วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 04:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 พ.ย. 2008, 20:43
โพสต์: 42


 ข้อมูลส่วนตัว


141 ปิดประตูนรก

ปัญหา ทำอย่างไร จึงจะเชื่อแน่ได้ว่า คนจะไม่ตกนรก และจะไม่เกิดในอบายภูมิอื่น ๆ อย่างเด็ดขาด ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนคฤหบดี เมื่อใดแล ภัยเวร ๕ ประการของอริยสาวกสงบแล้ว เมื่อนั้นอริยสาวสกย่อมประกอบด้วยธรรมอันเป็นองค์แห่งโสดาปัตติ ๔ อย่าง และญายธรรมอย่างประเสริฐ อริยสาวกเห็นดีแล้วแทงตลอดด้วยปัญญา อริยสาวกนั้นหวังอยู่ พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเอง ได้ว่าเราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำหนดสัตว์เดียรัจฉานสิ้นแล้ว มีปิตติวิสัยสิ้นแล้ว มีอบาย ทุคติ วินิบาตสิ้นแล้ว เราเป็นโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงจะตรัสรู้ในภายหน้า
“ภัยเวร ๕ ประการสงบแล้วเป็นไฉน ดูก่อนคฤหบดี บุคคลผู้ฆ่าสัตว์.... บุคคลผู้ลักทรัพย์.... บุคคลผู้ประพฤติผิดในกาม..... บุคคลผู้พูดเท็จ.... บุคคลผู้ตั้งอยู่ในความประมาท เพื่อดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย ย่อมประสบภัยเวรใดอันมีในชาตินี้บ้าง อันมีชาติหน้าบ้าง ย่อมเสวยทุกข์ทางใจคือโทมนัสบ้างเพราะปาณาติบาต.... เพราะอทินนาทาน.... เพราะกาเมสุมิจฉาจาร.... เพราะมุสาวาท.... เพราะการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยเป็นเหตุ.... กาเมสุมิจฉาจาร.... มุสาวาท.... การดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทสงบแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ภัยเวร ๕ ประการนี้สงบแล้ว
“อริยสาวกย่อมประกอบด้วยธรรม อันเป็นองค์แห่งโสดาปัตติ ๔ อย่างเป็นไฉน ดูก่อนคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า.... ในพระธรรม.... ในพระสงฆ์.... ย่อมประกอบด้วยศีล ที่พระอริยเจ้าปรารถนา ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อมเป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาและทิฐิไม่ครอบงำได้ เป็นไปเพื่อสมาธิ อริยสาวกย่อมประกอบด้วยธรรมอันเป็นองค์แห่งโสดาปัตติ ๔ อย่างนี้.....
“ก็ญายธรรมอันประเสริฐ อันอริยสาวกเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญาเป็นไฉน ดูก่อนคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ถึงปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างดีว่า เมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับด้วย ประการดังนี้ คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ฯลฯ ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้ ก็เพราะอวิชชาดับ.... สังขารจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมีด้วยประการอย่างนี้
“ดูก่อนคฤหบดี เมื่อใดแล ภัยเวร ๕ ประการนี้ของอริยสาวกสงบแล้วเมื่อนั้นอริยสาวกย่อมประกอบด้วยธรรมเป็นองค์แห่งโสดาปัตติ ๔ อย่าง และญายธรรมย่อมประเสริฐนี้... อริยสาวกนั้น หวังอยู่พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว....”

ปัจจเวรภยสูตรที่ ๑ นิ. สํ. (๑๕๑-๑๕๕)
ตบ. ๑๖ : ๘๒-๘๓ ตท. ๑๖ : ๗๕-๗๗
ตอ. K.S. II : ๔๗-๔๘



124 การบูชายัญอันประเสริฐ

ปัญหา พราหมณ์ในสมัยพุทธกาลนิยมบูชายัญด้วยการเผาไม้หอม อาหาร เสื้อผ้า ขนม เนย แม้กระทั่งสัตว์ในกองไฟพิธี ถือว่าได้บุญมาก พระผู้มีพระภาคทรงมีทรรศนะในเรื่องนี้อย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “ ดูก่อนพราหมณ์ ท่านเผาไม้อยู่ อย่างคาดหมายว่าจะบริสุทธิ์ ก็การเผาไม้นี้เป็นของภายนอก ผู้ฉลาดทั้งหลายย่อมกล่าวความบริสุทธิ์ด้วยการเผาไม้นั้น
“ ดูก่อนพราหมณ์ เราละการเผาไม้ ซึ่งบุคคลพึงปรารถนาความบริสุทธิ์ ด้วยการเผาไม้อันเป็นของภายนอก แล้วยังไฟคือญาณให้โพลงภายในตนทีเดียว เราเป็นพระอรหันต์ มีไฟอันโพลงแล้วเป็นนิตย์ มีจิตตั้งไว้ชอบแล้วเป็นนิตย์ ประพฤติพรหมจรรย์อยู่
“ ดูก่อนพราหมณ์ มานะแลเป็นดุจภาระคือหาบของท่าน ความโกรธเป็นดุจควัน มุสาวาทเป็นดุจเถ้า ลิ้นเป็นดุจภาชนะเครื่องบูชา หทัยเป็นที่ตั้งกองกูณฑ์ ตนที่ฝึกดีแล้วเป็นความรุ่งเรืองของบุรุษ
“ ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้ถึงเวททั้งหลายนั่นแล อาบในห้วงน้ำคือธรรมของบุรุษทั้งหลาย มีท่าคือศีลไม่ขุ่นมัว อันบัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญแล้วมีตัวไม่เปียกแล้ว ย่อมข้ามถึงฝั่ง....”

สุนทริกสูตรที่ ๙ ส. สํ. (๖๖๕)
ตบ. ๑๕ : ๒๔๘-๒๔๙ ตท. ๑๕ : ๒๓๕-๒๓๖
ตอ. K.S. I : ๒๑๒-๒๑๓



ปัญหา ได้ทราบว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา สอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาก่อนจึงเชื่อ แต่อยากทราบว่ามีหลักอะไรบ้างในพระพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชนจะต้องเชื่อ ? และถ้าไม่เชื่อจะมีผลอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงสัยเคลือบแคลง ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระศาสดา.... ในพระธรรม.... ในพระสงฆ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตของภิกษุที่สงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระศาสดา .... ในพระธรรม..... ในพระสงฆ์นั้น ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อประกอบเนือง ๆ เพื่อความทำติดต่อเพื่อความเพียรที่ตั้งมั่น ข้อที่จิตของภิกษุไม่น้อมไปเพื่อความเพียรเครื่องเผากิเลส เพื่อความประกอบเนือง ๆ เพื่อความทำติดต่อ เพื่อความเพียรที่ตั้งมั่นอย่างนี้ ชื่อว่าตะปูตรึงใจ....ฯ ”

เจโตขีลสูตร มู. ม. (๒๒๘)
ตบ. ๑๒ : ๒๐๕-๒๐๖ ตท.๑๒ : ๑๖๔
ตอ. MLS. I : ๑๓๒

033 กินเนื้อสัตว์บาปหรือไม่

ปัญหา มีพุทธศาสนิกชนบางพวกเห็นว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นบาปเพราะเป็นการส่งเสริมให้คนอื่นฆ่า ในเรื่องนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่าไม่ควรเป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ เนื้อที่ตนเห็น เนื้อที่ตนได้ยิน เนื้อที่ตนรังเกียจ ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของควรบริโภค ด้วยเหตุ ๓ ประการคือ เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล.....”

ชีวกสูตร ม. ม. (๕๗)
ตบ. ๑๓ : ๔๘-๔๙ ตท.๑๓ : ๑๓ : ๔๗
ตอ. MLS. II : ๓๓


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 พ.ย. 2008, 20:43
โพสต์: 42


 ข้อมูลส่วนตัว


221 ศาสนาอื่นมีพระอริยบุคคลหรือไม่

ปัญหา พระอริยบุคคลที่ได้บรรลุมรรคผล เช่น พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ มีอยู่ในศาสนาอื่นหรือไม่ ? หรือว่ามีเฉพาะในพระพุทธศาสนา ?

พุทธดำรัสตอบ ว่า “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะมีในธรรมวินัยนี้เท่านั้นสมณะที่ ๑.... สมณะที่ ๒.... สมณะที่ ๓.... สมณะที่ ๔.... มีในธรรมวินัยนี้ ลัทธิอื่นว่างจากสมณะทั้ง ๔ เธอทั้งหลายจงบันลือสีหนาท(ประกาศ) โดยชอบอย่างนี้เถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะเป็นไฉน ?
“....ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ (สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) เป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยวจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า นี้สมณะที่ ๑
“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๒ เป็นไฉนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ และเพราะราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลง เป็นพระสกทาคามีมาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ นี้สมณะที่ ๒
“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๓ เป็นไฉนภิกษุในธรรมวินัยนี้
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เป็นอุปปาติกะ (เป็นพระอนาคามี) จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา นี้สมณะที่ ๓
“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๔ เป็นไฉนภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญหาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน... นี้สมณะที่ ๔
“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะที่ ๑.... สมณะที่ ๒.... สมณะที่ ๓.... สมณะที่ ๔.... มีในธรรมวินัยนี้ ลัทธิอื่นว่างจากสมณะทั้ง ๔ เธอทั้งหลายจงบันลือสีหนาทโดยชอบอย่างนี้เถิด”

กรรมวรรค จ. อํ. (๒๔๑)
ตบ. ๒๑ : ๓๒๓-๓๒๔ ตท. ๒๑ : ๒๗๑-๒๗๒
ตอ. G.S. II : ๒๔๒-๒๔๓


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 พ.ย. 2008, 20:43
โพสต์: 42


 ข้อมูลส่วนตัว


258 ผู้ไม่มีโชคได้พบพระพุทธศาสนา

ปัญหา มีคนประเภทไหนบ้าง ที่ไม่มีโชคได้พบพระพุทธศาสนา ได้ประพฤติพรหมจรรย์ และได้ลิ้มรสความสุขอันเกิดจากการปฏิบัติธรรม ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรม.... และธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง นำความสงบมาให้.... แต่บุคคลผู้นี้เขาถึงนรกเสีย...
“อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมแสดง นำความสงบมาให้ .... แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเสีย....

“อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมแสดง นำความสงบมาให้ .... แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงปิตติวิสัยเสีย....

“อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมแสดง นำความสงบมาให้ .... แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงเทพนิกายผู้มีอายุยืนชั้นใดชั้นหนึ่งเสีย....

“อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรม..... นำความสงบมาให้ .... แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในปัจจันตชนบท และอยู่ในพวกมิลักขะไม่รู้ดีรู้ชอบ.... อันเป็นสถานที่ไม่มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไปมา....

“อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบท แต่เขาเป็นมิจฉาทิฐิ มีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การบวงสรวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มีโลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ทั้งหลายที่ผุดเกิดขึ้น (โอปปาติก) ไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กระทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสั่งสอนประชุมชนให้รู้ตาม ไม่มีในโลก

“อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบท แต่เขามีปัญญาทราม บ้าใบ้ ไม่สามารถรู้อรรถแห่งสุภาษิต และทุภาษิต

“อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรม.... แต่พระตถาคตมิได้แสดง ถึงบุคคลผู้นี้จะเกิดในมัชฌมิชนบท และมีปัญญาไม่บ้าใบ้ ทั้งสามารถจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุภาษิต....”

อักขณสูตร อ. อํ. (๑๑๙)
ตบ. ๒๓ : ๒๒๙-๒๓๐ ตท. ๒๓ : ๒๐๑-๒๐๒
G.S. IV : ๑๕๒-๑๕๓


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 พ.ย. 2008, 20:43
โพสต์: 42


 ข้อมูลส่วนตัว


หลังจากนี้คงอุเบก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม สาธุ
ยินดีที่ได้ร่วมสนธนา เอวัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 04:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 00:29
โพสต์: 15

งานอดิเรก: ศึกษา
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้แต่ว่า "ตัวเราโชคดีแล้ว ที่ได้เกิดมาใต้ร่มบวรพระพุทธศาสนา"จะปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงแนะไว้ดีแล้วจะ
ไม่ขอเปลี่ยนแปลง ไปเป็นอย่างอื่น...."สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" จริงๆ

อนุโมทนา ครับผม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 18:55
โพสต์: 3

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีค่ะ
สำหรับเราคิดว่า ไม่มีฝ่ายไหนไม่ดีหรอก อนุตรธรรมเค้าก็ไม่ได้หลอกลวงเรานิ เค้าเคยบอกมั้ย?ว่าดวงคุณไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ ต้องสะเดาะเคราะห์ ต้องทำงั้นทำงี้? มีบ้างมั้ย เราคิดว่าไม่มีนะ เราว่าไอ้พวกอย่างนั้นหน่ะเราว่าควรเอามาพิจารณามากกว่า เราเป็นคนนึงที่อยู่กับอนุตรธรรมมานานพอสมควร แบบว่า ป้าก็เป็นเจื่ยงซือ น้าก็เป็นเจืยงซือ แถมที่บ้านก็มีสถานธรรมครัวเรือนอีก และยังไม่พอครอบครัวเราก็ทานเจกันทั้งบ้านด้วย อ้อ เปิดร้านอาหารเจอีกต่างหาก คือว่าพวกเราไม่กินเลือดเนื้อคนอื่นอะนะ
โอเชแต่เรื่องกินเจนี้ไม่เกี่ยวอะไร มาเข้าเรื่องดีกว่า เรานับถือศาสนาพุทธ ลูกเราก็เรียนโรงเรียนวัด
เรื่องศาสนาพุทธหน่ะ ป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว อันนี้ไม่เถียง แต่เราก็ไม่ยอมที่จะให้คนบางคนที่ไม่รู้จิงรึไม่ได้สัมผัสกับตัวจิงๆมาว่าอนุตรธรรมปาวๆหรอก เราขอยกมาเรื่องนึงก่อนแล้วกันเรื่องตากะยายของเรา ยายของเราได้รับธรรมะเรียบร้อยแล้วแต่ก็ไม่ได้กินเจตลอดนะ ส่วนตาของเรานะไม่อยากจะพูดเลยว่าไม่ได้มีโอกาสรับธรรมะ เชื่อมั้ยแค่วันเดียวท่านก็รอไม่ได้อะ คนเราไม่มีบุญอะนะ ขนาดป้าของเราเชิญเตี่ยนฉวนซือมาปั้นเต้าที่บ้านเลยนะ (ตอนนั้นยังไม่มีห้องพระเลย)ตาเราเป็นคนที่แข็งแรงมากนะแล้วก็เป็นคนที่หัวแข็งมากๆด้วยชวนแกรับธรรมะเท่าไหร่แกก็ไม่รับ แล้วแกก็ไม่ได้รับจิงๆ เชื่อมั้ย ว่าแกไม่ได้ป่วยเลยนะอยู่ดีๆแกก็หายใจไม่ออก และก็ตายเฉยเลย ทั้งที่ไม่ได้ป่วยด้วย แต่เราก็มีการปั้นเต้าปรกติ
วันที่ไปงานศพนะต้องมีการรดน้ำศพ แบบว่าตัวแกดำปี๋เลยตัวเกรงไปทั้งตัว(ก็เหมือนคนตายธรรมดาทั่วไป)เส้นยึดมือไม้หงึกแทบแบบไม่ได้เลย นี่คือคนที่ไม่ได้รับธรรมมะนะ ต่อมาเป็นยายของเราแกสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเจ็บออดๆแอดๆมาตลอด ถึงขนาดกินข้าวทางสายยาง ป้าเราก็ปั่นโจ๊กเจให้กินตลอด (แกไม่ได้กินเจตลอดนะ) แล้วก็ถึงคราวของแก เชื่อมั้ย ศพของท่านนิ่มมากอ้อ ตอนแกเสียนะทางโรงพยาบาลยังไม่ให้เอาออกนะเพราะเค้าบอกว่าตัวท่านยังอุ่นๆอยู่ แถมยังมีเลือดฝาดอีก เค้าก็คิดว่าหัวใจท่านคงหยุดเต้นไปชั่วขณะ เราทิ้งท่านไว้1วันท่านก็ไม่หายใจ แต่ว่า ตัวท่านนิ่มไม่เหมือนคนตายเลย ปรกติศพธรรมดา เวลายกแค่หามหัวหามท้ายก็ยกได้แล้วชั่ยมะ แต่ยาย ต้อง3-4คนแหนะ เพราะมือไม่แกไม่อยู่สุขไงเดี๋ยวก็ปัดซ้ายปัดขวา อิ อิ ขนาดตอนอยู่ในโรงเรายังยกท่านมาพิงโรงถ่ายรูปได้เลย ผิดกับตาลิบลับเลย นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราคิดว่าธรรมมะมีจิงที่ว่าตัวจะนิ่ม นี่เห็นมากะตา คัยไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะจ๊ะ :b53: :b41: :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 21:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 18:55
โพสต์: 3

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue ยังไมจบอะนะ แบบมันคาใจ เรื่องการเปิดจุดเนี่ย อยากถามว่า เรารู้มั้ยทำไมคนอินเดีย ถึงแต้มจุดไว้กลางหน้าผาก ทำไมทางพระเยซูคริตส์ ถึงมีไม้กางเขน แล้วทำไมศาสนาพุทธเวลากราบพนมมือต้องเอานิ้วจรดหน้าผาก นั้น ก็คือเพราะทุกศาสนานั้นมีจุดประสงค์เดียวกันคือได้ให้ปริศนาธรรมไว้แต่ไม่ไม่คัยทราบตรงจุดสำคัญนี้ไง คงงงชั่ยมั้ยว่าไม้กางเขนมาเกี่ยวอะไร เราก็ลองทำมือเป็นไม้กางเขนสิ แล้วก็ลองมาทาบกับจมูกเราดู นั่นหน่ะ มันเป็นจุดเดียวกับที่เวลาตอนปั้นเต้าเค้าเปิดจุดให้ชั่ยมั้ย (ถ้าคัยรับธรรมมะแล้วจะรู้ว่าจิงมั้ย ) สิ่งศักสิทธ์ทุกพระองค์ ทุกลักธิ ล้วนอยากบอกเรา แต่ก็ทำไม่ได้เพราะยังไม่ถึงเวลาจึงทิ้งแต่ปริศนาธรรมเอาไว้เฉยๆ แล้วพวกคุณก็จะมากว่าหาว่าอนุตรธรรมไม่ดีอีกหรอ
ถามหน่อยเค้าบังคับให้คุณรับธรรมะหรอ?
ถามหน่อยว่าเค้าหลอกลวงเงินทองคุณหรอ?
ถามหน่อยว่าสิ่งที่อาจารย์ทุกท่านทำนั้นหวังผลตอบแทนหรอ? ไม่เลยนะ ทุกคนคณะอาจารย์ไม่มีเงินเดือนไม่เคยขอเงินคัย ไม่ได้บังคับให้คุณทำบุญเท่านั้นเท่านี้
และที่เค้าสอนให้เราทำดี รู้จักคุณสัมพันธ์5 คุณธรรม8 นั้นมันไม่ดีหรอ?
เค้าให้เราละเว้นกรรมปากไม่ทานเนื้อสัตว์นี่มันหลอกลวงหรอ? การกินเจนะ ไม่ชั่ยได้บุญนะ เพียงแต่เราไม่เพิ่มบาปเท่านั้นเอง พวกคุณลองคิดดูสิว่าฟันของสัตว์ที่กินเนื้อนั้นจะมีเขี้ยวแหลมคมเพื่อที่เอาฉีกเนื้อสัตว์ให้กินได้ แล้วสัตว์ที่กินผักกินหญ้า นั้นฟันของพวกเค้าก็ไม่มีเขี้ยวแหลมคม เพราะเค้าแค่เคี้ยวผักหญ้าเฉยๆ แล้วมาดูฟันของคนบ้างสิ เป็นไงเป็นระเบียบเรียบสวยกันทั้งนั้น ถึงจะมีเขี้ยวก็เล็กนิดเดียวชั่ยมั้ย นั้นก็เพราะว่าธรรมชาตินั้นไม่ได้สร้างให้เรานั้นกินเลือดเนื้อกันเอง แต่พวกเราเองที่ฝ่าฝืนธรรมชาติกินเลือดเนื้อกันเอง คนก็มีชีวิต สัตว์ก็มีชีวิต มีเลือด เนื้อ จิตใจ เหมือนคนเราทุกอย่าง เค้าไม่ได้ต้องการเกิดมาเพื่อที่จะให้เรากินหรอกนะ เห็นมั้ย วิถีอนุตรธรรมเค้าก็ไม่ได้สอนเราผิดๆหนิ มันก็เป็นเรื่องจิงทุกอย่าง เพียงแต่คนที่รับธรรมแล้วไม่เข้าใจ ไม่ศึกษาให้เข้าใจถึงจุดประสงค์ของเขาเอง :b45: :b55: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 20:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 15:43
โพสต์: 1


 ข้อมูลส่วนตัว


เพิ่งจะเห็นกทนี้ โพสต์ไว้นานแล้ว แต่หวังว่าจขกท จะยังกลับเข้ามาอ่านนะคะ อาศัยโอกาศนี้ได้ศึกษาร่วมกันนะคะ
ดิฉันรับวิถีอนุตตรธรรมมาสิบสองปีแล้วค่ะ ก่อนรับวิถีอนุตตรธรรม ดิฉันศึกษาหนังสือธรรม ทั้งพระไตรปิฎก คู่มือมนุษย์ คู่มือดับทุกข์ และอีกมากมาย แต่ไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อน ดิฉันแสวงหาทางหลุดพ้นเพราะไม่อยากเวียนเกิดเวียนตายไม่รู้จบ ก่อนรับวิถีธรรม ดิฉันได้ไปนั่งอธิษฐานต่อหน้าพระแก้วมรกตที่ท้องสนามหลวง ขอให้ค้นพบหนทางพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน มีผู้มาชักชวนดิฉันไปรับธรรม ซึ่งตอนนั้นดิฉันก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ได้รับไตรรัตน์ 3 ประการ ซึ่งเขาบอกว่าเป็นความลับสวรรค์ ดิฉันก็ยังไม่ได้สนใจอะไร ฟังอะไรก็ไม่เข้าหัวเลย เวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน เขาพาดิฉันไปเข้าชั้นฟื้้นฟูจิตเดิม่แท้ 3 วัน นั่งฟังธรรมเฉยๆ 3 วัน แล้วถวายชื่อขึ้นไปไว้ที่ด่านพุทธาลัย ซึ่งเป็นปากประตูนิพพาน ช่วงเวลา3 วันที่ฟังธรรม ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกค่ะ เพราะไม่เคยฟังเรื่องราวแบบนี้มาก่อน แต่รู้สึกดีมากๆ หลังจากฟังวันที่สามจบ กลับถึงบ้าน ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นค่ะ ดิฉันรู้สึกเหมือนตัวเองระลึกชาติได้ แต่ไม่ใช่เห็นด้วยตาเนื้อ และหลังจากนั้นอีกหลายครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อดิฉันได้ลองกำหนดจิตไว้ที่ญาณทวาร กายกับจิตก็แยกออกจากกัน ซึ่งทำให้ดิฉันเข้าใจในกายสังขารที่ไม่ใช้ตัวเราอย่างแท้จริง ต่างจากการรู้จากหนังสือที่เคยอ่าน และหลังจากนั้น ดิฉันยิ่งอ่านหนังสือธรรมมากขึ้น ด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่ได้รับมานั่นเอง แต่กลับเป็นว่าวิถีชีวิตปกติในชีวิตประจำวันทำให้ดิฉันสามารถเข้าสู่สติปัฐฐานครบองค์4 คือ กายานุสติปัฐฐาน เวทนานุสติปัฐฐาน จิตตานุสติปัฐฐาน และธรรมมานุสติปัฐฐาน ภายในเวลา 3 ปีหลังจากรับธรรม โดยที่ดิฉันเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับดิฉันทั้งหลายนั้น คือสติปัฐฐาน4 มารู้เอาทีหลังเมื่อมีโอกาสได้ศึกษาจากหนังสือของหลวงพ่อจรัล การร่วมศึกษากับจขกท ในครั้งนี้ดิฉันไม่ได้หวังผลอะไร เพราะธรรมไม่สามารถใช้ถ้อยคำหรือตัวหนังสือใดๆมาอธิบาย เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับดิฉันยังมีอีกมากมาย ล้วนเป็นปัจจตังเว แต่สิ่งที่ื่ดิฉันสังเกตได้จากผู้เข้ารับวิถีธรรมทั้งหลาย ล้วนมีความก้าวหน้าเจริญในปัญญาขึ้นเรื่อยๆทุกปี โดยไม่รู้ตัวแม้ไม่ได้กลับไปที่พุทธสถานเหล่านั้นอีกเลย เวลาผ่านไปจนถึงวันนี้สิบสองปี ผ่านเหตุการณ์มากมาย ชีวิตประจำวันคือสนามทดสอบระดับจิตที่ดีที่สุดค่ะ ถึงวันนี้ดิฉันก็ยังคงไม่ได้นั่งสมาธิเพราะความเชื่อที่ว่าแม้จะมีญาณรู้หรืออะไรได้ แต่หากกับผู้คนรอบตัวเรายังถือตัวตน ยังแบ่งเขาแบ่งเรา แบ่งดีชั่วสูงตำ่ ยังไม่สามารถรักใครได้เหมือนรักตัวเราเอง เราก็ยังคงมีอัตตา เห็นแก่ตัว เปรียบเทียบวัดวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด เรายังมีกิเลสครอบงำอยู่ ดิฉันจึงอาศัยผู้คนรอบข้างขัดเกลากิเลสและอัตตาของตัวเองไปเรื่อยๆในทุกๆวันค่ะ ดิฉันหวังว่าจขกท จะเจริญธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 22:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

ขอบคุณคุณ Tummada ที่ดันกระทู้นี้ขึ้นมา

นานแล้วที่ไม่ได้อ่านความเห็น ท่าน Asawakos ที่ท่านได้สอดแทรกไว้ประปรายในกระทู้นี้ :b8:
ผู้ซึ่งถ้าใครรู้ว่าเขาผู้นี้จบเปรียญเก้าตั้งแต่ยังเป็นเณร
และได้บวชในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
โดยในหลวงทรงบวชให้ เป็นนาคหลวง
และในสมัยนั้นก็เป็นพระอาจารย์สอนที่จุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ในสาขาบาลี-สันสกฤต
พระลูกศิษย์ท่าน เป็นเจ้าคณะจังหวัดกันไปหมดแล้วมั๊ง :b32:
ท่านผ่านเวทีการอภิปรายธรรม มามาก
ท่านเป็นพระที่มีความสามารถมากชนิดที่ว่า
พระอาจารย์ดัง ๆ ระดับประเทศถ้าท่านใดเคยอภิปรายธรรมร่วมกับท่าน
รับรองว่า การจะลืมท่านผู้นี้ลงไม่ใช่เรื่องง่ายเรย
และท่านก็เป็นผู้ที่ยังคงเฝ้าเพียรทำอะไรหลาย ๆ อย่างเพื่อศาสนา
ไม่ว่าจะจัดหา จัดซื้อ จัดส่งพระพุทธรูป บาตร จีวร (เป็นพัน ๆ)
ไปให้กับหมู่บ้านชาวพุทธที่ประเทศอินเดีย
โดยควักทุนตนเองส่วนหนึ่ง และบอกบุญไปยังหมู่มิตรส่วนหนึ่ง ท่านก็ทำมาแล้ว
(ซึ่งเวลาท่านมาบอกบุญที ว่าท่านกำลังจะทำอะไร
เอกอนแทบอยากจะมีเงินสักสิบล้านในกระเป๋าไว้ทำบุญกับท่านบุญทุ่ม :b32: :b9:
เพราะ แต่ละงานงานใหญ่เหลือเกิน .. ท่านเป็นผู้ที่ช่างสร้างสรรค์มาก :b32: :b32: )

:b8: :b8: :b8:

นับว่าเป็นบุญของเอกอนอย่างมากที่ได้รู้จักท่าน
เสียดายที่ท่านไม่ได้เข้ามาที่ลานแห่งนี้แล้ว
ไม่เช่นนั้น ท่านคงได้มอบธรรมงาม ๆ ประดับลานไม่ขาดสาย

:b8: :b8: :b8:

:b48: :b48: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 17 ก.ค. 2012, 23:23, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 23:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


และ ก็มีบางครั้งที่ท่าน Asawakos ก็เข้ามาสมัครด้วยชื่ออื่น
โพสต์ธรรม ในบุคลิกที่แตกต่างกันไป
เพื่อทดสอบสภาวะธรรมของนักสนทนา

อีกภาคหนึ่งคือท่าน ไวโรจนมุเนนทระ :b16:
ไวโรจนมุเนนทระ เขียน:
เอรากอน เขียน:

พระอุปัชฌาย์ท่านใดบอกได้รึเปล่าคะ ตั้งได้เพราะจริง ๆ

ชื่อดีเกินไป ใช่ เพราะดีเกิน ก็เลยไปดีไง :b12:

:b13: เหลือไว้แต่ อิ อิ กำลังหัวหกก้นขวิด... :b13:

หายไปไหนหลายวัน ท่านหาธรรมงาม ๆ มามะเหงกเขกหัวเอกอนซะดี ๆ

คิดถึงธรรมงาม ๆ จากท่านจะแย่อยู่แล้ว... :b20: :b20:


ชื่อ ก็ คือชื่อ ชื่อน้อยตัวใหญ่ ชื่อสวยแต่ขี้เหร่ ชื่อมี แต่ จน เอาแน่ไม่ได้
:b1:
พระอุปัชฌาย์ท่านตั้งให้ คงอยากให้บวชอยู่นาน ๆ

บุญบวชมีน้อย เลยตัดช่องน้อยออกมาก่อน :b12:

พระอุปัชฌาย์ท่านมรณภาพแล้ว :b8:

ท่านชื่อ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร) วัดสามพระยา แต่ไม่ได้บวชที่วัดสามพระยา
บวชที่อื่น เป็นวัดใหญ่ใน กทม. ที่ไม่มีพระจำพรรษา มีแต่พระอุโบสถและเจดีย์งดงาม
ท่านอนุเคราะห์ไปเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ :b8: :b8: :b8:

เหลือแต่เพียงทรงจำดี ๆ ครังหนึ่งในชีวิตครับ :b24:

:b53: :b53: :b53:

.......


ส่วนภาคอื่น ๆ ขอ :b21: เกรงสมาชิกที่เคยปะกับท่านจะรับไม่ได้

:b9: เพราะท่านขี้เล่นเหลือหลาย :b32: :b32:

แต่ก็เป็นปกตินี่นะ เพราะดูเหมือนสมาชิกที่แสดงความเห็นอยู่ในกระทู้นี้
ที่ชื่อ KIRARA ก็ดูเหมือนจะสมัครมาเพื่อแสดงความเห็นในกระทู้นี้โดยเฉพาะเช่นกัน
เพราะ คงไม่ต้องการเปิดเผยตัว ...

:b30: :b30: :b30:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 18 ก.ค. 2012, 09:31, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2012, 01:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2012, 08:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


จริง ๆ วันนั้นเอกอนก็อยากจะแสดงความเห็น
แต่ไม่รู้จะพูดยังไง จึงจะเป็นการง่ายที่คนจะเห็นภาพได้

:b6: :b6: :b6:

แต่วันนี้ กลับดูเหมือนจะไม่ต้องพูดอะไรมากเลย..แฮะ .. :b10: :b10:

ว่า อนุตรธรรมเป็นไป โสดาปัตติมรรค มิจฉาสภาวะ มาได้ไง .. :b10: :b10:

:b3: :b3:

viewtopic.php?f=1&t=42574

:b43: :b43: :b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2012, 09:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

ตรงนี้ขอแบ่งปันประสพการณ์จากที่เคยไปรับอนุตรธรรม แต่อาจจะโชคดีกว่าคุณ
เหมือนดังที่ยกตัวอย่างเรื่องของวัดให้ฟัง อ่านดูนะคะ นำมาเล่าสู่กันฟัง
ไม่ได้คิดสนับสนุน หรือ คิดต่อต้านใดๆ เพียงแต่จะบอกว่า ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับทุกๆคนนั้น
ล้วนเกิดจากเหตุที่เคยกระทำร่วมกันมา ไม่ว่าจะกุศลหรืออกุศลก็ตาม


....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2012, 09:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


s006 s006

เบื่อคนหัวไว....จังวุ้ย..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2012, 09:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
s006 s006

เบื่อคนหัวไว....จังวุ้ย..


:b8: :b8: :b8:

ไม่รู้แอบมาหยิกชมใคร แต่เอกอนจะขอหน้ามึนรับ...

เพราะเอกอนบร้ายอ อ่อ อ๊ออออ ... อิอิ

:b4: :b4: :b4:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร