วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 13:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2011, 05:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


อยากทราบ และขอรายละเอียดด้วยครับ
โลภะเจตสิก กับ ฉันทะเจตสิก
มีความแตกต่างกันอย่างไร หน้าที่การงานแตกต่างกันตรงไหน
ขอผู้รู้ช่วยอธิบายให้ละเอียดด้วยครับ
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2011, 10:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิต คือ ผู้รู้ ผู้นึกคิดปรุงแต่ง
เจตสิก(อาการของจิต) คือ ผู้สนับสนุนการปรุงแต่งของจิต เช่น

จิตเกิดโลภะ โลภะนั้นจะแรงขึ้นเมื่อมีเจตสิกสนับสนุน หรือ
จิตเกิดฉันทะ ฉันทะนั้นจะแรงขึ้นเมื่อมีเจตสิกสนับสนุน

โลภะกับฉันทะ คล้ายกัน คือ อยากได้ อยากเป็น อยากมี
สิ่งที่ต่างกัน คือ โลภะนั้นไม่มีขอบเขต ฉันทะนั้นมีขอบเขต

ความเข้าใจส่วนตัวล้วนๆ นะครับ :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2011, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
อยากทราบ และขอรายละเอียดด้วยครับ
โลภะเจตสิก กับ ฉันทะเจตสิก
มีความแตกต่างกันอย่างไร หน้าที่การงานแตกต่างกันตรงไหน
ขอผู้รู้ช่วยอธิบายให้ละเอียดด้วยครับ
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ


ความรู้สึก นึกคิด การปรุงแต่ง ของจิต คือเจตสิก
กระทู้นี้ แยกความแตกต่างของ โลภะ และฉันทะ พร้อมทั้ง การงานของโลภะและฉันทะ

ฉันทะ ความปราถนาเอา... จิตปรุงขึ้นมา ประกอบเข้ากัน ด้วยความฉลาด(กุศล) หรือด้วยความเขลา(อกุศล)... ก็ได้

ส่วน โลภะ ความอยากได้ถือเอา จิตปรุงขึ้นประกอบขึ้น ด้วยความอกุศลคือความเขลาเท่านั้น

หน้าที่การงานของ ฉันทะ เป็นเพียงความปราถนาเอา ซึ่งจำต้องมี เจตสิกธรรมอื่นแวดล้อม ว่าเป็นกุศล หรืออกุศล

หน้าที่การงานของโลภะ คือเพื่อความอยากได้ใคร่ยึดถือเอาเพื่อเป็นของตน เป็นเจตสิกธรรมที่แวดล้อมฉันทะอันเป็น ฝ่ายอกุศล

ฉันทะเจตสิกมีเฉพาะในจิตเหตุ ทั้งฝ่ายกุศล หรืออกุศล
ดังนั้นถ้าเปิดในจิตตุบาทกัณฑ์ จึงไม่พบฉันทะเจตสิก
(ซึ่งอาจจะเป็นการจำแนกในการศึกษา เรื่องจิตเจตสิกในชั้นหลัง)

ส่วน โลภะมีทั้งในจิตเหตุ และจิตวิบาก ฝ่ายอกุศล

ฉันทะอันเป็นฝ่ายกุศล จึงต้องประกอบด้วยกับปธานสังขาร จึงจะเป็นฉันทะในอิทธิบาทธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2011, 21:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ลุงหมาน รู้ดีอยู่แล้ว แต่แกล้งถาม

โลภะเจตสิก เป็นเจตสิกฝ่ายไม่ดี
ฉันทะเจตสิก เป็นเจตสิกฝ่ายดี

ขี้เกียจเปิดตำรา........................ เลยเดา

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2011, 08:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2009, 21:22
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขออนุญาต ตอบตามความเข้าใจส่วนตัวครับ

เจตสิก หมายถึงอารมณ์ อาการหรือลักษณะของจิต

โลภะเจตสิก เป็นเป็นลักษณะหรืออาการของจิตฝ่ายอกุศล ซึ่งเป็นจิตที่มีกิเลสราคะ โลภะ มีลักษณะเฉพาะตัวคือมีการเหนี่ยวรั้ง ยึดถืด ถือครองสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยมีเหตุจาก ตัณหาและอุปทานเป็นหลัก

ฉันทะเจตสิก เป็นลักษณะหรืออาการของจิตฝ่ายกุศล ลักษณะจะคล้ายคลึงกับ ราคะ โลภะ ความแตกต่างคือ ฉันทะเจตสิก จะไม่มีการ ยึดถือเหนี่งรั้ง ถือครอง แต่จะมีความแจ่มใส เบิกบาน พอใจ(แต่ไม่ถือครอง)


แต่ถ้าเกิดยินดีพอใจ ฉันทะจะกลับกลายเป็นโลภะ ภายในชั่วพริบตา ธรรมที่แบ่งแยกระหว่าง ฉันทะกับโลภะคือ
๑.ความยินดียินร้ายในอารมณ์(เวทนา) ๒.ตัณหา อุปทาน ถ้าธรรมฝ่ายอกุศลทั้งสองข้อปรากฏ บ่งชี้ชัดถึง จิตเป็นฝ่ายอกุศลได้เกิดขึ้นแล้ว


ขออธิบายตามความเข้าใจส่วนตัวเท่านี้ครับ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2011, 11:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ลุงหมาน รู้ดีอยู่แล้ว แต่แกล้งถาม

โลภะเจตสิก เป็นเจตสิกฝ่ายไม่ดี
ฉันทะเจตสิก เป็นเจตสิกฝ่ายดี

ขี้เกียจเปิดตำรา........................ เลยเดา

ยิ่งถาม ยิ่งซัก ยิ่งลักษณ์ ยิ่งรู้ ยิ่งใด้ ยิ่งเข้าใจ ยิ่งปลดเปลื้องความสงสัยให้เหมดไป
คำว่าอย่างไร เป็น กเถตุกัมยตาปุจฉา (คำถามที่ตั้งขึ้นด้วยความต้องการจะตอบเสียเอง)
ก็คำถามที่มี 5 อย่างถามเพื่อให้เกิดกุศลจิต คือ
1. อทิฏฐโชตนาปุจฉา คำถามเพื่อให้แจ่มแจ้งถึงสิ่งที่ตนยังไม่ทราบ
2. ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา คำถามเพื่อเทียบเคียงสิ่งที่ตนทราบแล้วกับผู้รู้ อื่นๆ
3. วิมติเฉทนาปุจฉา คำถามเพื่อตัดความสงสัยในเรื่องที่ยังคลางแคลงใจ
4. อนุมติปุจฉา คำถามเพื่อความเห็นคล้อยตาม
5. กเถตุกัมยตาปุจฉา คำถามด้วยความต้องการที่จะตอบเสียเอง
การถามเพื่อให้อกุศลจิตเกิด คือ
1. ถามเพื่อให้ผู้ถูกถามตอบไม่ได้ จะได้อายผู้อื่น
2. ถามเพื่อข่มผู้อื่นเพื่อจะอวดภูมิธรรมของตนที่มีอยู่
3. ถามเพื่อแกล้งถามทั้งๆที่รู้แล้ว ถามหยั่งเชิงดูว่าจะตอบได้ไหม
4. ถามเพื่อให้หันเหให้ออกนอกทาง หมายถึงไม่อยากฟังเรื่องที่กำลังอธิบายอยู่
5. ถามแต่ในสิ่งที่ไร้สาระ

ทำไมท่านจึงได้มีความคิดว่าผมถามด้วยคำถามข้อที่3นี้ล่ะครับ ข้ออื่นมีตั้งหลายคำถาม

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2011, 14:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 190


 ข้อมูลส่วนตัว


เจตสิก หมายความถึง อารมณ์อันเป็นไปกับด้วยจิต โลภเจตสิก หมายความถึง จิตมีอารมณ์อันเป็นไปกับด้วยความโลภ อยากได้ ในสิ่งที่ยังไม่สมปราถนา ฉันทเจตสิก หมายถึง จิตมีอารมณ์อันเป็นกับด้วยความพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2011, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


5. กเถตุกัมยตาปุจฉา คำถามด้วยความต้องการที่จะตอบเสียเอง

โลภะเจตสิก กับ ฉันทะเจตสิก
ฉันทะที่ว่านั้น มีความปราถนาเพื่อกระทำให้เป็นอารมณ์นั้น หมายถึงมีการปรารถนารูปารมณ์เพื่อจะเห็น ปรารถนาสัททารมณ์เพื่อจะได้ยิน ปรารถนาคันทารมณ์เพื่อจะได้กลิ่น ปรารถนารสารมณ์เพื่อจะรู้รส ปรารถนาโผฏฐัพพารมณ์เพื่อจะถูกต้อง ปรารถนาธรรมารมณ์ เพื่อจะรู้ เมื่อรวมความให้เข้าใจง่ายๆ แล้วก็คือ มีความต้องการเห็น ต้องการได้ยิน ต้องการได้กลิ่น ต้องการรู้รส ต้องการสัมผัส ต้องการรู้นั่นเอง นี้เป็นลักษณะของฉันทะ

แต่ความต้องการที่เป็นฉันทะนี้ ไม่เหมือนความต้องการที่เป็นโลภะ เพราะความต้องการที่เป็นโลภะ ย่อมยึดอยู่ในอารมณ์นั้นๆ ส่วนความต้องการที่เป็นฉันทะนั้นไม่ยึดในอารมณ์ เช่นต้องการเงินมาเพื่อทำบุญ หรือต้องการวัตถุสิ่งของมาเพื่อนำมาบริจาคต่อไป ต้องการเรี่ยไรเงินเข้าวัด ฉันทะนี้อุปมาเหมือนผู้ที่ยิงธนู ผู้ยิงธนูนี้ต้องการลูกธนู ขณะเอื้อมมือไปหยิบลูกธนูนั้นเปรียบเหมือนฉันทะ เมื่อหยิบลูกธนูมาแล้วก็ยิงไป ไม่ได้เก็บเอาไว้ ข้ออุปมานี้ฉันใด สภาพของฉันทะก็เป็นไปเช่นเดียวกัน คือความต้องการที่เกิดขึ้นนั้น มิได้หวังเพื่อจะยึดไว้เป็นของตัว มุ่งหวังเพื่อให้เป็นประโยชน์โดยทั่วๆกันไป แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าฉันทะนี้จะมีกำลังน้อยกว่าโลภะ เพราะบางที่ฉันทะก็มีกำลังถึงอธิบดีก็ได้ แต่สภาพนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด แม้ว่าจะเป็นถึงอธิบดีก็ไม่ยึดเหนี่ยวไว้อยู่นั่นเอง

เมื่อมีความต้องการในอารมณ์ต่างๆ เป็นลักษณะอยู่แล้ว ก็ต้องมีการแสวงหาอารมณ์ที่ต้องการนั้นๆ ให้ได้มาสมกับความต้องการ แต่การแสวงหาอารมณ์นี้มีอยู่หลายอย่างด้วยกัน คือแสวงหากามคุณอารมณ์ แสวงหากุศลธรรม แสวงหาวิชาความรู้ต่างๆ แสวงหานิพพาน เหล่านี้ เป็นกิจของฉัทะ แต่การแสวงหากามคุณอารมณ์นั้น แม้จะเป็นกิจของฉันทะก็จริง แต่เป็นไปด้วยอำนาจของโลภะเป็นประธาน ฉะนั้นเมื่อได้อารมณนั้นๆ มาเช่นได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น เป็นต้นแล้ว จึงติดอยู่ในอารมณ์ สำหรับการแสวงหากุศลธรรม แสวงหาวิชาความรู้ แสวงหานิพพาน หรือการแสวงหาวัตถุสิ่งของมาเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเหล่านี้ เป็นไปด้วยอำนาจของฉันทะเป็นประธานโดยตรง

ถ้ามีข้อสงสัยขึ้นว่า การแสวงหาอารมณ์ด้วยอำนาจของโลภะเป็นประธานนั้น เมื่อมีอารมณ์ที่ต้องการมาแล้ว ย่อมติดอยู่ในอารมณ์นั้นที่ได้มา แต่ส่วนการแสวงหาอารมณ์ด้วยอำนาจของฉันทะที่ไม่เกี่ยวข้องกับโลภะนั้น ไม่ติดอยู่ในอารมณ์ที่ได้มา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว "ผู้ที่แสวงหาธรรมะทั้งหลาย เมื่อได้ธรรมะนั้นมาแล้ว มีความติดใจในธรรมะนั้น เช่นนี้มิเป็นไปด้วยอำนาจของโลภะเป็นประธานหรือ?" ข้อนี้แก้ว่า:- ไม่ใช่เช่นนั้น การติดใจในธรรมะนั้น เป็นไปด้วยอำนาจฉันทะที่มีศรัทธาหรือปัญญาเป็นประธาน เพราะความคิดติดใจในธรรมะ ก็ไม่เหมือนติดใจในกามคุณอารมณ์ที่มีโลภะเป็นประธาน แต่ความติดใจที่เป็นไปด้วยอำนาจกามัจฉันทะย่อมนำความเดือดร้อนใจมาสู่ผู้นั้น แต่ส่วนความติดใจที่เป็นไปด้วยอำนาจธัมมัจฉันทะนี้ ไม่มีความเดือดร้อนใจแก่ผู้นั้น เมื่อพระโยคีบุคคลทั้งหลายพิจารณาอาการของฉันทะแล้ว ก็รู้ได้ดวยปัญญาว่าฉันทะนี้มีความปรารถนาในอารมณ์ดังกล่าวแล้ว นี่เป็นอาการปรากฎของฉันทะ

แม้ว่าฉันทะจะประกอบร่วมกับจิตที่เป็นโลภะได้แต่ก็ฉันทะมิได้เป็นประธานนั่นเอง ฉันทะประกอบกับจิตที่เป็นมหากุศลได้ แต่โลภะประกอบกับจิตที่เป็นมหากุศลไม่ได้นั้นเอง สรุปว่าฉันทะประกอบได้กับจิตที่เป็นมหากุศล และอกุศลได้ทั้งสอง แต่โลภะประกอบได้กับจิตที่เป็นอกุศลได้ฝ่ายเดียว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2011, 05:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ยิ่งถาม ยิ่งซัก ยิ่งลักษณ์ ยิ่งรู้ ยิ่งใด้ ยิ่งเข้าใจ ยิ่งปลดเปลื้องความสงสัยให้เหมดไป
คำว่าอย่างไร เป็น กเถตุกัมยตาปุจฉา (คำถามที่ตั้งขึ้นด้วยความต้องการจะตอบเสียเอง)
ก็คำถามที่มี 5 อย่างถามเพื่อให้เกิดกุศลจิต คือ
1. อทิฏฐโชตนาปุจฉา คำถามเพื่อให้แจ่มแจ้งถึงสิ่งที่ตนยังไม่ทราบ
2. ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา คำถามเพื่อเทียบเคียงสิ่งที่ตนทราบแล้วกับผู้รู้ อื่นๆ

3. วิมติเฉทนาปุจฉา คำถามเพื่อตัดความสงสัยในเรื่องที่ยังคลางแคลงใจ
4. อนุมติปุจฉา คำถามเพื่อความเห็นคล้อยตาม
5. กเถตุกัมยตาปุจฉา คำถามด้วยความต้องการที่จะตอบเสียเอง [/color]

ลุงหมานครับด้วยความนับถือ ผมขออนุญาติถามด้วยจิตที่เป็น กุศลตามหลักข้อสองครับ
ลุงหมาน เขียน:
5. กเถตุกัมยตาปุจฉา คำถามด้วยความต้องการที่จะตอบเสียเอง
แม้ว่าฉันทะจะประกอบร่วมกับจิตที่เป็นโลภะได้แต่ก็ฉันทะมิได้เป็นประธานนั่นเอง ฉันทะประกอบกับจิตที่เป็นมหากุศลได้ แต่โลภะประกอบกับจิตที่เป็นมหากุศลไม่ได้นั้นเอง สรุปว่าฉันทะประกอบได้กับจิตที่เป็นมหากุศล และอกุศลได้ทั้งสอง แต่โลภะประกอบได้กับจิตที่เป็นอกุศลได้ฝ่ายเดียว

ลุงครับผมสงสัย จิตเกิดแล้วก็ดับ เจตสิกเกิดและดับพร้อมกับจิต
ฉันทะก็เป็นเจตสิกตัวหนึ่ง โลภะก็เป็นเจตสิกอีกตัวหนึ่ง

ลุงหมานว่า จิตดวงหนึ่งสามารถมีเจตสิกได้ถึงสองหรือครับ
เพราะลุงบอกว่า" ฉันทะจะประกอบร่วมกับจิตที่เป็นโลภะได้" :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2011, 06:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ผมตอบแทนลุงหมาน ก็ได้เรื่องจิต กับเจตสิก

จิตเกิดขึ้น1ดวง อย่างน้อยต้องมีเจตสิกประกอบร่วม 7 อย่าง

นั่นคือหมายความว่า จิตทุกดวง มีเจตสิกประกอบร่วมบางครั้ง 7 ดวง บางครั้งเกินกว่า 7 ขึ้นไป

ทุกขณะ ในสังสารวัฏฏ์อันไร้จุดต้น จุดปลาย

อ้างคำพูด:
สัพพจิตตสาธารณเจตสิก

สพฺพ ( ทั้งปวง ) + จิตฺต ( จิต ) + สารธารณ ( ทั่วไป ) + เจตสิก ( สภาพธรรมที่เกิด

กับจิต )

เจตสิกที่ทั่วไปแก่จิตทั้งปวง หมายถึง เจตสิก ๗ ดวงที่เป็นสาธารณะคือต้องเกิด

กับจิตทุกดวง จิตที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยน้อยที่สุด ได้แก่ ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ก็

ต้องมีเจตสิก ๗ ดวงนี้ คือ

๑. ผัสสเจตสิก เป็นสภาพที่กระทบอารมณ์

๒. เวทนาเจตสิก เป็นสภาพที่รู้สึก หรือเสวยอารมณ์

๓. สัญญาเจตสิก เป็นสภาพที่จดจำ หรือคุ้นเคยในอารมณ์

๔. เจตนาเจตสิก เป็นสภาพที่ตั้งใจ จงใจ บงการสัมปยุตธรรมให้ทำกิจ

ของตนๆ

๕. เอกัคคตาเจตสิก เป็นสภาพที่ทำให้จิตตั้งมั่น เป็นหนึ่งในอารมณ์

๖. ชีวิตินทริยเจตสิก เป็นสภาพที่รักษาสัมปยุตธรรมให้มีชีวิตอยู่ได้

๗. มนสิการเจตสิก เป็นสภาพที่สนใจ ทำให้จิตมุ่งตรงต่ออารมณ์

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2011, 06:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ว่ากันแต่ในภูมิที่มีขันธ์5 คือ โลกมนุษย์ เป็นต้น
ที่ใดมีจิตเกิด ที่นั่นต้องมีรูป
เพราะว่าจิตต้องอาศัยรูป เป็นที่ตั้ง จิตจะไปเกิดลอยๆ นอกรูปไม่ได้ (รูปขันธ์ 28 )

จิตเกิด 1 ดวง จึงประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร(อย่างต่ำ7ดวง) ..............ครบขันธ์5 พอดี

เพราะฉะนั้น ทุกขณะจิต เป็นขันธ์5

ขันธ์5 เกิดขึ้นพร้อมกัน

ที่ใดมีเวทนา ที่นั่นต้องมี สัญญา สังขาร วิญญาณ รูป ...................ครบ ขันธ์5
ที่ใดมีสัญญา ที่นั่นต้องมี เวทนา สังขาร วิญญาณ รูป ....................ครบ ขันธ์5
ที่ใดทีสังขาร ที่นั่นต้องมี เวทนา สัญญา วิญญาณ รูป ....................ครบ ขันธ์5
ที่ใดมีวิญญาณ ที่นั่นต้องมี เวทนา สัญญา สังขาร รูป ...................ครบ ขันธ์5

ที่ใดมีรูป ......................................................................อาจมีแค่รูป

หมายเหตุ สังขาร ที่พูดข้างบนคือ

๑. ผัสสเจตสิก เป็นสภาพที่กระทบอารมณ์





๔. เจตนาเจตสิก เป็นสภาพที่ตั้งใจ จงใจ บงการสัมปยุตธรรมให้ทำกิจ

ของตนๆ

๕. เอกัคคตาเจตสิก เป็นสภาพที่ทำให้จิตตั้งมั่น เป็นหนึ่งในอารมณ์

๖. ชีวิตินทริยเจตสิก เป็นสภาพที่รักษาสัมปยุตธรรมให้มีชีวิตอยู่ได้

๗. มนสิการเจตสิก เป็นสภาพที่สนใจ ทำให้จิตมุ่งตรงต่ออารมณ์

และเจตสิกตัวอื่นๆ อีก

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2011, 07:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว




52[1].PNG
52[1].PNG [ 54.29 KiB | เปิดดู 8636 ครั้ง ]
2. ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา คำถามเพื่อเทียบเคียงสิ่งที่ตนทราบแล้วกับผู้รู้ อื่นๆ

วิสัชชนา:- ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา เป็นคำถามที่จะเทียบเคียงที่ตนทราบมาแล้วจากท่านอื่นๆ มาแล้วนั่นเอง หมายความว่าถามย้ำอีกทีกับผู้รู้ท่านนี้เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่า จะได้คำตอบที่เหมือนกันไหม เพื่อขจัดความสงสัยที่มันยังคาใจอยู่ ว่าใช่หรือไม่ใช่

ลุงหมานครับด้วยความนับถือ ผมขออนุญาติถามด้วยจิตที่เป็น กุศลตามหลักข้อสองครับ

ลุงครับผมสงสัย จิตเกิดแล้วก็ดับ เจตสิกเกิดและดับพร้อมกับจิต
ฉันทะก็เป็นเจตสิกตัวหนึ่ง โลภะก็เป็นเจตสิกอีกตัวหนึ่ง
ลุงหมานว่า จิตดวงหนึ่งสามารถมีเจตสิกได้ถึงสองหรือครับ
เพราะลุงบอกว่า" ฉันทะจะประกอบร่วมกับจิตที่เป็นโลภะได้"

วิสัชชนา:- อกุศลจิตดวงแรกเรียกว่าโลภมูลจิต มีเจตสิกเกิดร่วมถึง 19 ดวง
ได้แก่ ผัสสะ. เวทนา. สัญญา. เจตนา. เอกัคคตา. ชีวิตินทรีย์. มสิการ. วิตก. วิจาร. อธิโมกข์. วิริยะ. ปิติ. ฉันทะ. โมหะ. อหิริกะ. อโนตตัปป. อุทธัจจะ. โลภะ. ทิฏฐิ.

หมายความว่า อกุศลมูลจิต 1 ดวง มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย 19 ดวง ครับ โลภะเจตสิก ฉันทะเจตสิก ก็เกิดร่วมกันได้ ดังที่กระจายไว้นั้น ถ้าเป็นมหากุศลจะมีเจตสิกเกิดร่วมมากขึ้นอีกถึง 38 ดวง แต่ถึงอย่างไรเจตสิกที่เกิดร่วมนั้น ต่างก็มีหน้าที่แตกกันไปไม่ก้าวก่ายกัน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2011, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รบกวนถามลุงหมานครับ หรือจะเป็นคุณโกวิทก็ได้
มีหลักฐานกล่าวไว้ในพระอภิธรรมหรือพระไตรปิฎกมั้ยคับ

เห็นคำตอบของลุงหมานกับของคุณโกวิท ไม่เหมือนกัน
สาธุครับ!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2011, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว




121[1].PNG
121[1].PNG [ 32.74 KiB | เปิดดู 6583 ครั้ง ]
4_465[2].jpg
4_465[2].jpg [ 8.84 KiB | เปิดดู 6583 ครั้ง ]
ในพระไตรปิฎกมีครับ แต่รู้สึกจะเข้าใจยากหน่อยถ้าไม่เคยศึกษามาก่อน
แต่ให้ดีต้องดูในพระอภิธรรมมัตถะสังหะของพระอนุรุทธาจารย์ท่านได้รจนาให้ง่ายขึ้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงหมาน เมื่อ 17 ธ.ค. 2011, 04:10, แก้ไขแล้ว 8 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2011, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราจักบัญญัติการมา การไป จุติ อุปบัติ
หรือความเจริญงอกงามไพบูลย์แห่งวิญญาณ เว้นจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร ข้อนี้ไม่เป็น
ฐานะที่จะมีได้.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร