฐานสี่ เอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาอายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนาเป็นวัตถุดิบ เอาอนิจจัง อนัตตา มาพิสูจน์ แล้วจะเห็นสุญญตาเอง ปฏิบัติให้ต่อเนื่อง ฯลฯ


-ดังนี้เพื่อประโยชน์อะไรครับ ?

-และที่กล่าวมานั่น ถ้ามองที่ข้อปฏิบัติ (ปฏิปทา) หรือวิธีปฏิบัติ กรัชกายยังมองไม่เห็นเลยว่า ทำทำยังไง ที่ว่าปฏิบัติให้ต่อเนื่อง :b1: คือคุณทำ (ปฏิบัติ) ยังไงครับ

โฮฮับ เขียน:

จขกทเขาตอบไว้แล้วใน......หน้าที่3
ถึงได้บอกไม่มีสมาธิ ดีแต่ท่องจำคำศัพท์ พอเห็นคำอธิบายยาวๆก็ไม่รู้เรื่อง :b32:


ขอยืมคำพูดคุณโฮฮับหน่อยนะคะ เอามาตอบคำถามคุณกรัชกาย ขี้เกียจพิมพ์เพิ่ม มันเปลืองเนื้อที่เวบบอร์ดเขาโดยใช่เหตุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 01:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อพิจารณาจากพระสูตร
จูฬสุญญตสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=14&A=4714&Z=4845&pagebreak=0

Quote Tipitaka:
[๓๔๑] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจอากิญจัญญาตน-
*สัญญา ไม่ใส่ใจเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะเจโตสมาธิ
อันไม่มีนิมิต จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ใน
เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิตนี้แล ยังมี
ปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้ ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้นั้น ไม่เที่ยง
มีความดับไปเป็นธรรมดา เมื่อเธอรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จาก
กามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณรู้ว่า
หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จ
แล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่าในญาณนี้ไม่มีความ
กระวนกระวายชนิดที่อาศัยกามาสวะ ชนิดที่อาศัยภวาสวะและชนิดที่อาศัยอวิชชา-
*สวะ มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย คือ ความเกิดแห่งอายตนะ ๖ อาศัย
กายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากกามาสวะ สัญญานี้
ว่างจากภวาสวะ สัญญานี้ว่างจากอวิชชาสวะ และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือความเกิด
แห่งอายตนะ ๖ อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึง
พิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลือ
อยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ เป็นการก้าวลงสู่
ความว่าง ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ


ญาณในสุญญตาผลสมาบัติจะรู้เช่นนี้
อ้างคำพูด:
เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลือ
อยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี


เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 04:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:

ญาณในสุญญตาผลสมาบัติจะรู้เช่นนี้
อ้างคำพูด:
เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลือ
อยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี


เจริญธรรม

พูดไปเรื่อย ที่เขากำลังปุจฉา-วิสัชนากันอยู่ มันเป็นเรื่องของบัญญัติที่ว่า......สุญญตา

มันต้องอธิบายหรือวิสัชชนาให้ชาวบ้านเขารู้ว่า ตัวสภาวะที่เรียกว่า สุญญตา มันเป็นอย่างไร

เช่นนั้นฟังน่ะ จะบอกให้ว่า มันต้องหาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดสุญญตา
แต่ที่เช่นนั้นพูด มันเป็นเรื่องของการเอาสุญญตาไปเป็นเหตุปัจจัย.....มันคนล่ะเรื่อง
พูดเพื่อให้เช่นนั้นเข้าใจง่ายๆ ยังไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เหลืออยู่หรือไม่เหลือมันคืออะไร
ก็สภาวะมันว่างๆ แล้วจะรู้ได้ไงว่ามันยังมีหรือไม่มี

ทั้งหมดทั้งมวล มันต้องไปดูหาเหตุปัจจัยแห่งความว่างนั้นเสียก่อน
ไม่ใช่มาดูความว่างว่ามีหรือไม่ความว่าง แบบนี้เขาเรียกกำปั่นทุบดิน หาใช่การพิจารณาธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 05:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:

ญาณในสุญญตาผลสมาบัติจะรู้เช่นนี้
อ้างคำพูด:
เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลือ
อยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี


เจริญธรรม

พูดไปเรื่อย ที่เขากำลังปุจฉา-วิสัชนากันอยู่ มันเป็นเรื่องของบัญญัติที่ว่า......สุญญตา

มันต้องอธิบายหรือวิสัชชนาให้ชาวบ้านเขารู้ว่า ตัวสภาวะที่เรียกว่า สุญญตา มันเป็นอย่างไร

[b]เช่นนั้นฟังน่ะ จะบอกให้ว่า มันต้องหาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดสุญญตา
แต่ที่เช่นนั้นพูด มันเป็นเรื่องของการเอาสุญญตาไปเป็นเหตุปัจจัย.....มันคนล่ะเรื่อง
พูดเพื่อให้เช่นนั้นเข้าใจง่ายๆ ยังไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เหลืออยู่หรือไม่เหลือมันคืออะไร
ก็สภาวะมันว่างๆ แล้วจะรู้ได้ไงว่ามันยังมีหรือไม่มี

ทั้งหมดทั้งมวล มันต้องไปดูหาเหตุปัจจัยแห่งความว่างนั้นเสียก่อน
ไม่ใช่มาดูความว่างว่ามีหรือไม่ความว่าง แบบนี้เขาเรียกกำปั่นทุบดิน หาใช่การพิจารณาธรรม



จขกท. ดูครับ อย่างโฮฮับพูด ทั้งจขกท.เองด้วย เป็นลักษณะของการปรุงแต่ง คิดจินตนาการ ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เหตุต้องยังงั้น ปัจจัยต้องยังงี้ เหตุปัจจัยนั่นนี่ ว่าไปคิดเพ้อไป เพราะอะไร ? เพราะไม่มีหลักปฏิบัติ ไม่มีวิธีทำ ที่จะนำมาปฏิบัติได้ เช่น ว่าไปทำยังงี้ๆนะจ๊ะ ทำแบบนี้ๆนะครับ ไม่มี เห็นแต่จับเอาศัพท์ทางธรรมเขาทั้งดุ้น เช่น
อ้างคำพูด:
เอาอานาปานสติ เอาสติปัฏฐานสี่ เอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาอายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนาเป็นวัตถุดิบ เอาอนิจจัง อนัตตา
ลักษณะนี้แหละเวลาประสบกับของจริงจึงว่า ฟุ้งซ่าน อยากจะพูดตรงๆให้มากกว่านี้แต่เกรงจะเสียใจ ยังรักษาน้ำใจไว้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 07:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2013, 13:25
โพสต์: 41

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:

ญาณในสุญญตาผลสมาบัติจะรู้เช่นนี้
อ้างคำพูด:
เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลือ
อยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี


เจริญธรรม

พูดไปเรื่อย ที่เขากำลังปุจฉา-วิสัชนากันอยู่ มันเป็นเรื่องของบัญญัติที่ว่า......สุญญตา

มันต้องอธิบายหรือวิสัชชนาให้ชาวบ้านเขารู้ว่า ตัวสภาวะที่เรียกว่า สุญญตา มันเป็นอย่างไร

[b]เช่นนั้นฟังน่ะ จะบอกให้ว่า มันต้องหาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดสุญญตา
แต่ที่เช่นนั้นพูด มันเป็นเรื่องของการเอาสุญญตาไปเป็นเหตุปัจจัย.....มันคนล่ะเรื่อง
พูดเพื่อให้เช่นนั้นเข้าใจง่ายๆ ยังไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เหลืออยู่หรือไม่เหลือมันคืออะไร
ก็สภาวะมันว่างๆ แล้วจะรู้ได้ไงว่ามันยังมีหรือไม่มี

ทั้งหมดทั้งมวล มันต้องไปดูหาเหตุปัจจัยแห่งความว่างนั้นเสียก่อน
ไม่ใช่มาดูความว่างว่ามีหรือไม่ความว่าง แบบนี้เขาเรียกกำปั่นทุบดิน หาใช่การพิจารณาธรรม



จขกท. ดูครับ อย่างโฮฮับพูด ทั้งจขกท.เองด้วย เป็นลักษณะของการปรุงแต่ง คิดจินตนาการ ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เหตุต้องยังงั้น ปัจจัยต้องยังงี้ เหตุปัจจัยนั่นนี่ ว่าไปคิดเพ้อไป เพราะอะไร ? เพราะไม่มีหลักปฏิบัติ ไม่มีวิธีทำ ที่จะนำมาปฏิบัติได้ เช่น ว่าไปทำยังงี้ๆนะจ๊ะ ทำแบบนี้ๆนะครับ ไม่มี เห็นแต่จับเอาศัพท์ทางธรรมเขาทั้งดุ้น เช่น
อ้างคำพูด:
เอาอานาปานสติ เอาสติปัฏฐานสี่ เอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาอายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนาเป็นวัตถุดิบ เอาอนิจจัง อนัตตา
ลักษณะนี้แหละเวลาประสบกับของจริงจึงว่า ฟุ้งซ่าน อยากจะพูดตรงๆให้มากกว่านี้แต่เกรงจะเสียใจ ยังรักษาน้ำใจไว้


คิดแบบนั้นจริงเหรอ จะบอกอะไรให้รู้ไว้นะเด็กน้อย ที่กล่าวมาน่ะคุณท้้งนั้นเลย
ขอบอกไว้เลยว่าจะมาไม้ไหนดิฉันก็ไม่สะทกสท้านหรอกนะคะ คำพูด คำชม คำด่า
เสียดสี นินทา เยาะเย้ย หรืออะไรก็ตาม พวกนั้นทำอะไรดิฉันไม่ได้หรอกค่ะ คำ
พวกนั้นล้วนมาจากกิเลส ซึ่งดิฉันไม่เคยใส่ใจมันมานานมากแล้ว เพราะมันเป็น
เพียงความว่าง ถูกพูดขึ้นโดยความว่าง สิ่งเหล่านี้ไม่มีตัวตน ใครจะด่าจะว่าจะ
เยาะเย้ย ดิฉันก็ว่าไป เขาด่าเขาว่าอากาศ ด่าธาตุ โลกนี้ไม่มีดิฉันตั้งแต่แรกแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2013, 13:25
โพสต์: 41

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปรมนุตตรสุญญตา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:

ญาณในสุญญตาผลสมาบัติจะรู้เช่นนี้
อ้างคำพูด:
เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลือ
อยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี


เจริญธรรม

พูดไปเรื่อย ที่เขากำลังปุจฉา-วิสัชนากันอยู่ มันเป็นเรื่องของบัญญัติที่ว่า......สุญญตา

มันต้องอธิบายหรือวิสัชชนาให้ชาวบ้านเขารู้ว่า ตัวสภาวะที่เรียกว่า สุญญตา มันเป็นอย่างไร

[b]เช่นนั้นฟังน่ะ จะบอกให้ว่า มันต้องหาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดสุญญตา
แต่ที่เช่นนั้นพูด มันเป็นเรื่องของการเอาสุญญตาไปเป็นเหตุปัจจัย.....มันคนล่ะเรื่อง
พูดเพื่อให้เช่นนั้นเข้าใจง่ายๆ ยังไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เหลืออยู่หรือไม่เหลือมันคืออะไร
ก็สภาวะมันว่างๆ แล้วจะรู้ได้ไงว่ามันยังมีหรือไม่มี

ทั้งหมดทั้งมวล มันต้องไปดูหาเหตุปัจจัยแห่งความว่างนั้นเสียก่อน
ไม่ใช่มาดูความว่างว่ามีหรือไม่ความว่าง แบบนี้เขาเรียกกำปั่นทุบดิน หาใช่การพิจารณาธรรม



จขกท. ดูครับ อย่างโฮฮับพูด ทั้งจขกท.เองด้วย เป็นลักษณะของการปรุงแต่ง คิดจินตนาการ ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เหตุต้องยังงั้น ปัจจัยต้องยังงี้ เหตุปัจจัยนั่นนี่ ว่าไปคิดเพ้อไป เพราะอะไร ? เพราะไม่มีหลักปฏิบัติ ไม่มีวิธีทำ ที่จะนำมาปฏิบัติได้ เช่น ว่าไปทำยังงี้ๆนะจ๊ะ ทำแบบนี้ๆนะครับ ไม่มี เห็นแต่จับเอาศัพท์ทางธรรมเขาทั้งดุ้น เช่น
อ้างคำพูด:
เอาอานาปานสติ เอาสติปัฏฐานสี่ เอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาอายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนาเป็นวัตถุดิบ เอาอนิจจัง อนัตตา
ลักษณะนี้แหละเวลาประสบกับของจริงจึงว่า ฟุ้งซ่าน อยากจะพูดตรงๆให้มากกว่านี้แต่เกรงจะเสียใจ ยังรักษาน้ำใจไว้


คิดแบบนั้นจริงเหรอ จะบอกอะไรให้รู้ไว้นะเด็กน้อย ที่กล่าวมาน่ะคุณท้้งนั้นเลย
ขอบอกไว้เลยว่าจะมาไม้ไหนดิฉันก็ไม่สะทกสท้านหรอกนะคะ คำพูด คำชม คำด่า
เสียดสี นินทา เยาะเย้ย หรืออะไรก็ตาม พวกนั้นทำอะไรดิฉันไม่ได้หรอกค่ะ คำ
พวกนั้นล้วนมาจากกิเลส ซึ่งดิฉันไม่เคยใส่ใจมันมานานมากแล้ว เพราะมันเป็น
เพียงความว่าง ถูกพูดขึ้นโดยความว่าง สิ่งเหล่านี้ไม่มีตัวตน ใครจะด่าจะว่าจะ
เยาะเย้ย ดิฉันก็ว่าไป เขาด่าเขาว่าอากาศ ด่าธาตุ โลกนี้ไม่มีดิฉันตั้งแต่แรกแล้ว


ดิฉันมองคุณกรัชกายออกตั้งแต่แรกแล้วว่าจะมาไม้ไหน อ้าปากก็รู้แล้วว่าเป็นคนประเภทไหน ถึงคุณโฮฮับจะไม่บอกดิฉันก็มองออกค่ะ คนแบบนี้ดิฉันเจอมาเยอะ อย่างคุณกรัชกายนี่แค่น้ำจิ้มๆ ไม่สามารถทำอะไรดิฉันได้หรอกค่ะ เพราดิฉันไม่สนใจ คุยกันจบแล้วก็จบไป ว่าง ไร้ตัวตน ไรดิฉัน ไร้คุณกรัชกาย แค่นี้เข้าใจมั้ยคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปรมนุตตรสุญญตา เขียน:


คิดแบบนั้นจริงเหรอ จะบอกอะไรให้รู้ไว้นะเด็กน้อย ที่กล่าวมาน่ะคุณท้้งนั้นเลย
ขอบอกไว้เลยว่าจะมาไม้ไหนดิฉันก็ไม่สะทกสท้านหรอกนะคะ คำพูด คำชม คำด่า
เสียดสี นินทา เยาะเย้ย หรืออะไรก็ตาม พวกนั้นทำอะไรดิฉันไม่ได้หรอกค่ะ คำ
พวกนั้นล้วนมาจากกิเลส ซึ่งดิฉันไม่เคยใส่ใจมันมานานมากแล้ว เพราะมันเป็น
เพียงความว่าง ถูกพูดขึ้นโดยความว่าง สิ่งเหล่านี้ไม่มีตัวตน ใครจะด่าจะว่าจะ
เยาะเย้ย ดิฉันก็ว่าไป เขาด่าเขาว่าอากาศ ด่าธาตุ โลกนี้ไม่มีดิฉันตั้งแต่แรกแล้ว



ขอรับ ไร้ตัวตน วาง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 10:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เอาอานาปานสติ เอาสติปัฏฐานสี่ เอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาอายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนาเป็นวัตถุดิบ เอาอนิจจัง อนัตตา มาพิสูจน์ แล้วจะเห็นสุญญตาเอง



ศัพท์เป็นต้นเหล่านี้ นอกจากจะนำมาคิดมาปรุงให้เป็นสุญญตาแล้ว ยังใช้คิดให้เป็นอย่างอื่นได้อีกนะ คนอื่นๆจะทดลองทำก็ได้ (แต่มันไม่ใช่สัจธรรมนะ เป็นการปรุงแต่งความคิด) จะให้เป็นอะไรก็คิดนึกเอา ยิ่งคิดยิ่งเห็นๆ เหมือนเป็นตามที่คิด เช่น คิดถึงนิพพานคิดให้เป็นนิพพาน ให้เป็น วิโมกข์ วิมุตติ เป็นความไม่ยึดมั่นถือมั่น ฯลฯ ก็คิดเอา แล้วก็ยึดความคิดเอาไว้ให้มั่น :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 11:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2013, 13:25
โพสต์: 41

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ปรมนุตตรสุญญตา เขียน:


คิดแบบนั้นจริงเหรอ จะบอกอะไรให้รู้ไว้นะเด็กน้อย ที่กล่าวมาน่ะคุณท้้งนั้นเลย
ขอบอกไว้เลยว่าจะมาไม้ไหนดิฉันก็ไม่สะทกสท้านหรอกนะคะ คำพูด คำชม คำด่า
เสียดสี นินทา เยาะเย้ย หรืออะไรก็ตาม พวกนั้นทำอะไรดิฉันไม่ได้หรอกค่ะ คำ
พวกนั้นล้วนมาจากกิเลส ซึ่งดิฉันไม่เคยใส่ใจมันมานานมากแล้ว เพราะมันเป็น
เพียงความว่าง ถูกพูดขึ้นโดยความว่าง สิ่งเหล่านี้ไม่มีตัวตน ใครจะด่าจะว่าจะ
เยาะเย้ย ดิฉันก็ว่าไป เขาด่าเขาว่าอากาศ ด่าธาตุ โลกนี้ไม่มีดิฉันตั้งแต่แรกแล้ว



ขอรับ ไร้ตัวตน วาง :b1:

รูปภาพ

ขี้เกียจเล่นด้วยแล้วค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 132 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร