วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 05:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2010, 18:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2009, 22:05
โพสต์: 80

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากการอ่านในหนังสือข้อความที่ว่า “เมื่อจิตหรือวิญญาณดับก็จะไปปฎิสนธิใหม่ในทันทีเป็นโอปปาติกะ ร่างกายที่เกิดใหม่จะเหมือนเดิมก็ได้ หรือผิดแผกตกต่างไปจากเดิมเลยก็ได้ ทั้งนี้สุดแท้แต่ผู้นั้นจะไปเกิดในภูมิไหน ถ้าผู้นั้นไปเกิดในภูมิมนุษย์ร่างกายก็จะเหมือนเดิม แต่ถ้าไปอยู่ในภูมิของโอปปาติกะแท้ๆซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ร่างกายที่เกิดใหม่นั้นจะไม่เหมือนเดิมจนจำไม่ได้ “

จากข้อความที่คัดลอกมาข้างบนนั้นกระผมไม่เข้าใจ ดังนี้
(1) ถ้าผู้นั้นไปเกิดในภูมิมนุษย์ร่างกายก็จะเหมือนเดิม (ข้อนี้กระผมเข้าใจว่าหลังจากคนเราตายจิตหรือวิญญาณดับก็ไปเกิดหรือไปปฎิสนธิเป็นมนุษย์ในทันทีอย่างนั้นหรือครับ)
(2) ถ้าไปอยู่ในภูมิของโอปปาติกะแท้ๆซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ร่างกายที่เกิดใหม่นั้นจะไม่เหมือนเดิมจนจำไม่ได้ (ข้อนี้ที่ว่าไม่เหมือนเดิมหมายถึงอาจไปเกิดเป็นเปรตรูปร่างสูงใหญ่ อาจไปเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ อาจไปเกิดเป็นนกเป็นปลาหรืออื่นๆที่ไม่เหมือนเดิมสุดแล้วแต่ว่าใครทำกรรมอะไรมาใช่ไหมครับ )
ขอได้เมตตาช่วยอธิบายให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2010, 20:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมคิดว่าไม่ว่าจะเกิดเป็นภพภูมิโอปปาติกะ หรือภพมนุษยนี้ จะมีสองอย่างที่เหมือนกันบุญกุศล กับบาป
ความเศร้าหมอง ถ้าบุญมากพอเวลามาเกิดสภาพที่เกิดจะเป้นในลักษณะที่ดี ถ้าเป้นเทพก้เปนเทพที่มี
แสงสว่างและใส่อาภรเครื่องประดับงดงามประดับร่างกาย ถ้าเปนคนก้เปนที่ดูดีมีฐานะและให้ความเคารพ
แต่ถ้าเปนบาปก้ตรงข้ามคือถ้าไปเกิดก้เปนสัตวชั้นต่ำตัวสกปรก หรือไม่ก้เปนแบบไม่มีเสื้อผ้าใส่ผมเผ้ารุงรังจนใครจำไม่ได้และกินอาหารที่เหลือเดนแล้วหรือไม่ก้อดอยาก ถ้าเปนคนก้เปนแบบขอเขากินยากจน
ค่นแข้นและเอาดีไม่ได้เลย

สำหรับข้อแรกที่ถาม ก้คงเปนอย่างนั้น เพราะคนหากถือศีลห้าครบและมีกุศลฯ10 หายตากจากโลกนี้
จะมาเกิดเป้นมนุษยต่อทันที ยกเว้นว่าหากมีบุญหรือกุศลมากกว่านี้ถึงจะเกิดเปนเทพก่อน แล้วหมดบุญ
จากเทพนั้น ถึงจะลงมาเกิดเปนมนุษย์อีก :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2010, 22:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงข้อความที่ยกขึ้นมาไม่ถูกต้องนะครับ ตอนทีจะปฏฺสนธิจะเป็นโอปปาติกะก็ได้ ไม่เป็นโอปปาติกะก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่า อยู่ในภพภูมิใด
ในตอนที่จะตาย กรรมทั้งหลายที่ได้ทำมาตลอดชีวิต จะถูกกรอกลับเหมือกรอเทปภาพยนต์ ภาพสุดท้ายที่จิตยึดเอาไว้ เป็นอารมณ์ จิตก็จะไปตามภาพที่ยึดเอาไว้ หากกรรมที่ทำมาไม่ชัด ก็จะถูก ไปตัดสินความดีความชั่ว ในยมโลก ให้พระยายมราช เป็นคนตัดสิน

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2010, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kokorado เขียน:
ความจริงข้อความที่ยกขึ้นมาไม่ถูกต้องนะครับ ตอนทีจะปฏฺสนธิจะเป็นโอปปาติกะก็ได้ ไม่เป็นโอปปาติกะก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่า อยู่ในภพภูมิใด
ในตอนที่จะตาย กรรมทั้งหลายที่ได้ทำมาตลอดชีวิต จะถูกกรอกลับเหมือกรอเทปภาพยนต์ ภาพสุดท้ายที่จิตยึดเอาไว้ เป็นอารมณ์ จิตก็จะไปตามภาพที่ยึดเอาไว้ หากกรรมที่ทำมาไม่ชัด ก็จะถูก ไปตัดสินความดีความชั่ว ในยมโลก ให้พระยายมราช เป็นคนตัดสิน

ไปกันใหญ่แล้วครับ ขอร้องเถอะครับถ้าไม่รู้ก็อย่าแสดงความเห็นแนะนำเลยครับ
มันมีด้วยหรือพระยายม ผมว่าคุณดูหนังมากไปนะครับ
:b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2010, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 14:54
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cool ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่เกิดใน ๓๑ ภูมิ จะมีลักษณะการเกิดได้ ๔ อย่าง คือ ๑. เกิดจากไข่ ( อัณฑชะกำเนิด ) ๒. เกิดจากครรภ์ ( ชลาพุชะกำเนิด ) ๓. เกิดจากเถ้าไคล ( สังเสทชะกำเนิด ) ๔. เกิดขึ้นตามผลบุญกรรม ( โอปปาติกกำเนิด ) ในการกำเนิดของสัตว์จะมี ๔ แบบ ส่วนการเกิดเป็นโอปปาติกะ ถ้าจิตมีกุศลกรรมมากก็จะไปเกิดในภพภูมิเทวดารูปก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามผลของบุญกุศล ถ้าทำกุศลกรรมมากก็จะไปเกิดในอบายภูมิ ๔ จะทรงไว้โดยรูป ๒๘ ครบบริบูรณ์ ถ้าท่านอยากทราบมากกว่านี้ ลองไปศึกษา ในอภิธรรมสังคหะดูนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2010, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


โฮฮับ เขียน:
kokorado เขียน:
ความจริงข้อความที่ยกขึ้นมาไม่ถูกต้องนะครับ ตอนทีจะปฏฺสนธิจะเป็นโอปปาติกะก็ได้ ไม่เป็นโอปปาติกะก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่า อยู่ในภพภูมิใด
ในตอนที่จะตาย กรรมทั้งหลายที่ได้ทำมาตลอดชีวิต จะถูกกรอกลับเหมือกรอเทปภาพยนต์ ภาพสุดท้ายที่จิตยึดเอาไว้ เป็นอารมณ์ จิตก็จะไปตามภาพที่ยึดเอาไว้ หากกรรมที่ทำมาไม่ชัด ก็จะถูก ไปตัดสินความดีความชั่ว ในยมโลก ให้พระยายมราช เป็นคนตัดสิน

ไปกันใหญ่แล้วครับ ขอร้องเถอะครับถ้าไม่รู้ก็อย่าแสดงความเห็นแนะนำเลยครับ
มันมีด้วยหรือพระยายม ผมว่าคุณดูหนังมากไปนะครับ
:b6:

รูปภาพ

เทวทูตสูตร(สังเขป)

[๕๑๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอกเอาใจ
ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๔ กะสัตว์นั้นแล้ว จึงปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามถึง
เทวทูตที่ ๕ ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ ๕ ปรากฏในหมู่
มนุษย์หรือ ฯ


สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า ฯ
พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นหญิงหรือชาย
ที่ตายแล้ววันหนึ่ง หรือสองวัน หรือสามวัน ขึ้นพอง เขียวช้ำ มีน้ำเหลืองเยิ้ม
ในหมู่มนุษย์หรือ ฯ

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า เห็น เจ้าข้า ฯ

พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านนั้นรู้ความมีสติ เป็น
ผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความดำริดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็มีความตายเป็นธรรมดา
ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ ฯ

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า มัวประมาทเสีย เจ้าข้า ฯ

พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้ทำความดีทางกาย
ทางวาจา และทางใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจักลง
โทษโดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดาทำให้ท่าน
ไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน ไม่
ใช่มิตรอำมาตย์ทำให้ท่าน ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์
ทำให้ท่าน ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน ตัวท่านเองทำเข้าไว้ ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบาก
ของบาปกรรมนี้ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามถึง
เทวทูตที่ ๕ กะสัตว์นั้นแล้ว ก็ทรงดุษณีอยู่ ฯ

[๕๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านิรยบาลจะให้สัตว์นั้นกระทำเหตุชื่อ
การจำ ๕ ประการ คือ ตรึงตะปูเหล็กแดงที่มือข้างที่ ๑ ข้างที่ ๒ ที่เท้าข้างที่ ๑
ข้างที่ ๒ และที่ทรวงอกตรงกลางสัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ
อยู่ในนรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด ฯ


[๕๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านิรยบาลจะจับสัตว์นั้นขึงพืดแล้วเอาผึ่ง
ถาก...จะจับสัตว์นั้นเอาเท้าขึ้นข้างบน เอาหัวลงข้างล่างแล้วถากด้วยพร้า ... จะ
เอาสัตว์นั้นเทียมรถแล้วให้วิ่งกลับไปกลับมาบนแผ่นดินที่มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง
โชติช่วง ... จะให้สัตว์นั้นปีนขึ้นปีนลงซึ่งภูเขาถ่านเพลิงลูกใหญ่ที่มีไฟติดทั่ว ลุก
โพลง โชติช่วง ... จะจับสัตว์นั้นเอาเท้าขึ้นข้างบนเอาหัวลงข้างล่าง แล้วพุ่งลงไป
ในหม้อทองแดง ที่มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง สัตว์นั้นจะเดือดพล่านเป็น
ฟองอยู่ในหม้อทองแดงนั้น เขาเมื่อเดือดเป็นฟองอยู่ จะพล่านขึ้นข้างบนครั้งหนึ่ง
บ้าง พล่านลงข้างล่างครั้งหนึ่งบ้าง พล่านไปด้านขวางครั้งหนึ่งบ้าง จะเสวยเวทนา
อันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในหม้อทองแดงนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาป
กรรมยังไม่สิ้นสุด ฯ

[๕๑๔]ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหา
นรก ก็มหานรกนั้นแล
มีสี่มุม สี่ประตู แบ่งไว้โดยส่วนเท่ากัน มีกำแพงเหล็ก
ล้อมรอบ ครอบไว้ด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของนรกใหญ่นั้นล้วน
แล้วด้วยเหล็ก ลุกโพลง แผ่ไปตลอดร้อยโยชน์รอบด้าน
ประดิษฐานอยู่ทุกเมื่อ ฯ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย และมหานรกนั้น มีเปลวไฟพลุ่งจากฝาด้านหน้าจดฝา
ด้านหลัง พลุ่งจากฝาด้านหลังจดฝาด้านหน้า พลุ่งจากฝาด้านเหนือจดฝาด้านใต้
พลุ่งจากฝาด้านใต้จดฝาด้านเหนือ พลุ่งขึ้นจากข้างล่างจดข้างบน พลุ่งจากข้างบน
จดข้างล่าง สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น
และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด ฯ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
84000 พระธรรมขันธ์ (online 3/09/2553) http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=6750&Z=7030

อรรถกถา 84000 พระธรรมขันธ์ (online 3/09/2553)http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=504


รูปภาพ



amam เขียน:
จากการอ่านในหนังสือข้อความที่ว่า “เมื่อจิตหรือวิญญาณดับก็จะไปปฎิสนธิใหม่ในทันทีเป็นโอปปาติกะ ร่างกายที่เกิดใหม่จะเหมือนเดิมก็ได้ หรือผิดแผกตกต่างไปจากเดิมเลยก็ได้ ทั้งนี้สุดแท้แต่ผู้นั้นจะไปเกิดในภูมิไหน ถ้าผู้นั้นไปเกิดในภูมิมนุษย์ร่างกายก็จะเหมือนเดิม แต่ถ้าไปอยู่ในภูมิของโอปปาติกะแท้ๆซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ร่างกายที่เกิดใหม่นั้นจะไม่เหมือนเดิมจนจำไม่ได้ “

จากข้อความที่คัดลอกมาข้างบนนั้นกระผมไม่เข้าใจ ดังนี้
(1) ถ้าผู้นั้นไปเกิดในภูมิมนุษย์ร่างกายก็จะเหมือนเดิม (ข้อนี้กระผมเข้าใจว่าหลังจากคนเราตายจิตหรือวิญญาณดับก็ไปเกิดหรือไปปฎิสนธิเป็นมนุษย์ในทันทีอย่างนั้นหรือครับ)
(2) ถ้าไปอยู่ในภูมิของโอปปาติกะแท้ๆซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ร่างกายที่เกิดใหม่นั้นจะไม่เหมือนเดิมจนจำไม่ได้ (ข้อนี้ที่ว่าไม่เหมือนเดิมหมายถึงอาจไปเกิดเป็นเปรตรูปร่างสูงใหญ่ อาจไปเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ อาจไปเกิดเป็นนกเป็นปลาหรืออื่นๆที่ไม่เหมือนเดิมสุดแล้วแต่ว่าใครทำกรรมอะไรมาใช่ไหมครับ )
ขอได้เมตตาช่วยอธิบายให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ

๑)กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ หรือคตินิมิตอารมณ์ เป็นหมายเป็นนิมิตบอกนะครับ ว่ากรรมดีหรือชั่วที่กระทำด้วยกาย วาจา ใจ สะสมไว้แล้วจะเป็นนิมิตภาพปรากฏในขณะจิตสุดท้าย เรียกมรณาสันนวิถี การจุติและปฏิสนธิของสัตว์ในกามาวจรภูมิ ๑๑ เหมือนหลับตาขว้างหินไม่รู้เลยว่าจะตกไปที่ใด ดังบาลีที่มาใน สังยุตตนิกาย มหาวารวรรคว่า

ว่าด้วยสัตว์ผู้มาเกิดในมนุษย์น้อย


[๑๗๕๗] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงช้อนฝุ่นเล็กน้อยไว้ในปลายพระนขา แล้ว
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้น
เป็นไฉน ฝุ่นเล็กน้อยที่เราช้อนขึ้นไว้ในปลายเล็บกับแผ่นดินใหญ่นี้ ไหนจะมากกว่ากัน ภิกษุ
ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แผ่นดินใหญ่นี้แลมากกว่า ฝุ่นเล็กน้อยที่พระผู้มี
พระภาคทรงช้อนไว้ในปลายพระนขามีประมาณน้อย เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่ ฝุ่นเล็กน้อยที่
พระผู้มีพระภาคทรงช้อนไว้ในปลายพระนขา ย่อมไม่ถึงซึ่งการนับ การเปรียบเทียบ หรือแม้
ส่วนเสี้ยว.


พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์มีน้อยโดยที่แท้ สัตว์ที่กลับมาเกิดนอกจากมนุษย์มีมากกว่า ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะไม่ได้เห็นอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน? คือ ทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า
นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
84000 พระธรรมขันธ์ (online 3/09/2553) http://www.84000.org/tipitaka/read/?19/1757/578


ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์มีน้อยโดยที่แท้ สัตว์ที่กลับมาเกิดนอกจากมนุษย์มีมากกว่า

อนึ่ง ปากทานปริยายจตุก จำแนกตามความยักเยื้อง หรือ ลำดับความแรงในการให้ผล ๔ อย่างคือ

1. ครุกกรรม (หนังสือพุทธธรรมสะกดครุกกรรม หนังสือกรรมทีปนีสะกดครุกรรม) หมายถึง กรรมหนัก ให้ผลก่อน เช่น ฌานสมาบัติ 8 หรือ อนันตริยกรรม
2. พหุลกรรม หรือ อาจิณกรรม หมายถึง กรรมที่ทำมาก หรือ ทำจนเคยชิน ให้ผลรองจากครุกรรม
3. อาสันนกรรม หมายถึง กรรมจวนเจียน หรือ กรรมใกล้ตาย คือกรรมที่ทำเมื่อจวนจะตาย จับใจอยู่ใหม่ๆ ถ้าไม่มีสองข้อก่อน ก็จะให้ผลก่อนอื่น
4. กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม หมายถึง กรรมอื่นที่เคยทำไว้แล้ว นอกจากกรรม 3 อย่างข้างต้น, ฏีกากล่าวว่า กรรมนี้ให้ผลในชาติที่ 3 เป็นต้นไป (กตตฺตา-สิ่งที่เคยทำไว้, วา ปน-ก็หรือว่า, กมฺม-กรรม).กตัตตากรรมนี้ ในตำราทางพุทธศาสนาหลายแห่ง (เช่น หนังสือกรรรมทีปนี พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลธรรม และหนังสือพุทธธรรมฉบับขยายความ) ได้บรรยายไว้ว่า หมายถึง กรรมสักแต่ว่าทำ กรรมที่ทำไว้ด้วยเจตนาอันอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้นโดยตรง ต่อเมื่อไม่มีกรรมอันอื่นให้ผลแล้ว กรรมนี้จึงจะให้ผล
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กรรมในพุทธศาสนา วิกิพีเดีย (online 3/09/2553)http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2



ข้อ ๒) ถ้าปฏิสนธิวิญญาณใน อุเบกขาสันตีรณ อกุศลวิบาก พวกทุคติ คือล่วงอกุศลกรรมบท ๑๐ หาศึกษาเพิ่มเติมเอานะครับ ผิดศีล ๕ เมื่อกระทำกรรมทั้ง ครุกรรม กรรมหนัก อาจิณกรรม กรรมที่กระทำบ่อย ๆ อาสัณณกรรม กรรมขณะจิตสุดท้าย กฏัตตากรรม กรรมที่ไม่มีเจตนาหรือกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ สักว่ากระทำ เหล่านี้ จะเป็นตัวชี้วัด เช่น ครุกรรมที่เป็นกุศล การเจริญทานศีล สมถภาวนาวิปัสสนาาภวนา ก็ให้กรรมฝ่ายกุศลให้ผลหนักได้รับผลทันทีที่กระทำ ครุกรรมที่เป็นอกุศล ก็จำพวกอนันตริยกรรม ก็ให้ผลทันทีในภพนี้ชาตินี้

ข้างต้นถ้าปฏิสนธิวิญญาณใน อุเบกขาสันตีรณ อกุศลวิบากจิต ก็ได้แก่อบายภูมิ ๔ อกุศลจิตหนาแน่นสุด ๆ นี้ต่ำกว่ามนุษย์และมีเป็นจำนวนมากตามพระบาลีที่รับรอง พระผู้มีพระภาคทรงตรัสไว้ อย่างในเทวทูตสูตรเป็นต้นที่ียกมาเพียงสังเขป เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วตายไปเพราะไม่กระทำความดีก็ เข้าถึงทุคติอบาย เกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน

ถ้าปฏิสนธิวิญญาณจิตใน อุเบกขาสันตีรณ กุศลวิบากจิต เป็นพวกสุขคติอเหตุกบุคคล เป็นผลของกุศล แต่เ็ป็นกุศลขั้นต่ำ ๆ คือไม่ประกอบด้วยเหตุคือกุศล แต่เป็นอกุศลวิบาก ประกอบด้วยเหตุ คือโละ โทสะ โมหะ และได้เกิดเป็นมนุษย์ก็ยังทำผิดอกุศลกรรมบท ๑๐ ผิดศีล ๕ ก็มามืด ๆ ไปมืด ๆ ก็ว่าได้ แต่ข้างกุศลวิบาก ขั้นต่ำนี้ท่านจัดไว้ว่าเป็น มนุษย์และเทวดาชั้นต่ำ คือชั้นจตุมหาราชิกา พบเห็นได้ในมนุษย์บุคคลที่พิกล พิกาล บ้า ใบ้ บอด หนวกเ็ป็นต้น ดิ้นรนอดอยากใช้ชีวิตลำบากได้รับอารมณ์ที่ไม่ดีบ่อย ๆ และมีเวทนาที่เฉย ๆ เป็นอุเบกขา กับอีกประเภทคือเป็น โสมนัสสันตีรณจิต รับอารมณ์ที่ดี และมีสุขโสมนัสใจยิ่ง ที่เห็นก็คุณ Nick Vujicic คือมีหัวใจกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ สร้างมหากุศลจิตในการให้กำลังใจ ให้สติคนท้อแท้นั่นเอง และตัวอย่างผู้พิกาลไทยอีกมากมายที่วาดรูป และทำอะไรได้อีกหลาย ๆ อีกหนึ่งคือ ภพต์ เทภาสิต “คนผู้พิการต้นแบบ”เป็นต้น
รูปภาพ


ถ้าปฏิสนธิวิญญาณจิตใน มหาวิปากญาณ วิปปยุตจิต ๔ ดวงคือไม่ประกอบด้วยปัญญา เป็นทวิเหตุกบุคคล เป็นสเหตุก คือประกอบด้วยเหตุ๒ คือโลภะ โทสะ ท่านจัดว่าเป็นมนุษย์และเทวดชั้นกลาง ๆ ตั้งแต่มนุษย์ภูมิ ๑ และเทวดาภูมิอีก ๖ ชั้น เป็นผลของกุศลขั้นกลาง ๆ ตัวอย่างก็มนุษย์บุคคลที่เกิดมาไม่รวยไม่จน กลาง ๆ พอมีพอใช้ ดิ้นรนบ้างบางพวก บางพวกก็ไม่ต้องดิ้นรนก็มี เพราะกรรมต่างกัันการสะสมกุศลต่างกันเ็ป็นต้น

ถ้าปฏิสนธิวิญญาณจิตใน มหาวิปากญาณ สัมปยุตจิต ๔ ดวงคือประกอบด้วยปัญญา เป็นติเหตุกบุคคล สเหตุกเหมือนกัน เป็นผลของกุศลขั้นสูง ท่านจัดว่าเป็นมนุษย์และเทวดาชั้นสูงไม่ประกอบด้วยเหตุคือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ติเหตุกสามนั่นเอง มาสร้างบุญบารมีต่อไป มีอำนาจวาสนาบารมีมาก สมบูรณ์พร้อมด้วยรูปสมบัติ คุณสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และมีโอกาสที่จะบรรลุแจ้งอริยสัจธรรม ดังนั้นแล้วอย่าได้ประมาทในการเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ไม่พบพระธรรมคำสั่งสอนที่รื้นถอนความเห็นผิด ปลดปล่อยสัตว์โลกผู้เวียนว่ายตาอยเกิดในภูมิต่ำ มืดบอดมาสู่ฝั่งสู่กระแสพระนิพพาน ดังบาลีที่จัดบุคคลไว้ ๔ จำพวกที่มาในอังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาตว่า

ตมสูตร

[๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔
จำพวกเป็นไฉน คือ ผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปจำพวก ๑ ผู้มืดมาแล้ว มีสว่างต่อ
ไปจำพวก ๑ ผู้สว่างมาแล้ว มีมืดต่อไปจำพวก ๑ ผู้สว่างมาแล้ว มีสว่างต่อไป
จำพวก ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปเป็นอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลต่ำ คือ ตระกูลจัณฑาล ตระกูลช่างสาน
ตระกูลนายพราน ตระกูลช่างเย็บหนัง หรือในตระกูลคนเทหยากเยื่อ อันเป็นตระกูล
เข็ญใจ มีข้าว น้ำและโภชนะน้อย เป็นอยู่โดยฝืดเคือง หาของบริโภคและผ้านุ่ง
ห่มได้โดยฝืดเคือง อนึ่ง เขามีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู เป็นคนแคระ มีโรค
มาก เป็นคนตาบอด เป็นคนง่อย เป็นคนกระจอก หรือพิการไปแถบหนึ่ง ไม่ได้
ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ ระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่
นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป ตามสมควร เขาซ้ำประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา
และด้วยใจ ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึง
อบาย ทุคติ วินิบาต นรก บุคคลเป็นผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปอย่างนี้แล ฯ



ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มืดมาแล้ว มีสว่างต่อไปเป็นอย่างไร บุคคล
บางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลต่ำ คือ ตระกูลจัณฑาล ตระกูลช่างสาน
ตระกูลนายพราน ตระกูลช่างเย็บหนัง หรือตระกูลคนเทหยากเยื่อ อันเป็น
ตระกูลเข็ญใจ มีข้าว น้ำและโภชนะน้อย เป็นอยู่โดยฝืดเคือง หาของบริโภค
และผ้านุ่งห่มได้โดยฝืดเคือง อนึ่ง เขามีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู เป็นคนแคระ
มีโรคมาก เป็นคนตาบอด เป็นคนง่อย เป็นคนกระจอก หรือเป็นคนพิการไป
แถบหนึ่ง ไม่ได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ ระเบียบดอกไม้ ของหอม
เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป ตามสมควร แต่เขาประพฤติ
สุจริตด้วยกาย ด้วยวาจาและด้วยใจ ครั้นประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ บุคคลเป็นผู้มืดมาแล้ว มีสว่างต่อไป
อย่างนี้แล ฯ



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้สว่างมาแล้ว มีมืดต่อไปเป็นอย่างไร บุคคล
บางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลสูง คือ ตระกูลกษัตริย์มหาศาล ตระกูล
พราหมณ์มหาศาล หรือตระกูลคหบดีมหาศาล อันเป็นตระกูลมั่งคั่ง มีทรัพย์มากมี
โภคะมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องใช้ที่น่าปลื้มใจมากมาย มีทรัพย์สินเหลือล้น
อนึ่ง เขามีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงาม
ยิ่งนัก เป็นผู้มีปรกติได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ ระเบียบดอกไม้ ของ
หอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป แต่เขาประพฤติทุจริตด้วย
กาย วาจา และด้วยใจ ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา และใจแล้ว เมื่อ
ตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก บุคคลเป็นผู้สว่างมาแล้ว มีมืด
ต่อไปอย่างนี้แล ฯ



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้สว่างมาแล้ว มีสว่างต่อไปเป็นอย่างไร
บุคคลบางคนในโลก เกิดมาในตระกูลสูง คือ ตระกูลกษัตริย์มหาศาล ตระกูล
พราหมณ์มหาศาล หรือตระกูลคหบดีมหาศาล อันเป็นตระกูลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก
มีโภคะมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องใช้ที่น่าปลื้มใจมากมาย มีทรัพย์สิน
เหลือล้น อนึ่ง เขามีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิว
พรรณงามยิ่งนัก มีปรกติได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ ระเบียบดอกไม้
ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป เขาย่อมประพฤติ
สุจริตด้วยกาย วาจา และด้วยใจ ครั้นประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา และใจ
แล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ บุคคลเป็นผู้สว่างมาแล้ว มีสว่าง
ต่อไปอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่
ในโลก ฯ

จบสูตรที่ ๕

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
84000 พระธรรมขันธ์ (online 3/09/2553)http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=21&A=2290&Z=2336&pagebreak=0



ส่วนคำถามเรื่องร่างกาย ขันธ์ ๕ แ่บ่งออกเป็น ปัญจโวการภูมิ ๒๖ ดูแผนภาพข้างบน ได้แก่ (กามภูมิ ๑๑ รูปภูมิ ๑๕) ที่ว่าเป็นโอปาติกะ หรือเทวดาพรหม รูป ๒๘ ก็ลดจำนวนลง เป็นต้น

ใน อบายภูมิ มนุษย์ เทวดา รูปเกิดได้ทั้งหมด ๒๘ รูป (๒๗ รูป ถ้าเป็นชาย ก็เว้นรูปที่เป็นหญิง ถ้าเป็นหญิงก็เว้นรูปที่เป็นชาย) หรืออาจขาดตกบกพร่องไปบ้าง ในกรณีที่เป็นผู้ตาบอด หรือหูหนวกเป็นต้น

ใน รูปภูมิ รูปเกิดได้ ๒๓ รูป ขาดไป ๕ รูป คือ ฆานปสาทรูป(ประสาทจมูก) ชิวหาปสาทรูป (ประสาทลิ้น) กายปสาทรูป (ประสาทกาย) อิตถีภาวรูป(ความเป็นหญิง) และปุริสภาวรูป(ความเป็นชาย) เพราะเห็นว่ารูปทั้ง ๕ ไม่เกื้อกูลแก่การทำฌาน

ใน อสัญญสัตตพรหม หรือชาวบ้านเรียกกันว่า พรหมลูกฟัก มีแต่รูปเพียง ๑๗ รูปเท่านั้น ไม่มีนาม จึงเคลื่อนไหวไม่ได้ไม่มีความรู้สึก เหมือนพระพุทธรูป หรือหุ่น เมื่อหมดอายุ ๕๐๐ มหากัป นามก็จะเกิดขึ้นมาเอง แล้วนำเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ต่อไป ๑๗ รูปคือ
อวินิพโภครูป ๘ ชีวิตรูป ๑ ปริจเฉทรูป ๑ วิการรูป ๓ และลักขณรูป ๔

ใน อรูปภูมิ มีแต่นามอย่างเดียว ไม่มีรูปเลย ตรงข้ามกับอสัญญสัตตพรหม ซึ่งมีแต่รูปอย่างเดียวไม่มีนาม ด้วยอำนาจของการเจริญปัญจมฌาน แล้วไม่ปรารถนาจะมีรูป เพราะเบื่อหน่ายในรูปขันธ์ ที่ต้องบำรุงดูแลรักษายุ่งยากมาก
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.buddhism-online.org (online 3/09/2553) http://www.buddhism-online.org/Section05B_11.htm


รูปภาพ














Credit image by:
http://marilyn2525manson.spaces.live.co ... !824.entry
http://www.thaimtb.com/cgi-bin/viewkato ... 36479&st=1
http://topicstock.pantip.com/social/top ... 29103.html
http://lifetussle.files.wordpress.com/2 ... garden.jpg

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2010, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขันธ์ทั้ง๕ คือตัวทุกข์
อุปาทานในขันธ์ทั้ง๕ คือเหตุให้เกิดทุกข์

ความดับทุกข์ คือความไม่มีอุปาทาน
มรรคทั้ง๘ คือข้อปฏิบัติเพื่อความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ทั้งปวง


มรรคทั้ง๘ ไม่มีการกล่าวถึงชีวิตในอดีตและชีวิตในอนาคตแต่อย่างใดทั้งสิ้น
มรรคทั้ง๘ กล่าวถึงแต่ชีวิตในปัจจุบันนี้เท่านั้น



หากปรารถนาที่จะพ้นไปทุกข์ในปัจจุบัน
ก็สมควรที่จะสนใจเรื่องราวของชีวิตในปัจจุบัน นี้เท่านั้น :b45:

การรู้เรื่องราวชีวิตในอดีต, รู้เรื่องราวชีวิตในอนาคต
ไม่สามารถช่วยดับทุกข์ในชีวิตปัจจุบันนี้ได้แต่อย่างใด :b45:

จะเชื่ออะไรๆก็ตามที แต่ขอให้พกเหน็บคำสอนโดยส่วนมากของพระพุทธเจ้าติดเอาไว้ตลอดด้วย
นั้นก็คือ ขันธ์ทั้ง๕ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่อย่างใด
และธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แต่อย่างใด ครับ


แก้ไขล่าสุดโดย อนัตตญาณ เมื่อ 03 ก.ย. 2010, 19:48, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 04:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธฏีกา เขียน:
โฮฮับ เขียน:
kokorado เขียน:
ความจริงข้อความที่ยกขึ้นมาไม่ถูกต้องนะครับ ตอนทีจะปฏฺสนธิจะเป็นโอปปาติกะก็ได้ ไม่เป็นโอปปาติกะก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่า อยู่ในภพภูมิใด
ในตอนที่จะตาย กรรมทั้งหลายที่ได้ทำมาตลอดชีวิต จะถูกกรอกลับเหมือกรอเทปภาพยนต์ ภาพสุดท้ายที่จิตยึดเอาไว้ เป็นอารมณ์ จิตก็จะไปตามภาพที่ยึดเอาไว้ หากกรรมที่ทำมาไม่ชัด ก็จะถูก ไปตัดสินความดีความชั่ว ในยมโลก ให้พระยายมราช เป็นคนตัดสิน

ไปกันใหญ่แล้วครับ ขอร้องเถอะครับถ้าไม่รู้ก็อย่าแสดงความเห็นแนะนำเลยครับ
มันมีด้วยหรือพระยายม ผมว่าคุณดูหนังมากไปนะครับ
:b6:

เทวทูตสูตร(สังเขป)

.....คำพูดของไอสไตย์ที่มีต่อพุทธศาสนา
"…ศาสนาในอนาคตจะเป็นศาสนาแห่งสากลจักรวาล เป็นศาสนาที่ข้ามพ้นความเชื่อที่เป็นตัวเป็นตนของพระเจ้า
และหลีกเลี่ยงความเชื่อที่ศรัทธาแบบหัวรุนแรงโดยไม่พิสูจน์ และเรื่องความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับโลกมนุษย์
แต่จะเป็นศาสนาที่ครอบคลุมทั้งเรื่องธรรมชาติและจิตวิญญาณ โดยมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกทางศาสนาที่
มาจากประสบการณ์ที่ได้ประสบกับสรรพสิ่ง ทั้งจากธรรมชาติและจิตวิญญาณ
ด้วยนัยความหมายที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งพระพุทธศาสนาสามารถให้คำตอบ
ในสิ่งที่พรรณนามาดังกล่าว ถ้าจะมีศาสนาใดที่รองรับได้กับความต้องการของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
ศาสนานั้นก็คือ พระพุทธศาสนา…."
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD% ... 9%E0%B9%8C
ตีความจากคำพูดของไอสไตย์ ตามความคิดของผมน่าจะหมายถึง
ไอสไตย์เชื่อในพุทธศาสนา แต่ในส่วนที่พิสูจน์ได้เท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 05:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amam เขียน:
จากการอ่านในหนังสือข้อความที่ว่า “เมื่อจิตหรือวิญญาณดับก็จะไปปฎิสนธิใหม่ในทันทีเป็นโอปปาติกะ ร่างกายที่เกิดใหม่จะเหมือนเดิมก็ได้ หรือผิดแผกตกต่างไปจากเดิมเลยก็ได้ ทั้งนี้สุดแท้แต่ผู้นั้นจะไปเกิดในภูมิไหน ถ้าผู้นั้นไปเกิดในภูมิมนุษย์ร่างกายก็จะเหมือนเดิม แต่ถ้าไปอยู่ในภูมิของโอปปาติกะแท้ๆซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ร่างกายที่เกิดใหม่นั้นจะไม่เหมือนเดิมจนจำไม่ได้ “

จากข้อความที่คัดลอกมาข้างบนนั้นกระผมไม่เข้าใจ ดังนี้
(1) ถ้าผู้นั้นไปเกิดในภูมิมนุษย์ร่างกายก็จะเหมือนเดิม (ข้อนี้กระผมเข้าใจว่าหลังจากคนเราตายจิตหรือวิญญาณดับก็ไปเกิดหรือไปปฎิสนธิเป็นมนุษย์ในทันทีอย่างนั้นหรือครับ)
(2) ถ้าไปอยู่ในภูมิของโอปปาติกะแท้ๆซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ร่างกายที่เกิดใหม่นั้นจะไม่เหมือนเดิมจนจำไม่ได้ (ข้อนี้ที่ว่าไม่เหมือนเดิมหมายถึงอาจไปเกิดเป็นเปรตรูปร่างสูงใหญ่ อาจไปเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ อาจไปเกิดเป็นนกเป็นปลาหรืออื่นๆที่ไม่เหมือนเดิมสุดแล้วแต่ว่าใครทำกรรมอะไรมาใช่ไหมครับ )
ขอได้เมตตาช่วยอธิบายให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ

การเกิดการดับของมนุษย์ สิ่งสำคัญอยู่ที่จิต เมื่อจิตแยกออกจากกาย
ที่เรียกว่า ตาย จิตหลังจากนั้นจะไปนรกหรือสวรรค์ก็ขึ้นอยู่ที่ตัวจิตเอง
ที่ไปยึดเอาเรื่องราวต่างๆในขณะที่ยังมีชีวิต มันมีทั้งเรื่องที่เป็นกุศลหรืออกุศล
ทุกเรื่องจะถูกบันทึกไว้เป็นสัญญา ขณะที่จิตยังไม่ได้ไปปฏิสนธิ์ใหม่
สัญญาที่ไปยึดไว้ก่อนตายจะทำงานอยู่ตลอดเวลา
ผู้ใดที่ยึดสัญญาที่เป็นกุศล ก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์
ผู้ใดยึดแต่เรื่องอกุศลไว้ก็เหมือนตกนรก


จิตจะวนเวียนทำงานของมันไป เพื่อรอภพชาติใหม่ที่มีสภาพคล้าย
หรือตรงกับสัญญาที่จิตไปยึดไว้

จิตที่เป็นกุศลไร้การปรุงแต่ง จิตย่อมมาปฏิสนธิ์ได้เร็ว เพราะสภาวะที่ตรงกัน
ของภพชาติใหม่ ไม่มีอะไรมาก
แต่ถ้าเป็นจิตที่มีแต่อกุศลมีการปรุงแต่งสังขารไว้มาก จิตย่อมปฏิสนธิ์ใน
ชาติภพใหม่ได้ช้า เพราะต้องรอสภาวะใหม่ที่จิตไปยึดไว้มาก และจากการที่
จิตไปยึดอกุศลไว้ จิตมีแต่โทสะโมหะและโลภะ สิ่งต่างๆเหล่านี้จะทำให้ภพชาติ
หรือสภาวะที่จิตจะมาอยู่ ไม่สมบูรณ์เนื่องด้วยจิตไปยึดเอาสิ่งต่างๆไว้มากเกินไป
จึงทำให้ เกิดมาพิการไม่สมประกอบ หรือการได้มาอยู่ใกล้กับสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นไว้
ในชาติที่แล้ว แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของเป็นต้น เหล่านี้แหล่ะครับคือการอธิบายเรื่องนรก
สวรรค์ตายแล้วเกิด

ไอ้เรื่องพิภพมัจจุราช มันไม่มีอยู่จริงหรอก เขาแต่งขึ้นเพื่อ
ให้คนเกิดความเกรงกลัว ไม่กล้าทำบาป
ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องจริงเป็นสัจจธรรม
การนับถือความศรัทธา จะต้องมาจากใจแท้ๆที่เกิดจากการยอมรับ
เนื่องจากเห็นจริงรู้แจ้งในคำสอนนั้น ไม่ใช่เกิดจากความกลัวหรือเชื่อตามๆกันมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อานนท์! คราวหนึ่งเราอยู่ที่ป่าไผ่ เป็นที่ให้เหยื่อแก่กระแต ใกล้กรุงราชคฤห์ นี่แหละ,
ครั้งนั้น เวลาเช้าเราครองจีวรถือบาตร เพื่อไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
คิดขึ้นมาว่า ยังเช้าเกินไปสำหรับการบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
ถ้าไฉน เราเข้าไปสู่อารามของปริพพาชก ผู้เป็นเดียรถีย์เหล่าอื่นเถิด.
เราได้เข้าไปสู่อารามของปริพพาชก ผู้เป็นเดียรถีย์เหล่าอื่น กระทำสัมโมทนียกถาแก่กัน
และกัน นั่งลง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.

อานนท์ ! ปริพพาชกเหล่านั้นได้กล่าวกะเราผู้นั่งแล้ว อย่างนี้ว่า
“ท่านโคตมะ!
มีสมณพราหมณ์บางพวกที่กล่าวสอนเรื่องกรรม
ย่อมบัญญัติความทุกข์ว่าเป็นสิ่งที่ ตนทำเอาด้วยตนเอง,


มีสมณพราหมณ์อีกบางพวกที่กล่าวสอนเรื่องกรรม
ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ผู้อื่นทำให้,


มีสมณพราหมณ์อีกบางพวก ที่กล่าวสอนเรื่องกรรม
ย่อมบัญญัติความทุกข์ว่าไม่ใช่ทำเองหรือใครทำให้ ก็เกิดขึ้นได้.


ในเรื่องนี้ ท่านโคตมะของพวกเรา กล่าวสอนอยู่อย่างไร?
และพวกเรากล่าวอยู่อย่างไร จึงจะเป็นอันกล่าวตามคำที่ท่านโคตมะกล่าวแล้ว,
ไม่เป็นการกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง แต่เป็นการกล่าวโดยถูกต้อง และสหธรรมิกบางคน
ที่กล่าวตาม จะไม่พลอยกลายเป็นผู้ควรถูกติเตียนไปด้วย?” ดังนี้.


อานนท์ ! เราได้กล่าวกะปริพพาชกทั้งหลายเหล่านั้นว่า
ท่าน! เรากล่าวว่า
ทุกข์ อาศัยเหตุปัจจัย (ของมันเองเป็นลำดับๆ)๑ เกิดขึ้น.มันอาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า?
อาศัยปัจจัยคือ ผัสสะ.
ผู้กล่าวอย่างนี้แล ชื่อว่ากล่าวตรงตามที่เรากล่าว.



-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
บาลี อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๔๑/๗๖. ทรงเล่าแก่พระอานนท์ ที่เวฬุวัน.



ต่อไปภายหน้าเมื่อไม่มีพระศาสดาอยู่แล้ว
ธรรมกับวินัย จะเป็นตัวแทนของศาสดา
เมื่อธรรมขัดกัน ให้กับไปหาพระสูตรและพระวินัย
ถ้าเข้ากันได้ ก็พึงถือตามนั้นก่อน
แต่ถ้าเข้ากันกับพระสูตรและพระวินัยไม่ได้ จงละมันไปเสีย จงวางมันลงไปเสีย


ไม่ว่าจะเป็นอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม
จะยึดเกาะอยู่ในฐานะรูปใดๆก็ตาม ผัสสะนั้นแหละคือตัวกำหนดทุกข์
ไม่ใช่พญายมทูตที่ไหนแต่อย่างใดทั้งสิ้น
เพราะแม้แต่พญายมทูตเอง ก็ยังไม่อาจที่จะกำหนดทุกข์ให้กับตนเองได้
นับประสาอะไร จะเที่ยวไปกำหนดทุกข์ให้กับผู้อื่น
พญายมทูต เป็นภพภูมิหนึ่งไหม
ถ้าเป็น ก็แสดงว่า พญายมทูตก็ยังไม่พ้นไปจากทุกข์ จากชาติ ชรามรณะได้

พญายมทูตปล่อยวางผัสสะได้ไหม
ถ้าไม่ได้ พญายมทูตก็ต้องมีเวทนา เมื่อมีเวทนาก็ต้องมีตัณหา
มีตัณหา ก็มีอุปาทาน มีภพ มีชาติ ชรา มรณะ มีโสกะปริเทวทุกขโทมนัสอุปายสะ เหมือนกัน

พระพุทธเจ้าเอง ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงกำหนดชะตาชีวิตให้กับผู้ใดได้
ถ้าท่านทำได้ ในสมัยที่พระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่ พระองค์คงทำให้ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย
พ้นไปจากทุกข์ มีดวงตาเห็นธรรมเหมือนกับพระองค์กันไปหมดแล้ว.

ดังนั้น หากใครจะมาบอกว่า ผู้นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงกำหนดชะตาชีวิตให้กับผู้อื่นได้
ใครคนนั้น กำลังกล่าวตู่พระพุทธเจ้า
ใครคนนั้น ไม่ใช่สาวกที่มีพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา ไม่ใช่พุทธสาวกแต่อย่างใด.


แก้ไขล่าสุดโดย อนัตตญาณ เมื่อ 04 ก.ย. 2010, 09:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่แน่ใจว่าคุณกำลังถามเรื่องศาสนาพุทธอยู่หรือปล่าว ไม่ใช่ผมกวนอะไร เพียงแต่เรื่องที่คุณกำลังถามเป็นศาสนาพุทธหรือปล่าว

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2010, 06:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ผัสสะ ทำให้เกิด สุข
ผัสสะ ทำให้เกิด ทุกข์
ผัสสะ ทำให้เกิด ไม่สุขไม่ทุกข์
ผัสสะ ทำให้เกิด เวทนาทั้งหลายทั้งปวง
เมื่อเกิดสุข ก็ติดใจ เป็นภวตัณหา
เมื่อเกิดทุกข์ ก็อยากผลักใส เป็นวิภวตัณหา

ตราบใดที่ยังมีตัณหา หากตายลงในเวลาขณะจิตนั้น ย่อมต้องไปเกิดเป็นสัตว์ในภพภูมิน้อยใหญ่ เรื่อยไป

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2010, 11:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนคำถามเรื่องร่างกาย ขันธ์ ๕ แ่บ่งออกเป็น ปัญจโวการภูมิ ๒๖ ดูแผนภาพข้างบน ได้แก่ (กามภูมิ ๑๑ รูปภูมิ ๑๕) ที่ว่าเป็นโอปาติกะ หรือเทวดาพรหม รูป ๒๘ ก็ลดจำนวนลง เป็นต้น

ใน อบายภูมิ มนุษย์ เทวดา รูปเกิดได้ทั้งหมด ๒๘ รูป (๒๗ รูป ถ้าเป็นชาย ก็เว้นรูปที่เป็นหญิง ถ้าเป็นหญิงก็เว้นรูปที่เป็นชาย) หรืออาจขาดตกบกพร่องไปบ้าง ในกรณีที่เป็นผู้ตาบอด หรือหูหนวกเป็นต้น

ใน รูปภูมิ รูปเกิดได้ ๒๓ รูป ขาดไป ๕ รูป คือ ฆานปสาทรูป(ประสาทจมูก) ชิวหาปสาทรูป (ประสาทลิ้น) กายปสาทรูป (ประสาทกาย) อิตถีภาวรูป(ความเป็นหญิง) และปุริสภาวรูป(ความเป็นชาย) เพราะเห็นว่ารูปทั้ง ๕ ไม่เกื้อกูลแก่การทำฌาน

ใน อสัญญสัตตพรหม หรือชาวบ้านเรียกกันว่า พรหมลูกฟัก มีแต่รูปเพียง ๑๗ รูปเท่านั้น ไม่มีนาม จึงเคลื่อนไหวไม่ได้ไม่มีความรู้สึก เหมือนพระพุทธรูป หรือหุ่น เมื่อหมดอายุ ๕๐๐ มหากัป นามก็จะเกิดขึ้นมาเอง แล้วนำเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ต่อไป ๑๗ รูปคือ
อวินิพโภครูป ๘ ชีวิตรูป ๑ ปริจเฉทรูป ๑ วิการรูป ๓ และลักขณรูป ๔

ใน อรูปภูมิ มีแต่นามอย่างเดียว ไม่มีรูปเลย ตรงข้ามกับอสัญญสัตตพรหม ซึ่งมีแต่รูปอย่างเดียวไม่มีนาม ด้วยอำนาจของการเจริญปัญจมฌาน แล้วไม่ปรารถนาจะมีรูป เพราะเบื่อหน่ายในรูปขันธ์ ที่ต้องบำรุงดูแลรักษายุ่งยากมาก
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ลองคิดพิจารณาดูเล่นๆ หากเมื่อตายไปแล้ว ต้องไปเกิดเป็น พรหมลูกฟัก หรือพรหมที่ไม่มีรูป ขึ้นมา
สัญญา เวทนา สังขาร วิญญาณ ครั้งเมื่อยังอยู่ในภพภูมิของมนุษย์จะติดตามตัวไปด้วยหรือไม่อย่างไร
และในภพภูมิของชั้นพรหมทั้งหลายนั้นจะมีผัสสะไหม?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2010, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


และหากลองเอาความรู้สึกในปัจจุบันนี้ ยัดใส่เข้าไปในภพภูมิของพรหมลูกฟักนั้นดู
มันคงจะทรมานน่าดู เพราะต้องอยู่เฉยๆนิ่งไม่เคลื่อนไหว ต้อง๕๐๐มหากัป
ลำพังการนั่งอยู่เฉยๆเพียงแค่1นาที2นาทีในภพภูมิของมนุษย์นี้ ก็จะทนไม่ได้อยู่แล้ว

จึงเข้าใจเล่นๆว่า เมื่อเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของพรหมทั้งหลาย
น่าจะเป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คนละอย่างกับภพภูมิของมนุษย์
ผัสสะก็น่าจะเป็นคนละชนิดกัน :b9:

วิญญาณของพรหมนั้น อาศัย เวทนา สัญญา สังขาร เป็นแดนเกิดหรือไม่อย่างไร
อยากรู้กระบวนการเกิดปฏิจจสมุปบาท ในภพภูมิของพรหมบ้างจัง
ว่าจะเหมือนกระบวนการเกิดปฏิจจสมุปบาท ในภพภูมิของมนุษย์หรือไม่อย่างไร
พรหมมีแก่ มีเจ็บ บ้างไหมนะ

ความรู้สึกเมื่อยังอยู่ในภพภูมิของมนูษย์นั้น จะเป็นความรู้สึกตัวเดียวกันกับในภพภูมิของเทวดา
หรือพรหมหรือไม่อย่างไร
หากเป็นตัวเดียวกัน ก็น่าที่จะตั้งความปรารถนาที่จะขอไปเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
แต่ก็จะเป็นปัญหาที่ว่า แล้วจะต้องกินอยู่กันอย่างไร เพราะในเมื่อความรู้สึกนั้นมันเหมือนกัน
มันเป็นตัวเดียวกัน

หากเป็นคนละตัวกัน มันก็คนละเรื่องกันเลย
เพราะตัวที่ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมหรือสัตว์นั้น มันเป็นคนละตัวกับที่เคยเป็นอยู่ในภพภูมิเดิม

เป็นการคิดเล่นๆ นะครับ
เพราะพระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสเตือนเอาไว้ว่า อะไรๆก็อย่าพึ่งเชื่อ :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2010, 11:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตญาณ เขียน:

ลองคิดพิจารณาดูเล่นๆ หากเมื่อตายไปแล้ว ต้องไปเกิดเป็น พรหมลูกฟัก หรือพรหมที่ไม่มีรูป ขึ้นมา
สัญญา เวทนา สังขาร วิญญาณ ครั้งเมื่อยังอยู่ในภพภูมิของมนุษย์จะติดตามตัวไปด้วยหรือไม่อย่างไร
และในภพภูมิของชั้นพรหมทั้งหลายนั้นจะมีผัสสะไหม?



:b12: อิ อิ เอกอนชอบความคิดพิจารณาเล่น ๆ ของท่านจริง ๆ .. อิ อิ

อิ อิ..
อิ อิ..
อิ อิ..


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 05 ก.ย. 2010, 14:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร