วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 03:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 04:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 04:41
โพสต์: 19


 ข้อมูลส่วนตัว


คืออยากรบกวนสอบถามจริตสำหรับตัวผมเพื่อปฏิบัติได้ถูกต้องอะครับ ตั้งใจสมัครเพื่อมาถามเลยครับ


คงจะเริ่มจาก ผมตั้งแต่เด็กๆ มักชอบมอง พวกโกฐ ในวัดแล้วรู้สึกว่าคนเรามันไม่เที่ยง อย่างบางทีเข้าวัดไปทำธุระก็มักชอบไป เดินดูรูปผู้เสียชีวิตบริเวณตามโกฐต่างๆ
หรือ ไปตรงเมรเผา ดูขี้เถ้าเศษกระดูก แล้วก็มองปลงๆ จากนั้นก็กลับมาใช้ชีวิตประมาทเหมือนเดิม
ตอนเด็กๆก็จำได้ว่าบวชเณรฤดูร้อน 1 เดือน แต่เคร่งมาก 10 ข้อปฏิบัติ
ท่องไว้ในใจว่าไม่ให้บกพร่อง เณรเพื่อนกันชวนประแป้งแอบกินมาม่า ก็ปฏิเสธ
วัยรุ่น ก็เฮฮาไปตามประสา ออกแนวแรง วัดวาไม่เข้าทำบุญเหมือนที่แม่คอยสอนแบบตอนเด็กๆ ออกแนวบางช่วงมะค่อยอยากไหว้พระเจ้าในเมืองด้วยซ้ำไป
ตอนนี้วัยรุ่นตอนปลาย(มากๆ) ผ่านมรสุมมาพอสมควร เริ่มมีจิตใจอยากกลับมาปฏิบัติหลังจากที่ไม่ค่อยสนใจมานานนนนนมากก
มีอยู่ช่วงนึง เมื่อสองสามปีก่อน ผมคิดพวกเรื่อง อริยสัจในหัวไปบางจังหวะอารมย์บางอารย์ ก็เฮฮาสังสรรค์กับเพื่อน จังหวะนั้น รู้สึกเกิดปิติประหลาดๆ มันสุขแบบ
มองโลกทั้งโลกแล้วปลง อย่างกำลังประชุมเจ้านายพูดเรื่องผลกำไรบริษัทต้องโต ผมก้จะมองอะไรไปแนวอริยสัจถึงความประมาทของ่ชีวิตมนุษย์ เป็นแบบนี้อยู่ไม่แน่ใจ
แต่ประมาณหลายวัน สุขปิติแบบปลงๆกิเลศแบบงงมาก
หลังจากนั้นก็แหะๆ ใช้ชีวิตประมาทเหมือนเดิมอีก แต่ตอนนี้เริ่มสนใจธรรมมะอยากปฏิบัติมากขึ้น นั่งสมาธิก็แพ้ความเพียรทุกที เคยมีแค่ครั้งเดียวนั่งไปได้สัก30นาที
ผมเข้าใจเลยว่าคำว่า 84000 พระธรรมขันธ์ของพระพุทธเจ้ามาจากในจิตคืออะไร เพราะอยู่ๆในหัวเข้าใจเรื่องการแผ่เมตตาเข้ามาแบบลึกซึ้งมากๆทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ตอนนั่งอยู่
หรือว่าอะไรก็มะได้คิดเรื่องนี้เลย อยู่ๆแปลบเข้ามาทีเดียว เข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ของอย่างงี้ไม่กล้าพูดกะคนใกล้ตัวว่าเข้าใจได้ยังไง กลัวโดนด่าว่าบ้า
หลังจากนั้นก็แป๊กแล้วครับ นั่งได้ไม่เคยเกิน ชม. แถมไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเพราะมะได้ทำบ่อยๆด้วย

พูดมาซะยาวว เพื่อที่จะให้ท่านผู้รู้ในห้อง ช่วยรบกวนชี้ทางธรรมแก่ผู้โง่เขลาอย่างผมด้วยครับ เมตตาด้วยครับ ว่าจริตผมมันควรดูจิต หรือว่าเป็นพวกจริตอะไร cool


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 09:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องการรู้เกี่ยวกับจริต (หรือจริยา) จขกท. โหลดหัวข้อ 15 ฟังดู

http://www.jozho.net/index.php?mo=3&art=70923

1. จากจิตวิทยา สู่จิตภาวนา

2. ตำแหน่งของข้อปฏิบัติทางจิตใจในระบบพระพุทธศาสนา

3. ความสัมพันธ์ระหว่างจิตภาวนากับปัญญาภาวนา

4. บุพภาคของการเจริญภาวนา

5. ปลิโพธ

6.เข้าหากัลยาณมิตร เรียนกรรมฐานกับพระอาจารย์

7.เลือกหาที่สัปปายะ

8.พิธีสมาทานกรรมฐาน

9.พิธีสมาทานกรรมฐาน คุณพระรัตนตรัย

10.สมาทานศีล อธิษฐาน แผ่เมตตา มรณสติ ระลึกถึงบุญข้อห้าม

11.ความหมายของภาวนา กรรมฐาน อารมณ์

12.กรรมฐานที่ใช้ในการเจริญสมถภาวนา

13.กรรมฐาน๔๐

14.เกณฑ์ในการเลือกกรรมฐาน

15.จริต๖และหลักการดูจริต

16.การเลือกกรรมฐานโดยพิจารณาให้เหมาะกับจริต

17.ขีดขั้นของความสำเร็จที่กรรมฐานจะให้ได้

18.ผลสำเร็จของการเจริญจิตภาวนา การละนิวรณ์ สมาธิ ๓ อย่าง

19.สมาบัติ ๘ อภิญญา ๖

20.ความก้าวหน้าหรือขั้นตอนในการปฏิบัติ นิมิต ๓ ภาวนา ๓ ขั้น

21.จากจิตภาวนาสู่ปัญญาภาวนาตามวิธีสติปัฏฐาน

22.ความหมายของวิปัสสนา

23.วิปัสสนาภูมิ ๖

24.โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ

25.วิสุทธิ ๗

26.วิปัสสนาญาณ ๙

27.ญาณ ๑๖

28.ปริญญา ๓

29.อนุปัสสนา ๓

30.ตัวอุปสรรคในกระบวนการปฏิบัติ(วิปัลลาส๔วิปัสสนูปกิเลส๑๐)

31.ความจริงที่ถูกเปิดเผยโดยวิปัสสนา

32.หลักการทั่วไปของสติปัฏฐาน

33.ความหมายของสติปัฏฐาน

34.อารมณ์ของสติปัฏฐานโดยย่อ

35.กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

36.เวทนา-จิตตา-ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

37.ข้อสังเกตและข้อแตกต่าง

38.หลักการปฏิบัติ ความมุ่งหมาย และตัวทำงาน

39.วิธีการกำหนดและวางใจ

40.กระบวนวิธีปฏิบัติและเทคนิค

41.การใช้อานาปานสติโยงสู่สติปัฏฐานสี่

42.ลำดับการปฏิบัติในการเจริญอานาปานสติ ๑๖ ขั้น

43.ข้อควรทราบที่ ๑( สิกฺขติ=ศึกษาว่าปชานาติ=รู้ชัดว่า)

44.ข้อควรทราบที่ ๒ (สังขาร๓)

45.ข้อควรทราบที่ ๓ (นิวรณ์ ๕ องค์ฌาน ๕ ธรรมสมาธิ ๕)

46.ลำดับการปฏิบัติ

47.หมวดที่๑ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

48.หมวดที่๒ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน

49.หมวดที่ ๓ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน

50.หมวดที่ ๔ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

51.ความสำเร็จของการปฏิบัติ (โพชฌงค์๗)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 11:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 04:41
โพสต์: 19


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณครับ แต่แอบก็งงๆนิดๆ เพราะจะว่าไปก็มีไปครบ 6 จริตเลยแหะๆ ตามอารมย์:b23:

ขอรบกวนถามเพิ่มได้ไหมครับ ว่าควรทำยังไง หรือไปหาครูบาอาจารย์ที่ไหนตามสมควรดี ผมอยู่กรุงเทพครับ

และจากที่เล่าให้ฟังด้านบน ธรรมที่ผมพอมีพื้นจากนิสัยอยู่บ้าง ช่วยวิเคราะห์ได้ไหมครับ แง่ไหนก็ได้ครับน้อมรับฟัง เพื่อจะได้รู้ตัวเอง เผื่อเกิดปัญญาเพิ่มมากขึ้น และอาจไขกุญแจในใจบางข้อได้บ้างนะครับ

smiley ขอบคุณครับ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เคยมีแค่ครั้งเดียวนั่งไปได้สัก30 นาที


ที่ว่า นั่งไปได้ 30 นาที คุณทำยังไงครับ

ว่าง ๆ ลองอ่านๆที่นี่ดูก่อนนะครับ

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?board=3.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 15:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผมคิดพวกเรื่อง อริยสัจในหัวไปบางจังหวะอารมย์บางอารย์
รู้สึกเกิดปิติประหลาดๆ มันสุขแบบ มองโลกทั้งโลกแล้วปลง

จัดว่าเป็นธรรมานุสสติได้เหมือนกันครับ พิจารณาถึงความตายเป็นมรณานุสสติ

จริงจะว่าไปแล้วถ้าเอาดีทาง"อานาปานสติแบบพุทโธ" เขาให้ผนึก3 กรรมฐานเข้าด้วยกัน
1. อานาปานสติคือรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก จิตจะตั้งมั่นได้ก่อน
2. กายคตานุสสติ หมวดรู้อวัยวะในกายนี้ มีอานิสงส์มากหากเจริญเปนประจำ
เพราะละสังโยชน คือสักกายะทิฏฐิได้
3. อสุภะกรรมฐาน คือเหนร่างกายเปนของน่าเกลียดไม่สวยงาม ไม่มีไรที่จะน่ายึดถือ
หรือทำให้เพลิดเพลินแม้แต่นิดเดียว ผู้ที่เจริญมากสามารถเดินเอามรรคผลได้ในชาตินี้

จริงต้องบวกอีก1 กรรมฐานคือ มรณานุสสติ เข้าไปด้วย เหนความตายตลอดลมหายใจเข้า-ออก
"ร่างกายนี้เปรียบประดุจท่อน หากปราศจากวิญญาณไปแล้ว ร่างกายนี้ก้ไร้ค่าหาสาระอะไรไม่ได้
ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอน แต่สังขารร่างนี้ไม่แน่นอนมีความไม่เที่ยงตลอดเวลา ใช้เจริญเพื่อ
"มีสติให้เกิดความไม่ประมาทตลอดกาล" :b40: :b40:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 18:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 04:41
โพสต์: 19


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
เคยมีแค่ครั้งเดียวนั่งไปได้สัก30 นาที


ที่ว่า นั่งไปได้ 30 นาที คุณทำยังไงครับ

ว่าง ๆ ลองอ่านๆที่นี่ดูก่อนนะครับ

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?board=3.0



ขอบพระคุณครับ ลิงค์มีประโยชน์มากครับ จะค่อยๆแอบสิงศึกษาไปก่อนครับ

ส่วนเรื่องนั่งในตอนนั้น เท่าที่จะได้ผมจะทำแต่แนวๆ มองตามความคิดฟุ้งซ่านอ่าครับ ห้ามไม่ได้ก็มองมันเฉยๆปล่อยมันไป พอสักพักมันนิ่งเองช่วงสั้นๆ(สั้นมากๆ) มันก็แปลบเข้ามา คิดว่างี้นะฮะ ไม่แน่ใจจำมะค่อยได้ แต่ตอนที่เข้าใจแล้วนั้นมันลึกซึ้งกว่าครูใดๆมาสอนอะคับ เหมือนเห็นไปถึงเจตนาจริงๆโดยไม่มีความคิดมาเกี่ยวข้องอะคับ
ถ้าผิดก็ขออภัยนะครับ แนะแนวสอนสั่งเพิ่มเติมแนวทางได้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 18:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 04:41
โพสต์: 19


 ข้อมูลส่วนตัว


อินทรีย์5 เขียน:
อ้างคำพูด:
ผมคิดพวกเรื่อง อริยสัจในหัวไปบางจังหวะอารมย์บางอารย์
รู้สึกเกิดปิติประหลาดๆ มันสุขแบบ มองโลกทั้งโลกแล้วปลง

จัดว่าเป็นธรรมานุสสติได้เหมือนกันครับ พิจารณาถึงความตายเป็นมรณานุสสติ

จริงจะว่าไปแล้วถ้าเอาดีทาง"อานาปานสติแบบพุทโธ" เขาให้ผนึก3 กรรมฐานเข้าด้วยกัน
1. อานาปานสติคือรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก จิตจะตั้งมั่นได้ก่อน
2. กายคตานุสสติ หมวดรู้อวัยวะในกายนี้ มีอานิสงส์มากหากเจริญเปนประจำ
เพราะละสังโยชน คือสักกายะทิฏฐิได้
3. อสุภะกรรมฐาน คือเหนร่างกายเปนของน่าเกลียดไม่สวยงาม ไม่มีไรที่จะน่ายึดถือ
หรือทำให้เพลิดเพลินแม้แต่นิดเดียว ผู้ที่เจริญมากสามารถเดินเอามรรคผลได้ในชาตินี้

จริงต้องบวกอีก1 กรรมฐานคือ มรณานุสสติ เข้าไปด้วย เหนความตายตลอดลมหายใจเข้า-ออก
"ร่างกายนี้เปรียบประดุจท่อน หากปราศจากวิญญาณไปแล้ว ร่างกายนี้ก้ไร้ค่าหาสาระอะไรไม่ได้
ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอน แต่สังขารร่างนี้ไม่แน่นอนมีความไม่เที่ยงตลอดเวลา ใช้เจริญเพื่อ
"มีสติให้เกิดความไม่ประมาทตลอดกาล" :b40: :b40:



ขอบพระคุณครับ แค่ข้อ 1 ผมก็แย่แล้วครับแต่จะพยายามต่อไปครับตามคำแนะนำ เพราะผมกำหนดลมหายใจทีไรหายใจติดขัด รู้สึกอึดอัดทุกที เลยใช้วิธีดูความคิดปล่อยให้มันแล่นไปแทน
ขอเพิ่มเติมตอนที่ผมเล่าว่า เกิดปิตินะครับ คือช่วงนั้นจะมีปิติ เกิดทั้งวันทั้งคืนเลยครับ กี่วันจำไม่ได้แต่หลายวันและในใจช่วงนั้น คิดแต่นิพพาน เหมือนคนแก่ยังไงมะรู้ แต่หลัีงจากนั้น ปิติหายไป นิพพานก็คิดนะครับ แต่อารมย์ก็ขึ้นอยู่กับกิเลศช่วงไหนเยอะ ก็เบาบางความเป็นนิพพานไปมากหน่อย เช่นตอนเห่อรถใหม่ มือถือใหม่ แฟนใหม่ แต่ลึกๆก็จะเลือกศึกษาแต่ธรรมมะทางสายวัดป่า เน้นนิพพานชอบแนวนี้แนวเดียวครับ
รบกวนแนะแนวเพิ่มเติมได้ครับ ถ้าผิดพลาดตรงจุดไหน ขอบพระคุณจริงๆครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2011, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขอบพระคุณครับ แค่ข้อ 1 ผมก็แย่แล้วครับแต่จะพยายามต่อไปครับตามคำแนะนำ เพราะผมกำหนดลมหายใจทีไรหายใจติดขัด รู้สึกอึดอัดทุกที

คนที่ฝึกใหม่อาจพบว่า ไม่เข้าฝึกปฏิบัติ ไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน แต่พอทำสมาธิจริงๆแล้วความคิดฟุ้งซ่านวุ่นวาย
108 เรียงแถวเข้ามาไม่หยุดหย่อน

ความจริงก้คือ เวลาปกตินั้น ความนึกคิดฟุ้งซ่านมีอยู่เสมอตามประสาคนมีกิเลสเพียงแต่ความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้น
ถูกดึงดูดความสนใจให้กระจายไปสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมทำให้จิตใจรู้สึกว่าไม่คิดมาก

ขอให้ท่านหยุดคิดถึงอื่นใด ค่อยๆหาจุดยึดเหนี่ยวฝึกต่อไป จิตย่อมสงบเลือกฝึกปฏิบัติจิตที่เหมาะกับสังขารตัว
เอง โดยทำได้ดังนี้

ถอนหายใจลึกๆช้าๆ 10 ครั้ง ทั้งก่อนและหลังออกจากฝึกสมาธิเพื่อเปนการปรับธาตุในร่างกายให้ปกติแล้วคอ่ยๆ
ปิดหนังตาลงให้สนิท ให้ภาวนาหายใจเข้าพุทธ หายใจออก โธ จะสงบหรือไม่สงบให้ภาวนาอยู่เรื่อยๆเพื่อให้จิตใจ
จับอยู่กับคำว่าพุท และ โธ เสมอ ถ้าเผลอจากคำภาวนาไปคิดเรื่องอื่นๆ ให้ดึงความคิดออกมาท่องพุท โธ ใหม่ให้
ทำสลับกันจนจิตเคยชินกับคำภาวนา จิตใจจะค่อยจ่อดิ่งลงสู่คำภาวนา จนเกิดความสงบไม่มากก็น้อย
โดยขอให้ปฏิบัติบ่อยๆแต่ใช้เวลาครั้งละน้อยๆ ถ้ากำหนดนั่ง10 นาที ก้ขอให้อดทนนั่งจนครบตามที่กำหนดจะเกิดความหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน หรือปวดเมื่อยก้ขอให้อดทนรอจนครบ10 นาทีให้ได้

นี่คือสรุปใจความของหมวดข้อ1 :b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2011, 12:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 04:41
โพสต์: 19


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณครับ กำลังเจริญข้อ 1 อยู่ครับ

มีข้อเพิ่มเติมอะไร แนะนำได้เลยนะครับ น้อมรับไปปฏิบัติครับ

smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2011, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


การปฎิบัติของตัวผมเองจะมีการปฎิบัติ2เวลาคือ ตื่นนอนตอนเช้า และก่อนเข้านอนส่วนตลอดทั้งวันจะพิจารณาสิ่งต่างๆให้อยู่ภายใต้กฎของพระไตรลักษณ์ให้มากที่สุดประกอบกับ เจริญสติไม่ให้ใจลอยฟุ่งซ่านแม้ทำงานก็ใจจดอยู่ที่งานให้มากที่สุดด้วยการดำรงอยู่ในสติ
ผมสังเกตุตัวเองว่าตื่นนอนตอนเช้าทำสมาธิจะเกิดความสงบและจิตตั้งมั่นได้เร็วและพิจารณาได้ดีกว่าตอนกลางคืนก่อนเข้านอน
เรื่องการพิจารณาความตายเป็นเรือ่งที่ควรพิจารณาให้มาก ต้องขอโทษหากต้องเอ่ยเรื่องนี้คือวันนี้เองไปติดต่อธุระ หมาตัวเล็กของลูกจ้างร้านนั้นวิ่งออกนอกถนนใหญ่โดนรถชนแบบเฉี่ยวกระเด็นไปกลางถนนทุกคนมองไปที่ร่างของหมาตัวเล็กที่เคลื่อนไหวไม่ได้ผมลุ้นเอาใจไม่ให้รถที่วิ่งตามข้างหลังไม่ไปเหยียบซ้ำและให้ไฟแดงขึ้นไวๆเจ้าของไปยืนรอที่ขอบทางถนนเตรียมเอาร่างหมาออกมา ผมมองเห็นการกระตุกของร่างกายของหมา ในขั้นแรกหางหมาสั่นกระตุกแล้วร่างกายกระตุก2 3 ครั้งแล้วนิ่งไป พอถนนว่างเจ้าของหมาเอาร่างออกมาจากกลางถนน แฟนผมเข้าไปปั๊มหัวใจดูม่านตาหมา(เป็นพยาบาล) ผมตรวจดูว่าไม่มีบาดแผลแต่กระดูกซีกโครงน่าจะหัก แฟนผมกับผมอาษาจะนำไปโรงบาลสัตว์แล้วเอาขึ้นรถวิ่งเข้าตัวเมืองประมาณ1กิโลเมตร จังหวะแฟนผมมองเห็นโรงบาลบอกให้ผมหยุดรถอุ้มหมาเข้าไปในโรงบาลแต่หมอสัตว์บอกหลังเช็คหัวใจว่าหมาตายแล้ว หมอสัตว์บอกว่าไม่มีการเต้นของหัวใจเลย จึงนำร่างหมากลับไปให้เจ้าของที่ร้านนั้น อารมณ์ของผมก็เกิดเป็นความสลดใจแล้พิจารณาว่าความตายมันเป็นของจริงแท้พึ่งเห็นมันอยู่แวบๆไม่นานเท่าไหร่มันก็ตายแล้ว ผมก็บอกแฟนว่าแค่อยากให้เขาพ้นทุกข์ก็ได้กุศลแล้ว ครับผม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2011, 00:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 23:17
โพสต์: 257

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประเภทธรรมะ
ชื่อเล่น: หยุย
อายุ: 0
ที่อยู่: ห้วยขวาง

 ข้อมูลส่วนตัว


dyno เขียน:
คืออยากรบกวนสอบถามจริตสำหรับตัวผมเพื่อปฏิบัติได้ถูกต้องอะครับ ตั้งใจสมัครเพื่อมาถามเลยครับ


คงจะเริ่มจาก ผมตั้งแต่เด็กๆ มักชอบมอง พวกโกฐ ในวัดแล้วรู้สึกว่าคนเรามันไม่เที่ยง อย่างบางทีเข้าวัดไปทำธุระก็มักชอบไป เดินดูรูปผู้เสียชีวิตบริเวณตามโกฐต่างๆ
หรือ ไปตรงเมรเผา ดูขี้เถ้าเศษกระดูก แล้วก็มองปลงๆ จากนั้นก็กลับมาใช้ชีวิตประมาทเหมือนเดิม
ตอนเด็กๆก็จำได้ว่าบวชเณรฤดูร้อน 1 เดือน แต่เคร่งมาก 10 ข้อปฏิบัติ
ท่องไว้ในใจว่าไม่ให้บกพร่อง เณรเพื่อนกันชวนประแป้งแอบกินมาม่า ก็ปฏิเสธ
วัยรุ่น ก็เฮฮาไปตามประสา ออกแนวแรง วัดวาไม่เข้าทำบุญเหมือนที่แม่คอยสอนแบบตอนเด็กๆ ออกแนวบางช่วงมะค่อยอยากไหว้พระเจ้าในเมืองด้วยซ้ำไป
ตอนนี้วัยรุ่นตอนปลาย(มากๆ) ผ่านมรสุมมาพอสมควร เริ่มมีจิตใจอยากกลับมาปฏิบัติหลังจากที่ไม่ค่อยสนใจมานานนนนนมากก
มีอยู่ช่วงนึง เมื่อสองสามปีก่อน ผมคิดพวกเรื่อง อริยสัจในหัวไปบางจังหวะอารมย์บางอารย์ ก็เฮฮาสังสรรค์กับเพื่อน จังหวะนั้น รู้สึกเกิดปิติประหลาดๆ มันสุขแบบ
มองโลกทั้งโลกแล้วปลง อย่างกำลังประชุมเจ้านายพูดเรื่องผลกำไรบริษัทต้องโต ผมก้จะมองอะไรไปแนวอริยสัจถึงความประมาทของ่ชีวิตมนุษย์ เป็นแบบนี้อยู่ไม่แน่ใจ
แต่ประมาณหลายวัน สุขปิติแบบปลงๆกิเลศแบบงงมาก
หลังจากนั้นก็แหะๆ ใช้ชีวิตประมาทเหมือนเดิมอีก แต่ตอนนี้เริ่มสนใจธรรมมะอยากปฏิบัติมากขึ้น นั่งสมาธิก็แพ้ความเพียรทุกที เคยมีแค่ครั้งเดียวนั่งไปได้สัก30นาที
ผมเข้าใจเลยว่าคำว่า 84000 พระธรรมขันธ์ของพระพุทธเจ้ามาจากในจิตคืออะไร เพราะอยู่ๆในหัวเข้าใจเรื่องการแผ่เมตตาเข้ามาแบบลึกซึ้งมากๆทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ตอนนั่งอยู่
หรือว่าอะไรก็มะได้คิดเรื่องนี้เลย อยู่ๆแปลบเข้ามาทีเดียว เข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ของอย่างงี้ไม่กล้าพูดกะคนใกล้ตัวว่าเข้าใจได้ยังไง กลัวโดนด่าว่าบ้า
หลังจากนั้นก็แป๊กแล้วครับ นั่งได้ไม่เคยเกิน ชม. แถมไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเพราะมะได้ทำบ่อยๆด้วย

พูดมาซะยาวว เพื่อที่จะให้ท่านผู้รู้ในห้อง ช่วยรบกวนชี้ทางธรรมแก่ผู้โง่เขลาอย่างผมด้วยครับ เมตตาด้วยครับ ว่าจริตผมมันควรดูจิต หรือว่าเป็นพวกจริตอะไร cool


:b42: เป็นธรรมดาครับสำหรับปุถุชน เพราะจิตยังมีหลงไปนั่นไปนี่ และบางทีก็ไปยึดติดกับสิ่งนั้น ก็เป็นเพราะยังขาดการปฎิบัติธรรม ทางแก้นั้นก็ให้นั่งสมาธิไปแล้วให้ดูการเกิดดับของจิตแต่ไม่ใช่เพ่งดูนะ เดี๋ยวจะไม่เห็นการเกิดดับ
แต่ให้ดูสภาวะของจิตที่เกิดขึ้นมาไปเรื่อย แค่เป็นผู้ดูอยู่แค่นั้นเอง ถ้าเราทำจนคล่องแล้วบางทีไม่ต้องนั่งสมาธิก็สามารถที่จะกำหนดจิตได้(แต่ไม่ใช่บังคับจิต)เพราะการกำหนดจิตคือจิตที่เกิดขึ้นจากสภาวะใดสภาวะหนึ่งและก็ใช้จิตตามรู้ แต่การบังคับจิตนั้นจิตยังไม่เกิดสภาวะอะไรขึ้นมาแต่เราก็ไปบังคับให้มันเกิด (ปรุงแต่งจิต)เพราะทุกๆอย่างมีแต่จิตเท่านั้นที่เกิดขึ้น และก็ดับไปเท่านั้นเองครับ :b39:

.....................................................
สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม
ทุกอย่างไม่ควรยึดถือ
อกุศลน้อยนิด อย่าคิดทำ
กุศลน้อยนิด ให้คิดทำ
ทำกุศลวันละนิด ดีกว่าคิดที่จะทำ

พระพุทธองค์ยังถูกนินทา
ประชาชนธรรมดามีหรือจะหนีพ้น

ไม่อยากทุกข์แต่ก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่เรียนรู้ทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2011, 23:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 04:41
โพสต์: 19


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
การปฎิบัติของตัวผมเองจะมีการปฎิบัติ2เวลาคือ ตื่นนอนตอนเช้า และก่อนเข้านอนส่วนตลอดทั้งวันจะพิจารณาสิ่งต่างๆให้อยู่ภายใต้กฎของพระไตรลักษณ์ให้มากที่สุดประกอบกับ เจริญสติไม่ให้ใจลอยฟุ่งซ่านแม้ทำงานก็ใจจดอยู่ที่งานให้มากที่สุดด้วยการดำรงอยู่ในสติ
ผมสังเกตุตัวเองว่าตื่นนอนตอนเช้าทำสมาธิจะเกิดความสงบและจิตตั้งมั่นได้เร็วและพิจารณาได้ดีกว่าตอนกลางคืนก่อนเข้านอน
เรื่องการพิจารณาความตายเป็นเรือ่งที่ควรพิจารณาให้มาก ต้องขอโทษหากต้องเอ่ยเรื่องนี้คือวันนี้เองไปติดต่อธุระ หมาตัวเล็กของลูกจ้างร้านนั้นวิ่งออกนอกถนนใหญ่โดนรถชนแบบเฉี่ยวกระเด็นไปกลางถนนทุกคนมองไปที่ร่างของหมาตัวเล็กที่เคลื่อนไหวไม่ได้ผมลุ้นเอาใจไม่ให้รถที่วิ่งตามข้างหลังไม่ไปเหยียบซ้ำและให้ไฟแดงขึ้นไวๆเจ้าของไปยืนรอที่ขอบทางถนนเตรียมเอาร่างหมาออกมา ผมมองเห็นการกระตุกของร่างกายของหมา ในขั้นแรกหางหมาสั่นกระตุกแล้วร่างกายกระตุก2 3 ครั้งแล้วนิ่งไป พอถนนว่างเจ้าของหมาเอาร่างออกมาจากกลางถนน แฟนผมเข้าไปปั๊มหัวใจดูม่านตาหมา(เป็นพยาบาล) ผมตรวจดูว่าไม่มีบาดแผลแต่กระดูกซีกโครงน่าจะหัก แฟนผมกับผมอาษาจะนำไปโรงบาลสัตว์แล้วเอาขึ้นรถวิ่งเข้าตัวเมืองประมาณ1กิโลเมตร จังหวะแฟนผมมองเห็นโรงบาลบอกให้ผมหยุดรถอุ้มหมาเข้าไปในโรงบาลแต่หมอสัตว์บอกหลังเช็คหัวใจว่าหมาตายแล้ว หมอสัตว์บอกว่าไม่มีการเต้นของหัวใจเลย จึงนำร่างหมากลับไปให้เจ้าของที่ร้านนั้น อารมณ์ของผมก็เกิดเป็นความสลดใจแล้พิจารณาว่าความตายมันเป็นของจริงแท้พึ่งเห็นมันอยู่แวบๆไม่นานเท่าไหร่มันก็ตายแล้ว ผมก็บอกแฟนว่าแค่อยากให้เขาพ้นทุกข์ก็ได้กุศลแล้ว ครับผม


ขอบคุณครับ และขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าครับ แนะนำแนวทางการปฏิบัติเพิ่มได้ครับ smiley


แก้ไขล่าสุดโดย dyno เมื่อ 12 ก.พ. 2011, 23:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2011, 23:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 04:41
โพสต์: 19


 ข้อมูลส่วนตัว


หัสพล พวงแก้ว เขียน:
dyno เขียน:
คืออยากรบกวนสอบถามจริตสำหรับตัวผมเพื่อปฏิบัติได้ถูกต้องอะครับ ตั้งใจสมัครเพื่อมาถามเลยครับ


cool


:b42: เป็นธรรมดาครับสำหรับปุถุชน เพราะจิตยังมีหลงไปนั่นไปนี่ และบางทีก็ไปยึดติดกับสิ่งนั้น ก็เป็นเพราะยังขาดการปฎิบัติธรรม ทางแก้นั้นก็ให้นั่งสมาธิไปแล้วให้ดูการเกิดดับของจิตแต่ไม่ใช่เพ่งดูนะ เดี๋ยวจะไม่เห็นการเกิดดับ
แต่ให้ดูสภาวะของจิตที่เกิดขึ้นมาไปเรื่อย แค่เป็นผู้ดูอยู่แค่นั้นเอง ถ้าเราทำจนคล่องแล้วบางทีไม่ต้องนั่งสมาธิก็สามารถที่จะกำหนดจิตได้(แต่ไม่ใช่บังคับจิต)เพราะการกำหนดจิตคือจิตที่เกิดขึ้นจากสภาวะใดสภาวะหนึ่งและก็ใช้จิตตามรู้ แต่การบังคับจิตนั้นจิตยังไม่เกิดสภาวะอะไรขึ้นมาแต่เราก็ไปบังคับให้มันเกิด (ปรุงแต่งจิต)เพราะทุกๆอย่างมีแต่จิตเท่านั้นที่เกิดขึ้น และก็ดับไปเท่านั้นเองครับ :b39:



ขอบคุณครับ แนะนำเพิ่มเติมได้ครับ smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงฟังเทศน์ หลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ มากๆนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2011, 07:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 04:41
โพสต์: 19


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
หลวงฟังเทศน์ หลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ มากๆนะครับ



ขอบพระคุณที่แนะนำคร้าบบ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยครับ แต่จะโหลดมาฟังครับ ชอบฟังอยู่แร้นน ^^


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร