วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 04:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 14:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
จากท่านชาติสยาม จากกระทู้ viewtopic.php?f=2&t=22849

พระอรหันต์นั้นไม่ขัดกันด๊อกกก พี่น้อง
เพราะสัจธรรมนั้นมันเป็นของ สากล
เหมือนกัน รสเดียวกัน
ผู้ใดถึงแล้ว เห็นแล้ว ย่อมถึงและเห็นในสิ่งสิ่งเดียวกัน
แต่ว่าเป้นเราต่างหากที่ไปเข้าใจว่า ท่านสอนขัดกัน


ท่านชาติครับ คราวนี้ผมว่าระหว่างความปราโมท (http://www.wimutti.net/pramote/) กับความสงบ (http://www.sa-ngob.com ) นั้นแตกต่างกันแล้วนะครับ สำหรับพระุคุณเจ้าพระไพศาล วิสาโล ที่ได้อธิบายมานั้นก็เป็นความเห็นส่วนตัวโดยแท้มิไดพิเคราะห์ถึงสาเหตุ ดังที่พระอาจารย์สงบได้ชี้แจ้งแถลงไว้เช่น มิต้องจงใจ ว่างๆๆๆ อย่าไปบังคับบัญชา จิตเคลิ้ม จิตเยิ้ม ธรรมะสำหรับคนเมือง ฯลฯ
เมื่อก่อนผมก็ปวดเศียรเวียนเกล้ากับคำเหล่านี้มาก เลยไปอ่านประทีปส่งธรรม(3 รอบ) กับวิมุติมรรคที่ท่านแต่งยิ่งปวดเศียรเข้าไปใหญ่ว่าสอนอะไรแบบนี้หนอเล่นเอามึนและเสียเซ้วไปพักใหญ่ มีน้องบางคนโดนทักว่าสว่างแล้ว กลับมานั่งสัปงกบ้าง ฟังเพลงทั้งวัน ว่างไม่ได้ต้องเอาโทรศัพท์อันแสนแพงออกมากดติ๊ด เม๊ากับเพื่อนทั้งวัน ติดของเบรนเนมบ้าง ติดละคร พี่ที่ทำงานอีกคนไปบวชมา 4 เดือน ที่สวนฯ โดนทักว่าสว่างแล้วด้วยความตื่นเต้น ก็เลยเดินไปถามว่าปฏิบัติอย่างไรคำตอบคือ ว่างๆ นั่งไม่เคยเกิน 15 นาที เฮ้อเศร้าหมองโดยแท้ ผมก็นึกสว่างแล้วเป็นอย่างนี้หรือหนอ ถ้าจะให้ใจเป็นกลางก็น่าจะลองฟังที่พระป่าท่านทักท้วงบ้าง น่าจะดี โดยส่วนตัวธรรมะบ่มีทางลัด มิฉะนั้นพระพุทธองค์ท่านคงสอนไปแล้ว มิต้องเพียรนั่งจนก้นแตกอย่างหลวงตา มิต้องเดินไปลำบากในป่าให้ยุงกัดอย่างหลวงปู่มั่น มิต้องทนเป็นไข้มาลาเรียอย่างหลวงปุ่แหวน หรือแม้ท่านพาหิยะเองในอดีตชาติก็ปฏิบัติจนตาย ฯลฯ

........กรรม มุนา วัตตะตี โลโก......... ในผู้ที่ปฏิบัติใหม่ผุ้ไม่เคยมาก่อน หรือผู้เคยแต่ปฏิบัติไม่จริงจัง ไม่ต่อเนื่อง พอไปเจอว่างๆ ก็จะติดใจเพราะง่ายดี แล้วก็รีบตัดสินใจทันทีว่าแบบนี้แหละสุโค่ย ใครเตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง

เหอๆๆๆๆ กระทู้นี้จะโดนลบหรือไม่หนอ เคยไปโพสในลานธรรมถามเรื่องเพ่งพอตอบไม่ได้ลบโลด


อ้างคำพูด:
ที่องค์ฐานรานร้าวถึง9 แฉก
เผยอแยกยอดทรุดก็หลุดหัก
แต่เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก
เสียดายนัก นีกหน้าน้ำตาระเด็น
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ
จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น
เป็นผู้ดีีมากแล้วยากเย็น
คิดก็เป็น อนิจจังเสียทั้งนั้น
http://board.palungjit.com/f4/%E0%B8%AA ... 27230.html


พระศาสนานี้เป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลกมาก โดยเฉพาะในหมวด สมาธิ และปัญญา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พ้นทุกข์โดยแท้จริง หากจะมีกรรมใดที่ข้าน้อยได้ทำไปด้วยเจตนาีที่จะดำรงรักษาไว้ซึ่งพระศาสนาให้คงอยู่ต่อไป ข้าน้อยก็ขอน้อมรับ

เจริญธรรม



อิอิ ตอบได้ตรงเลยงับ

หลวงพ่อปราโมทย์ เหลือทางเดิน ไม่กี่สาย ควรจะปฏิบัติจนหลุดพ้นถึงที่สุดแห่งทุกข์ แล้วค่อยออกมา

เผ่ยแผ่ดีกว่า

ความจริงท่านชาติสยามก็รักอาจารย์ปราโมทย์ในช่วงแรกๆเหมือนผมเลย

แต่พอผมได้ฟังจนเข้าใจทั้ง หลวงพ่อปราโมทย์ และ พระอาจารย์สงบ

แต่ผลสรุปคือ หลวงพ่อปราโมทย์ผิดจริง และ ด้วยความหวังดีในการเผ่ยแผ่ธรรมะของอาจารย์ปราโมทย์ จะกลายเป็นผลร้ายต่อพระพุทธศาสนาในภายหลัง

ความจริงตัวหลวงพ่อปราโมทย์ก็ไม่ผิด

ผิดที่ อวิชชามันหลอกใช้หลวงพ่อต่างหาก

ให้หลวงพ่อไปฆ่ามันให้ตายก่อน จะได้ไม่ไปล้มล้าง พระรัตนไตย

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 14:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อะไรทุกข์......เพราะกิเลส..จึงทุกข์..
อะไรติด.......เพราะกิเลส...จึงติด..
อะไรรับไม่ได้..เพราะกิเลส..จึงรับไม่ได้..

:b8:


ข้าน้อยน้อมรับครับ ครับท่านกบ

ถ้าพระญี่ปุ่นมาเผยแพร่ศาสนาในไทยแล้วบอกว่า พระมีเมียได้ ไม่ผิด แต่ถ้าเป็นเถรวาท มีเมียก็ต้องอาบัติปราชิกไม่สามารถบวชได้อีก ในฐานะชาวพุทธจะทำอย่างไรดีหนอ นิ่ง นอน เฉย แล้วแต่เวรแต่กรรม เรื่องของเขาไม่ใช่ของเรา หรือกลับไปพิจารณว่า เอพระไตรปิฏกมันก็ผ่านมาหลายพันปีอาจจะผิดเพื้ยนก็เป็นได้ อันตัวเรากามราคะก็รุมเร้า ยังงั้น พระมีเมียได้ก็ดีเหมือนกัน หรือ มีเมียก็ไม่ผิด ไม่มีเมียก็ไม่ผิด คือถูกทั้งคู่ เหอะๆ เวรกรรมแท้หนอ


อ้างคำพูด:
ไม่เห็นมีขัดกัน หลวงพ่อสงบก็ถูกของท่าน หลวงพ่อปราโมทย์ก้ถูกของท่าน

ประมาณว่าหลวงพ่อสงบท่านไม่สามารถฟังพระอาจารย์ปราโมทย์ให้เข้าใจได้ จะเข้าใจได้เฉพาะนักดูจิตเท่านั้น
เฮ้อ เอกสารหลักฐานบานตะเกียง ก็ยังแถอยู่ร่ำไปนะครับ ไหนท่านลองขยายความหน่อยนะครับ
- ดูอย่างเดียวว่างๆ ได้นิพพาน เป็นไปได้อย่างไรหนอ
- ให้ดูแต่อย่าจงใจ มันทำยังไงคับ ทุกครั้งที่ท่านจะทำอะไรต้องมีความจงใจเกิดขึ้นก่อน แล้วถ้าไม่จงใจจะดูได้อย่างไร
- ธรรมมะสำหรับคนเมือง แล้วถ้าเป็นคนบ้านนอกมาก่อนแบบผม แล้วย้ายมาอยู่บางกอกจะทำได้ไหมหนอ
- ดูลงไปที่ปรมัตถ์เลย ทิ้งบัญญัติได้ทันที(เหอะๆ นึกอยากจะทิ้งก็ทิ้งซะงั้น)
- เป็นวิธีที่ลัดสั้นที่สุด แล้วของหลวงปู่หลวงตาทั้งหลายมันยืดเยื้อตรงไหน หรือของพระพุทธองค์ละ
- ดูจิตอย่างเดียวไม่ต้องทำสมาธิ มรรค 7(ไม่มีสมาธิ) ก็พอ แต่ยังไงก็ไม่รู้มาบอกว่าต้องทำสมาธิด้วย(เฮ้อโล่งอกครบมรรค 8 แล้ว) แล้วดูจิตนี่ต้องทำสมาธิหรือไม่เนี่ยชักงง แล้วอ้าวทำไมต้องทำสมาธิด้วยละในเมื่อตอนแรกบอกให้ดูจิตอย่างเดียว
- จิตเคลิ้ม จิตเยิ้ม เหอะ ๆ เพิ่งเคยได้ยินมันเป็นอย่างไงเหรอ
- อย่าไปบังคับจิต ดูไปอย่างเดียว แล้วถ้าอกุศลจิตเกิดอยากกินมาม่าหลังเที่ยง ก็ดูไปว่าอยากกิน แล้วก็ไปต้มมาม่า ก็ดูไป แล้วก็กิน แล้วก็ดูไป แล้วก็อิ่ม ที่ไม่บังคับนะจริงๆ ทำอย่างไรคับ
- เวลาฟุ้งมากอย่าทำ เช่นเครียดจัดแฟนทิ้ง อยากดื่มเหล้าก็ไปดื่มเลย

เอาแค่นี้ก่อนแหละ อันนี้ไม่เกี่ยวกับปรามาสนะเป็นข้อสงสัยในธรรมที่ผมปวดเศียรเสมอมา ก่อนที่พระอาจารย์สงบจะออกมาเฉลยนะครับ
ส่วนเรื่องจิตเจตสิกผมไม่ขอกล่าวเพราะสติยังไม่สามารถพัฒนาได้จนเห็นการเกิดดับของจิต ไม่อยากจำสภาวะมากล่าวอะครับ



ตอบไม่ได้อย่าไล่ให้ไปฟัง ซีดี นะครับ ช่วยไปตามนักดูจิตมาตอบให้ที ถ้าของเขาดีจริงก็ไม่น่ากังวลจริงบ่คับ ถ้าอธิบายได้เคียผมจะได้เข้าใจถูกซะที นักดูจิตเท่าที่รู้จักไล่ไปซังซีดีหมด เฮ้อประทีปส่องธรรมก็อ่านแล้ว วิมุติมรรคก็อ่านแล้วมันไม่เคียจิงๆๆ

เจริญธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 15:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 04:38
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[quote="ตะแง๊ว"]:b8:
กระทู้นี้ เป็นความตั้งใจดีที่อยากนำข้อมูลมาสู่สายตาสาธารณชนที่อาจจะเคลือบแคลงใจกับเรื่องราวเกี่ยวกับ วงกรรมฐาน ที่ได้ยินได้ฟังมาจากปากต่อปาก แล้วไม่เคยทราบว่าปัญหา หรือ ความจริงเป็นเช่นไร เท่านั้น

เพราะฉะนั้นกราบขอความกรุณา นักวิจารณ์ธรรมทั้งหลาย งดซึ่งวิจารณ์ข้อความอันจะเป็นเหตุให้ต้อง ตอบกันไป-มา

:b8: ซึ่งบางข้อความอาจจะเป็นเหตุให้ท่านได้ปรามาส ครูบาอาจารย์อย่างไม่ได้ตั้งใจ

สาธุ
[quote]

เรียนคุณ ตะแง๊ว

ขออนุโมทนา ในกุศลครั้งนี้ครับ

แต่ชะรอย ข้อความที่ท่านอ้อนวอน ต่อจากเนื้อหาในกระทู้

อาจไม่สามารถทำให้ "อมนุษย์" บางตนอ่านหรือเข้าใจได้

ก็คงต้องถือโอกาสให้อภัยทาน โดยยกประโยชน์
ให้แก่ความโง่เขลาของหมู่สัตว์ไปก็แล้วกัน...นะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
ไม่เห็นมีขัดกัน หลวงพ่อสงบก็ถูกของท่าน หลวงพ่อปราโมทย์ก้ถูกของท่าน

ประมาณว่าหลวงพ่อสงบท่านไม่สามารถฟังพระอาจารย์ปราโมทย์ให้เข้าใจได้ จะเข้าใจได้เฉพาะนักดูจิตเท่านั้น

ถ้าคุณอายุใช้ตรรกะอย่างนี้
แสดงว่าคุณอายะ เก่งมากเลย เก่งกว่าหลวงพ่อปราโมทย์ เก่งกว่าหลวงพ่อสงบ
ถึงขั้นสามารถวินิจฉัยได้ว่าใครผิดใครถูก

จะเก่งเกินไปมั๊ย


อายะ เขียน:
เฮ้อ เอกสารหลักฐานบานตะเกียง ก็ยังแถอยู่ร่ำไปนะครับ ไหนท่านลองขยายความหน่อยนะครับ

เอาล่ะ ปัญหาผมเท่าหางอึ่ง แต่ผมฉีกหน้ากากความโง่คุณออกมาให้ดู

อายะ เขียน:
- ดูอย่างเดียวว่างๆ ได้นิพพาน เป็นไปได้อย่างไรหนอ

อันนี้ใครสอนเหรอครับ ผมศึกษามาจนป่านนี้ ผมไม่เคยได้ยินหลวงพ่อปราโมทย์สอนอย่างนี้
ท่านพูดบ่อยที่สุดเรื่องอย่าไปคิดว่าว่างๆแล้วได้นิพพาน อย่าไปคิดว่าพรมลูกฟักเป้นนิพพาน
ตู่พระตู่เจ้า ระวังนรก

อายะ เขียน:
- ให้ดูแต่อย่าจงใจ มันทำยังไงคับ ทุกครั้งที่ท่านจะทำอะไรต้องมีความจงใจเกิดขึ้นก่อน แล้วถ้าไม่จงใจจะดูได้อย่างไร

คนมันโง่ ของอยู่กับตัวไม่เคยดู จะไปเห้นอะไร
ถามหน่อยเถอะ
ตา มันเห้นภาพ ถามว่าต้องมีเจตนาไหม ที่จะไปรับภาพ
หูมันได้ยินเสียง ถามว่าต้องมีเจตนาไหมที่จะไปเลือกรับเสียงหรือไม่รับเสียง
นี่มันก็ไม่เจตนาทั้งนั้นแหละ ไม่จงใจทั้งนั้นแหละ อธิบายหน่อยสิ

เมื่อไหร่คุณอายะเกิดสติขึ้นมาเอง ถึงจะหมดสงสัยว่าอะไรคือปราศจากเจตนา

การดูจิตมีสองระยะ
ระยะหัดรู้สภาวะให้จิตมันคุ้นเคย นำร่องให้จิต
เมื่อจิตคุ้นเคยแล้ว จึงจะเกิดสติขึ้นมาเป้นขณะ เกิดขึ้นมาเอง เกิดเป็นขณะ
กระทั่งนอนหลับอยู่แท้ๆ ยังเกิดขึ้นมาเอง นี่เรียกว่าปราศจากเจตนา
แม้แต่ลืมตาใสอยู่ ก็จะเกิดขึ้นมาเอง ของมันเอง

ระยะที่สอง คือระยะที่จิตรู้ตื่น มีสตินี้แหละ
คนไม่เคยมันก้ว่าไม่มี คนมีมันก็ไม่สงสัย หายสงสัย

มัวแต่ไปเอาคำพูด ความคิด ต่างๆนาๆมาคาดคั้นเอาความจริง
ทำไปจนกระดูกเป็นอากาศก็ไม่มีทางมีสติขึ้นมากับเขาหรอก


อายะ เขียน:
- ธรรมมะสำหรับคนเมือง แล้วถ้าเป็นคนบ้านนอกมาก่อนแบบผม แล้วย้ายมาอยู่บางกอกจะทำได้ไหมหนอ

โอย พูดแบบนี้ ศรีธนลชัยกลับชาติมาเกิดหรือไง

พูดแบบนี้เหมือนจะบอกว่า
ถ้าฝรั่งมันกินข้าวสวยทุกวันมันคงตาย
คนไทยกินขนมปังคงจะไม่รอด
พูดแบบนี้ มิน่าล่ะ ใจถึงรองรับสัจธรรมไม่ได้

ผมอ่านหนังสือหลวงพ่อแค่รอบเดียว ฟังอะไรก้ฟังรอบเดียว ก็รู้เรื่อง
แต่ที่คุณอ่านกี่รอบๆไม่รู้เรื่อง เพราะอ่านแบบศรีธนลชัยนี่แหละ


อายะ เขียน:
- ดูลงไปที่ปรมัตถ์เลย ทิ้งบัญญัติได้ทันที(เหอะๆ นึกอยากจะทิ้งก็ทิ้งซะงั้น)

คุณมันยังอ่อนต่อธรรมมากนัก
คุณเคยเยี่ยวแล้วจำตอนอาการเยี่ยวสุดที่มันเสียวๆได้ไหม นั่นแหละ ปรมัตถ์
เคยได้ยินเสียงแต่ฟังไม่ออกไหม นั่นแหละปรมัตถ์
เคยอาบน้ำอุ่นๆแล้วรู้สึกว่ามันไม่เหมือนน้ำปกติไหม นั่นแหละปรมัตถ์
เคยรู้สึกมั่นๆกล้าๆพองๆแน่ๆ ตันๆ เวลามาคุยกระทู้ธรรมะไหม นั่นแหละปรมัตถ์

เวลาทั้งวันน่ะ กิน ยืน เดิน นั่งนอน เคยไหมว่า อันที่กิน เดิน นั่ง นอน อยู่นี่น่ะ เป้นคนอื่นไหม
หรือเคยคิดว่าเป้นคนอื่น แล้วมันเป็นคนอื่นขึ้นมาจริงๆไหม หรือยังเป้นคนเดิมอยู่ตลอด
ถ้าเป้นคนเดิมอยู่ตลอด นี่บัญญัติ
ถ้าเวลาจิตมันเห็นปรมัตถ์มันจะไม่เห็นเป้นเราหรอก มันจะเห้นความเป้นเราอยู่ 2 "เรา"
นี่ล่ะปรมัตถ์ เราหนึ่งนี้คือรูปกายและความรู้สึกทั้งหลาย เราที่สองนี้อยู่ในกายเป็นเราที่รู้อยู่เฉย
ที่พูดนี่ พูดจากประสบการณ์ตรงนะ ไม่ต้องมาเที่ยวท้าถามว่านั่งสมาธิถึงไหน
ไม่เคยนั่งหรอก แต่เกิดอย่างนี้ เห็นอย่างนี้


อายะ เขียน:
- เป็นวิธีที่ลัดสั้นที่สุด แล้วของหลวงปู่หลวงตาทั้งหลายมันยืดเยื้อตรงไหน หรือของพระพุทธองค์ละ

ถามหน่อยสิว่า กรรมฐานอะไรไม่มีจิต
กรรมฐานคุณอายะกระมัง ไม่ต้องมีจิต
ไม่ดูเข้าย้อนมาที่จิต แ้ล้วให้ไปดูอะไร?


อายะ เขียน:
- ดูจิตอย่างเดียวไม่ต้องทำสมาธิ มรรค 7(ไม่มีสมาธิ) ก็พอ แต่ยังไงก็ไม่รู้มาบอกว่าต้องทำสมาธิด้วย(เฮ้อโล่งอกครบมรรค 8 แล้ว) แล้วดูจิตนี่ต้องทำสมาธิหรือไม่เนี่ยชักงง แล้วอ้าวทำไมต้องทำสมาธิด้วยละในเมื่อตอนแรกบอกให้ดูจิตอย่างเดียว

ผมท้าให้คุณไปเอาอ้างอิงมา ว่าตรงไหนหลวงพ่อบอกว่า "ดุจิตอย่างเดียวไม่ต้องทำสมาธิ"
ตรงไหนท่านว่า "มรรค 7 ก็พอ"
นี่ใส่ร้ายชัดๆเลย หัวจิตหัวใจเป็นอะไรแล้ว กล้าสร้างเรื่องเองขนาดนี้

คนอย่างคุณไม่มีปัญญาจะเข้าใจหรอกว่า สติเป็นขนิกสมาธิ
ชั่วเวลามีสตินั่นแหละสมาธิ จิตดังนั้นแหละมีศีลบริบูรณ์ในวาระนั้น
ปัญญาก็รวมอยู่ในวาระนั้น ตามสมควรแก่เหตุ


อายะ เขียน:
- จิตเคลิ้ม จิตเยิ้ม เหอะ ๆ เพิ่งเคยได้ยินมันเป็นอย่างไงเหรอ

คุณไม่มีเหรือจิตเคลิ้ม เคยร่วมเพศไหม
ตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม อะไรก้ฉุดไม่อยู่น่ะ นั่นแหละดูลงไป
จิตมันกำลังคลอเคลียคลิบเคลิ้มอยู่กับราคะอย่างเหนียวแน่น

ที่สอนให้ดุตอนร่วมเพศ เพราะมันหยาบๆดิบๆ เห้นง่าย
ถ้าจะสอนคุณว่าให้ดูตอนจิตในมัยคลอเคลียกับบุญกุศล จงจะไม่มีปัญญาจะเข้าใจ

จิตเยิ้มนี่ เกิดมาเพิ่งได้ยินคุณพูดคนแรก

อายะ เขียน:
- อย่าไปบังคับจิต ดูไปอย่างเดียว แล้วถ้าอกุศลจิตเกิดอยากกินมาม่าหลังเที่ยง ก็ดูไปว่าอยากกิน แล้วก็ไปต้มมาม่า ก็ดูไป แล้วก็กิน แล้วก็ดูไป แล้วก็อิ่ม ที่ไม่บังคับนะจริงๆ ทำอย่างไรคับ

- หลวงพ่อพูดอย่างนี้หรือคุณสร้างเรื่องเอง

คุณจะดุจิตหรือเปล่าล่ะ ดุจิตก็อย่างนี้
ถ้าจะไปนั่งสมาธิก็ไปนั่ง

สมถะกับวิปัสนา มันทำคนละแบบกัน ประโยชน์ปลายทางก็คนละอย่าง



อายะ เขียน:
- เวลาฟุ้งมากอย่าทำ เช่นเครียดจัดแฟนทิ้ง อยากดื่มเหล้าก็ไปดื่มเลย


ทำไมเป็นคนอย่างนี้ หลวงพ่อพูดเหรอ ว่าให้เครียดแล้วไปกินเหล้า
ใส่ร้ายกันชัดๆ นี่มันเลวจนไม่รู้ว่าจะพูดยังไง


คุณอายะคงจะเจริญธรรมได้ยากยากซะแล้วล่ะครับ
จิตใจมันอาฆาตมาตรร้ายพระอริยเจ้าแบบนี้
กรรมฐานอะไรก็ไม่เจริญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 18:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.พ. 2010, 14:09
โพสต์: 8

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อันว่าวัฎสงสาร หากเปรียบเหมือนท้องทะเล

ผู้คนโดยมากวนเวียน แหวกว่ายอยู่ในนั้น

นิพพานนั้นเป็นฝั่ง ที่บางคนคิดจะไปให้ถึง

มีพระธรรม คือเรือ อันเป็นที่พึ่งได้

เรือ นั้นก็มีหลายลำ หลายสำนัก

ในเมื่อเราล้วนต้องการไปให้ถึงฝั่ง

จะมีประโยชน์อะไรที่จะมา คอยดูว่าเรือเราดี เรือคนอื่นไม่ดีเท่า

เรือเรา สวยกว่า เรืออีกลำไม่สวยเท่า

แทนที่ เรือใคร ต่างก็พายไป

ใครจะลัด จะตรง จะช้า จะไว แล้วแต่เลือก แล้วแต่จริตใคร

หรือ หากพายๆ ไป ดูๆแล้วชักจะห่างฝั่งไปทุกที

จะโดดลงน้ำ ขึ้นเรืออีกลำ ก็ไม่แปลก

ขอเพียงไม่เปลี่ยนเป้าหมายก็พอแล้ว

ตั้งหน้าตั้งตาพายไป

อย่าเอาไม้พายมาตีกันให้เรือใครจมเลย

:b30: :b30: :b30: tongue


แก้ไขล่าสุดโดย หมอก เมื่อ 23 ก.พ. 2010, 18:11, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
ไม่เห็นมีขัดกัน หลวงพ่อสงบก็ถูกของท่าน หลวงพ่อปราโมทย์ก้ถูกของท่าน

ประมาณว่าหลวงพ่อสงบท่านไม่สามารถฟังพระอาจารย์ปราโมทย์ให้เข้าใจได้ จะเข้าใจได้เฉพาะนักดูจิตเท่านั้น

ถ้าคุณอายุใช้ตรรกะอย่างนี้
แสดงว่าคุณอายะ เก่งมากเลย เก่งกว่าหลวงพ่อปราโมทย์ เก่งกว่าหลวงพ่อสงบ
ถึงขั้นสามารถวินิจฉัยได้ว่าใครผิดใครถูก

จะเก่งเกินไปมั๊ย


อายะ เขียน:
เฮ้อ เอกสารหลักฐานบานตะเกียง ก็ยังแถอยู่ร่ำไปนะครับ ไหนท่านลองขยายความหน่อยนะครับ

เอาล่ะ ปัญหาผมเท่าหางอึ่ง แต่ผมฉีกหน้ากากความโง่คุณออกมาให้ดู

อายะ เขียน:
- ดูอย่างเดียวว่างๆ ได้นิพพาน เป็นไปได้อย่างไรหนอ

อันนี้ใครสอนเหรอครับ ผมศึกษามาจนป่านนี้ ผมไม่เคยได้ยินหลวงพ่อปราโมทย์สอนอย่างนี้
ท่านพูดบ่อยที่สุดเรื่องอย่าไปคิดว่าว่างๆแล้วได้นิพพาน อย่าไปคิดว่าพรมลูกฟักเป้นนิพพาน
ตู่พระตู่เจ้า ระวังนรก

อายะ เขียน:
- ให้ดูแต่อย่าจงใจ มันทำยังไงคับ ทุกครั้งที่ท่านจะทำอะไรต้องมีความจงใจเกิดขึ้นก่อน แล้วถ้าไม่จงใจจะดูได้อย่างไร

คนมันโง่ ของอยู่กับตัวไม่เคยดู จะไปเห้นอะไร
ถามหน่อยเถอะ
ตา มันเห้นภาพ ถามว่าต้องมีเจตนาไหม ที่จะไปรับภาพ
หูมันได้ยินเสียง ถามว่าต้องมีเจตนาไหมที่จะไปเลือกรับเสียงหรือไม่รับเสียง
นี่มันก็ไม่เจตนาทั้งนั้นแหละ ไม่จงใจทั้งนั้นแหละ อธิบายหน่อยสิ

เมื่อไหร่คุณอายะเกิดสติขึ้นมาเอง ถึงจะหมดสงสัยว่าอะไรคือปราศจากเจตนา

การดูจิตมีสองระยะ
ระยะหัดรู้สภาวะให้จิตมันคุ้นเคย นำร่องให้จิต
เมื่อจิตคุ้นเคยแล้ว จึงจะเกิดสติขึ้นมาเป้นขณะ เกิดขึ้นมาเอง เกิดเป็นขณะ
กระทั่งนอนหลับอยู่แท้ๆ ยังเกิดขึ้นมาเอง นี่เรียกว่าปราศจากเจตนา
แม้แต่ลืมตาใสอยู่ ก็จะเกิดขึ้นมาเอง ของมันเอง

ระยะที่สอง คือระยะที่จิตรู้ตื่น มีสตินี้แหละ
คนไม่เคยมันก้ว่าไม่มี คนมีมันก็ไม่สงสัย หายสงสัย

มัวแต่ไปเอาคำพูด ความคิด ต่างๆนาๆมาคาดคั้นเอาความจริง
ทำไปจนกระดูกเป็นอากาศก็ไม่มีทางมีสติขึ้นมากับเขาหรอก


อายะ เขียน:
- ธรรมมะสำหรับคนเมือง แล้วถ้าเป็นคนบ้านนอกมาก่อนแบบผม แล้วย้ายมาอยู่บางกอกจะทำได้ไหมหนอ

โอย พูดแบบนี้ ศรีธนลชัยกลับชาติมาเกิดหรือไง

พูดแบบนี้เหมือนจะบอกว่า
ถ้าฝรั่งมันกินข้าวสวยทุกวันมันคงตาย
คนไทยกินขนมปังคงจะไม่รอด
พูดแบบนี้ มิน่าล่ะ ใจถึงรองรับสัจธรรมไม่ได้

ผมอ่านหนังสือหลวงพ่อแค่รอบเดียว ฟังอะไรก้ฟังรอบเดียว ก็รู้เรื่อง
แต่ที่คุณอ่านกี่รอบๆไม่รู้เรื่อง เพราะอ่านแบบศรีธนลชัยนี่แหละ


อายะ เขียน:
- ดูลงไปที่ปรมัตถ์เลย ทิ้งบัญญัติได้ทันที(เหอะๆ นึกอยากจะทิ้งก็ทิ้งซะงั้น)

คุณมันยังอ่อนต่อธรรมมากนัก
คุณเคยเยี่ยวแล้วจำตอนอาการเยี่ยวสุดที่มันเสียวๆได้ไหม นั่นแหละ ปรมัตถ์
เคยได้ยินเสียงแต่ฟังไม่ออกไหม นั่นแหละปรมัตถ์
เคยอาบน้ำอุ่นๆแล้วรู้สึกว่ามันไม่เหมือนน้ำปกติไหม นั่นแหละปรมัตถ์
เคยรู้สึกมั่นๆกล้าๆพองๆแน่ๆ ตันๆ เวลามาคุยกระทู้ธรรมะไหม นั่นแหละปรมัตถ์

เวลาทั้งวันน่ะ กิน ยืน เดิน นั่งนอน เคยไหมว่า อันที่กิน เดิน นั่ง นอน อยู่นี่น่ะ เป้นคนอื่นไหม
หรือเคยคิดว่าเป้นคนอื่น แล้วมันเป็นคนอื่นขึ้นมาจริงๆไหม หรือยังเป้นคนเดิมอยู่ตลอด
ถ้าเป้นคนเดิมอยู่ตลอด นี่บัญญัติ
ถ้าเวลาจิตมันเห็นปรมัตถ์มันจะไม่เห็นเป้นเราหรอก มันจะเห้นความเป้นเราอยู่ 2 "เรา"
นี่ล่ะปรมัตถ์ เราหนึ่งนี้คือรูปกายและความรู้สึกทั้งหลาย เราที่สองนี้อยู่ในกายเป็นเราที่รู้อยู่เฉย
ที่พูดนี่ พูดจากประสบการณ์ตรงนะ ไม่ต้องมาเที่ยวท้าถามว่านั่งสมาธิถึงไหน
ไม่เคยนั่งหรอก แต่เกิดอย่างนี้ เห็นอย่างนี้


อายะ เขียน:
- เป็นวิธีที่ลัดสั้นที่สุด แล้วของหลวงปู่หลวงตาทั้งหลายมันยืดเยื้อตรงไหน หรือของพระพุทธองค์ละ

ถามหน่อยสิว่า กรรมฐานอะไรไม่มีจิต
กรรมฐานคุณอายะกระมัง ไม่ต้องมีจิต
ไม่ดูเข้าย้อนมาที่จิต แ้ล้วให้ไปดูอะไร?


อายะ เขียน:
- ดูจิตอย่างเดียวไม่ต้องทำสมาธิ มรรค 7(ไม่มีสมาธิ) ก็พอ แต่ยังไงก็ไม่รู้มาบอกว่าต้องทำสมาธิด้วย(เฮ้อโล่งอกครบมรรค 8 แล้ว) แล้วดูจิตนี่ต้องทำสมาธิหรือไม่เนี่ยชักงง แล้วอ้าวทำไมต้องทำสมาธิด้วยละในเมื่อตอนแรกบอกให้ดูจิตอย่างเดียว

ผมท้าให้คุณไปเอาอ้างอิงมา ว่าตรงไหนหลวงพ่อบอกว่า "ดุจิตอย่างเดียวไม่ต้องทำสมาธิ"
ตรงไหนท่านว่า "มรรค 7 ก็พอ"
นี่ใส่ร้ายชัดๆเลย หัวจิตหัวใจเป็นอะไรแล้ว กล้าสร้างเรื่องเองขนาดนี้

คนอย่างคุณไม่มีปัญญาจะเข้าใจหรอกว่า สติเป็นขนิกสมาธิ
ชั่วเวลามีสตินั่นแหละสมาธิ จิตดังนั้นแหละมีศีลบริบูรณ์ในวาระนั้น
ปัญญาก็รวมอยู่ในวาระนั้น ตามสมควรแก่เหตุ


อายะ เขียน:
- จิตเคลิ้ม จิตเยิ้ม เหอะ ๆ เพิ่งเคยได้ยินมันเป็นอย่างไงเหรอ

คุณไม่มีเหรือจิตเคลิ้ม เคยร่วมเพศไหม
ตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม อะไรก้ฉุดไม่อยู่น่ะ นั่นแหละดูลงไป
จิตมันกำลังคลอเคลียคลิบเคลิ้มอยู่กับราคะอย่างเหนียวแน่น

ที่สอนให้ดุตอนร่วมเพศ เพราะมันหยาบๆดิบๆ เห้นง่าย
ถ้าจะสอนคุณว่าให้ดูตอนจิตในมัยคลอเคลียกับบุญกุศล จงจะไม่มีปัญญาจะเข้าใจ

จิตเยิ้มนี่ เกิดมาเพิ่งได้ยินคุณพูดคนแรก

อายะ เขียน:
- อย่าไปบังคับจิต ดูไปอย่างเดียว แล้วถ้าอกุศลจิตเกิดอยากกินมาม่าหลังเที่ยง ก็ดูไปว่าอยากกิน แล้วก็ไปต้มมาม่า ก็ดูไป แล้วก็กิน แล้วก็ดูไป แล้วก็อิ่ม ที่ไม่บังคับนะจริงๆ ทำอย่างไรคับ

- หลวงพ่อพูดอย่างนี้หรือคุณสร้างเรื่องเอง

คุณจะดุจิตหรือเปล่าล่ะ ดุจิตก็อย่างนี้
ถ้าจะไปนั่งสมาธิก็ไปนั่ง

สมถะกับวิปัสนา มันทำคนละแบบกัน ประโยชน์ปลายทางก็คนละอย่าง



อายะ เขียน:
- เวลาฟุ้งมากอย่าทำ เช่นเครียดจัดแฟนทิ้ง อยากดื่มเหล้าก็ไปดื่มเลย


ทำไมเป็นคนอย่างนี้ หลวงพ่อพูดเหรอ ว่าให้เครียดแล้วไปกินเหล้า
ใส่ร้ายกันชัดๆ นี่มันเลวจนไม่รู้ว่าจะพูดยังไง


คุณอายะคงจะเจริญธรรมได้ยากยากซะแล้วล่ะครับ
จิตใจมันอาฆาตมาตรร้ายพระอริยเจ้าแบบนี้
กรรมฐานอะไรก็ไม่เจริญ



อ้างคำพูด:
จิตใจมันอาฆาตมาตรร้ายพระอริยเจ้าแบบนี้


อาจารย์ปราโมทย์ใช่พระอริยเจ้าหรือไม่ ท่านก็ไม่รู้ ท่านชาติสยามยกเกินไปแล้ว

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
อาจารย์ปราโมทย์ใช่พระอริยเจ้าหรือไม่ ท่านก็ไม่รู้ ท่านชาติสยามยกเกินไปแล้ว


ไม่ยาก

ถามคุณขงว่า
คุณรู้ได้ยังไว่าพระพุทธเจ้าเป้นพระอรหันต์?

คุณรู้ได้ด้วยวิธีไหน ผมก็รู้ได้ด้วยวิธีนั้นแหละ


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 23 ก.พ. 2010, 20:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
อาจารย์ปราโมทย์ใช่พระอริยเจ้าหรือไม่ ท่านก็ไม่รู้ ท่านชาติสยามยกเกินไปแล้ว


ไม่ยาก

ถามคุณขงว่า

คุณรู้ได้ยังไว่าพระพุทธเจ้าเป้นพระอรหันต์?

คุณรู้ได้ด้วยวิธีไหน ผมก็รู้ได้ด้วยวิธีนั้นแหละ


ท่านชาติสยามดูจะเกินไปนะงับ

ที่ไปเปรียบเทียบ พระพุทธเจ้า กับ อาจารย์ปราโมทย์

ผมรู้ได้ยังไงว่าพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ ผมรู้แบบที่พระสารีบุตรรู้นั้นละงับ

ส่วนหลวงพ่อปราโมทย์ ผมรู้แต่ว่า ยังไม่แจ้งในธรรมมากมายมหาศาล

แล้วกำลังจะทำให้พระสัทธรรม เสื่อมสูญ

วงการกรรมฐานก็ยอมรับไม่ได้

ที่ผู้ที่น่ายกย่อง อย่างหลวงพ่อปราโมทย์ จะทำลาย พระสัทธรรม ล้มล้างคำสั่งสอนอันดีงามของหลวงปู่ ดูลย์ อตุโล ที่เป็นพระอริยสงฆ์เจ้า

และการที่คุณชาติสยามอ้างแบบนี้ เท่ากับหลบหลู่ เวสารัชญาณ 4 ทศพลญาณ 10 ของพระอนุตรสัมมาสัมพระพุทธเจ้า

อ้างอรหัตผล มาเป็นเกณฑ์ ที่ท่านชาติสยาม อ้างแบบนี้แสดงว่า ถ้าอาจารย์ปราโมทย์ไม่ใช่อรหันต์

พระพุทธเจ้า ก็ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ใช่หรือไม่งับ

สาวกไม่ควรไปเทียบกับพระพุทธเจ้านะงับ

ท่านชาติสยาม ถ้าในสัมพพุทธกาล ท่านอาจะ โดน สงฆ์ลงปฏิสาราณิยกรรมนะงับ

คว่ำบาตร เพราะ ไม่เคารพ ใน พระพุทธ พระธรรม และ พระอริยสงฆ์

แล้วสุดท้ายเมื่อตาย ลง ท่านอาจะไปได้เที่ยว อบาย ทุคติ วินิบาต นรก พร้อมกับ พระที่ท่านนับถือนะงับ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
ชาติสยาม เขียน:
ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
อาจารย์ปราโมทย์ใช่พระอริยเจ้าหรือไม่ ท่านก็ไม่รู้ ท่านชาติสยามยกเกินไปแล้ว


ไม่ยาก

ถามคุณขงว่า

คุณรู้ได้ยังไว่าพระพุทธเจ้าเป้นพระอรหันต์?

คุณรู้ได้ด้วยวิธีไหน ผมก็รู้ได้ด้วยวิธีนั้นแหละ


ท่านชาติสยามดูจะเกินไปนะงับ

ที่ไปเปรียบเทียบ พระพุทธเจ้า กับ อาจารย์ปราโมทย์

ผมรู้ได้ยังไงว่าพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ ผมรู้แบบที่พระสารีบุตรรู้นั้นละงับ

ส่วนหลวงพ่อปราโมทย์ ผมรู้แต่ว่า ยังไม่แจ้งในธรรมมากมายมหาศาล

แล้วกำลังจะทำให้พระสัทธรรม เสื่อมสูญ

วงการกรรมฐานก็ยอมรับไม่ได้

ที่ผู้ที่น่ายกย่อง อย่างหลวงพ่อปราโมทย์ จะทำลาย พระสัทธรรม ล้มล้างคำสั่งสอนอันดีงามของหลวงปู่ ดูลย์ อตุโล ที่เป็นพระอริยสงฆ์เจ้า

และการที่คุณชาติสยามอ้างแบบนี้ เท่ากับหลบหลู่ เวสารัชญาณ 4 ทศพลญาณ 10 ของพระอนุตรสัมมาสัมพระพุทธเจ้า

อ้างอรหัตผล มาเป็นเกณฑ์ ที่ท่านชาติสยาม อ้างแบบนี้แสดงว่า ถ้าอาจารย์ปราโมทย์ไม่ใช่อรหันต์

พระพุทธเจ้า ก็ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ใช่หรือไม่งับ

สาวกไม่ควรไปเทียบกับพระพุทธเจ้านะงับ

ท่านชาติสยาม ถ้าในสัมพพุทธกาล ท่านอาจะ โดน สงฆ์ลงปฏิสาราณิยกรรมนะงับ

คว่ำบาตร เพราะ ไม่เคารพ ใน พระพุทธ พระธรรม และ พระอริยสงฆ์

แล้วสุดท้ายเมื่อตาย ลง ท่านอาจะไปได้เที่ยว อบาย ทุคติ วินิบาต นรก พร้อมกับ พระที่ท่านนับถือนะงับ


ที่ผมรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ แบบพระสารีบุตร

คือ ผมได้ปฏิบัติมาแล้วจึงเชื่อพระพุทธเจ้า

แบบที่พระสารีบุตรมีพระไปถาม ท่าน ว่า ท่านสารีบุตร ท่านเชื่อพระพุทธเจ้าหรือไม่

ท่านบอกว่า ไม่เชื่อ

พระเหล่านั้นบอกว่าพระสารีบุตร ตอบ ผิด

แต่พระพุทธเจ้ากลับสรรเสริญพระสารีบุตร

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับท่านชาติ
ต้องขออภัยที่คำถามค่อนข้างไปโดนต่อมอย่างแรง แต่ก็ยังดีที่ไม่ไล่ไปฟังซีดี สนทนากันต่อนะครับ

อ้างคำพูด:
แสดงว่าคุณอายะ เก่งมากเลย เก่งกว่าหลวงพ่อปราโมทย์ เก่งกว่าหลวงพ่อสงบ
ถึง ขั้นสามารถวินิจฉัยได้ว่าใครผิดใครถูก

ผมมิอาจกล้าอย่างนั้นหรอกครับ ก็หลวงพ่อสงบท่านประกาศไม่รู้กี่ครั้งว่ามันไม่เหมือนกันท่านก็บอกว่าแกะมาจากหนังสือเลย แต่ท่านก็บอกว่ามันคือกัน แถมต่อท้ายอีกว่าหลวงพ่อสงบเ้ข้าใจผิดไง
อ้างคำพูด:
ท่านชาติเขียน :ไม่เห็นมีขัดกัน หลวงพ่อสงบก็ถูกของท่าน หลวงพ่อปราโมทย์ก้ถูกของท่าน


อ้างคำพูด:
ดูอย่างเดียวว่างๆ ได้นิพพาน เป็นไปได้อย่างไรหนอ

อันนี้ใครสอนเหรอครับ ผมศึกษามาจนป่านนี้ ผมไม่เคยได้ยินหลวงพ่อปราโมทย์สอนอย่างนี้
ท่านพูดบ่อยที่สุดเรื่องอย่า ไปคิดว่าว่างๆแล้วได้นิพพาน อย่าไปคิดว่าพรมลูกฟักเป้นนิพพาน
ตู่พระตู่ เจ้า ระวังนรก


ถามใหม่ก็ได้ พอดูจิตแล้วยังไงต่อ ถึงจะบรรลุได้ เอาวิธีการปฏิบัตินะ เช่น นั่งดู นอนดู ไปทำพุทโธด้วย พุทโธไปดูไปหรือยังไง อันนี้ยกตัวอย่างนะอย่าใช้คำราชาศัพท์ละ :b12:

อ้างคำพูด:
คนมันโง่ ของอยู่กับตัวไม่เคยดู จะไปเห้นอะไร

ท่านอาจารย์ชาติ ชมข้าน้อยอันนี้ก็รู้ตัวดีคับขอบพระคุณ


อ้างคำพูด:
ถามหน่อยเถอะตา มันเห้นภาพ ถามว่าต้องมีเจตนาไหม ที่จะไปรับภาพ
หูมันได้ยินเสียง ถามว่าต้องมีเจตนาไหมที่จะไปเลือกรับเสียงหรือไม่รับเสียง
นี่มันก็ไม่ เจตนาทั้งนั้นแหละ ไม่จงใจทั้งนั้นแหละ อธิบายหน่อยสิ

แม่นครับมันไม่จงใจ แล้วไงต่อครับพอรับเข้ามาแล้วทำยังไงต่อโดยไม่จงใจจึงจะไปรู้อารมณ์นั้นได้ แล้วถ้าอยู่ในห้องเก็บเสียงอากาศเย็นสบายดีไม่มีอะไรมากระทบจะเอาจิตไปไว้ที่ใดคับ

อ้างคำพูด:
การดูจิตมีสองระยะ
ระยะหัดรู้สภาวะให้จิตมันคุ้นเคย นำร่องให้จิต
เมื่อ จิตคุ้นเคยแล้ว จึงจะเกิดสติขึ้นมาเป้นขณะ เกิดขึ้นมาเอง เกิดเป็นขณะ
กระทั่ง นอนหลับอยู่แท้ๆ ยังเกิดขึ้นมาเอง นี่เรียกว่าปราศจากเจตนา
แม้แต่ลืมตา ใสอยู่ ก็จะเกิดขึ้นมาเอง ของมันเอง


อันนี้ท่านอาจารย์ชาติจำเขามาพูดหรือเคยเกิดกับตัวเองคับ เอาเป็นว่าเกิดกับตัวเองแล้วกัน
ที่ว่าหัดรู้สภาวะนี่จงใจได้ปะ แน่ใจหรือว่าตอนที่สติเกิดนั้นไม่มีแม้กระทั่งต้นจิตก็ไม่มีเจตนาที่จะไปรู้เลยจริงๆ ไม่ได้โม้ ลองสังเกตุให้ดีซิ หรืออย่างตอนที่อ่านอยูนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะอ่านมันมีสติแล้วก็อ่านไปเอง จะโดน ..่า อีกไหมเนี่ย :b12:


อ้างคำพูด:
เมื่อไหร่คุณอายะเกิดสติขึ้นมาเอง ถึงจะหมดสงสัยว่าอะไรคือปราศจากเจตนา

สติไม่ใช่หวยนะท่านที่โชคดีก็ได้ไป สติจะเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากการฝึกเนืองๆ แล้วรูปแบบการฝึกก็ต้องเจตนา ให้พยายามรักษาสติเกิดให้ต่อเนื่อง มีใช่เกิดแบบเปาะแปะ ๆ เช่น เผลอแล้ว คนนั้นก็เผลอ คนนี้ก็เผลอ เฮ้อ เอาเงาะมาเข่งหนึ่งชี้ไปลูกไหนมันมันก็เงาะนะ ก็ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น

อ้างคำพูด:
ระยะที่สอง คือระยะที่จิตรู้ตื่น มีสตินี้แหละ
คนไม่เคยมันก้ว่าไม่มี คนมีมันก็ไม่สงสัย หายสงสัย
มัวแต่ไปเอาคำพูด ความคิด ต่างๆนาๆมาคาดคั้นเอาความจริง
ทำไปจนกระดูกเป็นอากาศก็ไม่มีทางมีสติขึ้น มากับเขาหรอก


เวลาหลับอยู่จะพลิกตัวก็รู้ จะยกแขนก็รู้ ถ้าอย่างนี้พอได้ไหมคับท่านอาจารย์ชาติ เออแล้วท่านอาจารย์ชาติละลองเล่าให้ฟังซิสติระยะนี้มันเปงไง อยากรู้จิงๆ

อ้างคำพูด:
ธรรมมะสำหรับคนเมือง

อันนี้ท่านอาจารย์ชาติไม่ยอมรับใช่ไหมว่าได้มีการกล่าวอ้างอย่างนี้ ในเอกสารตำรา มีเพียบเชื่อผมเหอะผมไม่มุสาหรอก ไหนอธิบายมาซิธรรมะสำหรับคนเมืองมันเป็นอย่างไร คนบ้านนอกปฏิบัติได้บ่

อ้างคำพูด:
ผมอ่านหนังสือหลวงพ่อแค่รอบเดียว ฟังอะไรก้ฟังรอบเดียว ก็รู้เรื่อง
แต่ ที่คุณอ่านกี่รอบๆไม่รู้เรื่อง เพราะอ่านแบบศรีธนลชัยนี่แหละ


ข้าน้อยทราบแล้วครับว่าท่านอาจารย์ชาติฉลาดนี่ครับ สงสัยตอนเด็กจะสอบได้ที่หนึ่ง :b12:


อ้างคำพูด:
อายะเขียน : ดูลงไปที่ปรมัตถ์เลย




อ้างคำพูด:
ท่านเหลิม เขียน :คุณมันยังอ่อนต่อธรรมมากนักถ้า เวลาจิตมันเห็นปรมัตถ์มันจะไม่เห็นเป้นเราหรอก มันจะเห้นความเป้นเราอยู่ 2 "เรา" นี่ล่ะปรมัตถ์ เราหนึ่งนี้คือรูปกายและความรู้สึกทั้งหลาย เราที่สองนี้อยู่ในกายเป็นเราที่รู้อยู่เฉย ที่พูดนี่ พูดจากประสบการณ์ตรงนะ ไม่ต้องมาเที่ยวท้าถามว่านั่งสมาธิถึงไหน ไม่เคย นั่งหรอก แต่เกิดอย่างนี้ เห็นอย่างนี้


เหอะๆ หนึ่งเราก็แย่อยู่แล้ว มาเพิ่มอีกเรานึงอีกไม่ยึดเพิ่มเข้าไปอีกรึท่าน แถมสมาธิไม่ต้องนั่งอีก สุโค่ยมาก เหอะๆ มันก็อันเดียวกันนะแหละมั้งอาจารย์ชาติเพียงแต่มันเกิดคนละไทม์มิ่งตะหากจิตเปรียบเหมือนการทำงานของ cpu คอม นะท่านอาจารย์ในคล็อกหนึ่งมันจะทำได้อย่างเดียวเท่านั้นแต่มันทำงานเร็วมากเป็น กิ๊ก.....กับเฮิด ตอนที่ท่านอ่านไปด้วยนึกโกรธผมไปด้วยอันนี้ภาษาคอมเรียกว่ามัลติทากกิ้งก่า ซึ่งมันเกิดขึ้นสลับไปมา ท่านอาจารย์ชาติหัวแหลมคิดว่าคงเข้าใจนะครับ

อ้างคำพูด:
อายะ เขียน: เป็นวิธีที่ลัดสั้นที่สุด

อ้างคำพูด:
ถาม หน่อยสิว่า กรรมฐานอะไรไม่มีจิต
กรรมฐานคุณอายะกระมัง ไม่ต้องมีจิต
ไม่ ดูเข้าย้อนมาที่จิต แ้ล้วให้ไปดูอะไร?


ท่านอาจารย์ครับผมถามว่าทำไมรูปแบบดูจิตลัดสั้นที่สุด อีกอย่างผมก็ไม่ได้บอกว่าไม่ต้องมีจิต เพียงแต่วิธีนี้ทำไมเน้นจิตอย่างเดียวอย่างนี้จะเรียกว่าสติปัำฎฐานสี่หรือฐานหนึ่งดี อีกสามฐานไม่เอา อย่าลืมตอบนะว่าทำไมลัดสั้นที่สุด

อ้างคำพูด:
ผมท้าให้คุณไปเอาอ้างอิงมา ว่าตรงไหนหลวงพ่อบอกว่า "ดุจิตอย่างเดียวไม่ต้องทำสมาธิ"
ตรงไหนท่านว่า "มรรค 7 ก็พอ"
นี่ใส่ ร้ายชัดๆเลย หัวจิตหัวใจเป็นอะไรแล้ว กล้าสร้างเรื่องเองขนาดนี้

อันนี้ผมเปรียบเปรยนะท่านต้องขออภัย ตอนนี้พอใจแล้วว่าต้องทำสมาธิด้วย แต่นักดูจิตตัวยงอย่างท่านชาติเหตุำไฉนไม่ทำสมาธิละครับ ไม่เฉพาะท่านนะนักดูจิตทุกคนเท่าที่รู้จักไม่ทำเลย มีอยู่คนนึ่งนั่งดูเวทนาได้สองชั่วโมง กลับจากวัดมาได้รับคำแนะนำว่าใ้ห้ดูจิตอย่างเดียวไม่ต้องทำสมาธิ ลองตอบมาซิครับท่านอาจารย์

อ้างคำพูด:
คุณไม่มีเหรือจิตเคลิ้ม เคยร่วม.....ไหม
ตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม อะไรก้ฉุดไม่อยู่น่ะ นั่นแหละดูลงไป
จิตมันกำลังคลอเคลียคลิบเคลิ้มอยู่ กับราคะอย่างเหนียวแน่น
ที่สอนให้ดุตอน...... เพราะมันหยาบๆดิบๆ เห้นง่าย
ถ้าจะสอนคุณว่าให้ดูตอนจิตในมัยคลอเคลียกับบุญกุศล จงจะไม่มีปัญญาจะเข้าใจ

อะไม่มีเยิ้มก็ได้ เอาเป็นว่ามีแต่เคลิ้มนะ อ๋อนิยามของเคลิ้มมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เคยได้ยินแต่ว่าจิตมีโลภะ จิตมีโมหะ โทสะ ฯ พอมีจิตเคลิ้มมาเลยงงนะท่านขอโทษจิงๆ แล้วไอ้เคลิ้มๆ นี่มันจัดอยู่ในประเภทไหนอะท่าน โลภะ โมหะ โทสะ อยากรู้จริงๆ

อ้างคำพูด:
อายะ เขียน:
- อย่าไปบังคับจิต ดูไปอย่างเดียว แล้วถ้าอกุศลจิตเกิดอยากกินมาม่าหลังเที่ยง ก็ดูไปว่าอยากกิน แล้วก็ไปต้มมาม่า ก็ดูไป แล้วก็กิน แล้วก็ดูไป แล้วก็อิ่ม ที่ไม่บังคับนะจริงๆ ทำอย่างไรคับ


มาม่านะผมสร้างเรื่องเองยกเป็นตัวอย่างให้ท่านอาจารย์ชาติที่ผมสงสัยไงจะได้เห็นภาพต้องขออภัย สำหรับ
อ้างคำพูด:
อย่าไปบังคับจิตนี่
นักดูจิตตัวพ่ออย่างท่านชาติไม่รู้จิงๆ อะว่าเขาห้าม :b12: ไหนอธิบายมาซิทำไมห้ามบังคับ เห็นปรมัตถ์แล้วต้องอธิบายให้ได้นะท่านอาจารย์


อ้างคำพูด:
อายะ เขียน:
- เวลาฟุ้งมากอย่าทำ เช่นเครียดจัดแฟนทิ้ง อยากดื่มเหล้าก็ไปดื่มเลย

เวลาฟุ้งมากอย่าทำ ที่ในหนังสือนะครับมีเพียบอีกเหมือนกัน แต่จนเครียดกินเห้ลาผมยกตัวอย่างไง ก็เห็นเขาเครียดกันไม่ได้กำหนดสติก็ไปกินเหล้าเยอะแยะไป
แล้วทำไมฟุ้งมากห้ามทำละ เพราะถ้าไม่ทำอาจไปกินเหล้าได้ ท่านอาจารย์อธิบายมาซิ


อ้างคำพูด:
คุณอายะคงจะเจริญธรรมได้ยากยากซะแล้วล่ะครับ
จิตใจมันอาฆาตมาตรร้ายพระ อริยเจ้าแบบนี้
กรรมฐานอะไรก็ไม่เจริญ


บอกว่าไม่ได้อาฆาตท่านอาจารย์ชาติตรงไหนที่ผมไปกล่าวว่าพระ ผมมันช่างสงสัย ถ้ามีคนมาบอกท่านว่าลิงออกลูกเป็นควายท่านจะสงสัยบ่ครับ ยังงี้การเรียนปริญัติและปฏิบัติศิษย์ก็ห้ามถามซิคับ
ผมสงสัยในธรรมคับ ก็บอกแล้วไงพระเสพยาบ้าผมยังกราบไหว้เลย ขอให้เหลืองไว้ก่อนเป็นพอ แต่ในเรื่องหลักปฏิบัตินั้นน่าจะซักถามกันได้ไม่ใช่หรือ หรือการดูจิตนั้นห้ามถาม จะได้จบเหมือน GT 200
ที่ใช้ควอนตัมฟิสิกส์ ประมาณนั้น
กรรมอยู่ที่เจตนาท่าน ผมไม่ได้มีเจตนาปรามาส แต่ผมมีข้อสงสัย

เจริญธรรม


แก้ไขล่าสุดโดย อายะ เมื่อ 23 ก.พ. 2010, 21:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอ lock กระทู้นี้นะค่ะ

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
ท่านชาติสยามดูจะเกินไปนะงับ

ที่ไปเปรียบเทียบ พระพุทธเจ้า กับ อาจารย์ปราโมทย์

ผมรู้ได้ยังไงว่าพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ ผมรู้แบบที่พระสารีบุตรรู้นั้นละงับ

ส่วนหลวงพ่อปราโมทย์ ผมรู้แต่ว่า ยังไม่แจ้งในธรรมมากมายมหาศาล

แล้วกำลังจะทำให้พระสัทธรรม เสื่อมสูญ

วงการกรรมฐานก็ยอมรับไม่ได้


ถ้าคุณขงตั้งใจ ที่จะเข้าใจ
คุณขงจะไม่พูดเบี่ยงออกไปในลักษณะผมอย่างนี้

ผมถามใหม่

คุณขงเคยไปประเทศ.... อืม ... "ติมอ" ไหม
ถามหน่อยสิว่า รู้ได้ยังไงว่าติมอมีจริง

คุณขงรู้จักดวงจันทร์ไหม รู้ได้ยังไงว่ามีจริง

คุณขงรู้จักนิพพานไหม รู้ได้ยังไงว่านิพพานมีจริง

คุณขงรู้ได้ไงว่าพระสารีบุตร พระอานนท์ พระโมคคัลลานะ ฯลฯ เป็นพระอรหันต์

และเด็ดที่สุด ผมไม่ถามนะว่า คุณขงรู้ได้ยังไงว่าพระพุทธเจ้าเป้นพระอรหันต์
ผมถามแค่ว่า รู้ได้ไงว่าพระพุทธเจ้ามีจริง



...............


เอาล่ะ

คราวนี้มันจะย้อนเข้าตัวคุณขง

- ในเมื่อคุณขงไม่ได้แจ้งในนิพพาน แล้วรู้ได้ยังไงว่ามีนิพพาน


- ในเมื่อคุณขงไม่เคยเจอพระพุทธเจ้า รู้ได้ไงว่าพระพุทธเจ้ามีจริง


- คุณขงเอาอะไรไปรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป้นพระอรหันต์
ในข้อนี้ ถ้าคุณขงรู้ได้ว่าพระพุทธเจ้าเป้นพระอรหันต์
แสดงว่าคุณขงมีสมรรถนะจิตขนาดพอที่จะบอกได้ว่าใครเป้นพระอรหันต์
และถ้าขนาดรู้ได้ว่าใครเป้นพระอรหันต์ ย่อมแสดงว่าคุณขงสามารถรู้ได้ว่าใคร ไม่เป็น พระอรหันต์

สรุปง่ายๆนะ
คุณก็แค่เชื่อว่า...
ผมก็แค่เชื่อว่า ...

เท่านั้นแหละ


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
ส่วนหลวงพ่อปราโมทย์ ผมรู้แต่ว่า ยังไม่แจ้งในธรรมมากมายมหาศาล
แล้วกำลังจะทำให้พระสัทธรรม เสื่อมสูญ
วงการกรรมฐานก็ยอมรับไม่ได้


อันนี้ คอยพิสูจน์กันไป
ไม่ยากหรอก

คุณขงพลาดตรงไหนรู้ไหม
พลาดตรงที่คิดว่าพระสัทธรรมเสื่อม[b] เพราะผู้อื่นมากระทำ
เพราะแรงภายนอกมากระทำ เพราะพระที่สอนผิดมากระทำ[/b]

คุณขงคงอายุไม่ถึงร้อยปี
แต่ความเสื่อมของพระสัทธรรม ความเสื่อมของวงการกรรมฐาน
มันเสื่่อมมาตั้งแต่ยังไม่ถวายพระเพลิงพระบรมศาสดานู่น
ถึงมีการสังคายนาไง
นับนิ้วดูไม่น้อยกว่า 2500 ปี แล้ว

ต่อให้คุณขงมีอมตะชีวิต กับเวลาอีกหมื่นกัปป์
คุณขงก็ห้ามความเสื่อมภายนอกไม่ได้
ขนาดพระพุทธเจ้ากับพระตถาคตะญาน ยังห้ามไม่ได้ คุณขงเอาอะไรไปห้าม

ถ้าคุณขงรักการรักษาพระสัทธรรม รักความเจริญแห่งวงการกรรมฐาน
ก้ช่วยตอบคำถามผมหน่อยว่า
การไล่เงาพญานาคเป้นการส่งเสริมพระสัทธรรมหรือส่งเสริมวงการพระกรรมฐานตรงไหน
ผมก็ไม่เห้นว่าเป็นเอกายนมรรคตรงไหน ไม่เห็นว่าเป็นกิจของสงฆ์ตรงไหน
ไม่รู้เป็นกิจของพุทธบริษัทตรงไหน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับคุณอายะนั้น
พ้นวิสัยที่ผมจะคุยด้วยแล้ว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร