วันเวลาปัจจุบัน 18 มิ.ย. 2025, 23:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2010, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: ทางโลก : ชีวิตคนทำงาน..คนส่วนใหญ่อยากได้ผลตอบแทนมากๆ
อยากเจริญก้าวหน้า...อย่างรวดเร็ว อยากได้สองขั้น....ทุกปี
อยากมีตำแหน่ง...ใหญ่โต มีอำนาจเหนือคนอื่นๆ
อยากได้.........อยากเป็น......อยากมี........อีก.......สารพัด
ซึ่งล้วนแต่ขัดขวางการเจริญ....ทางธรรม

:b42: ทางธรรม : ชีวิตนักปฏิบัติ ควรละ ….ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็น....ทางโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2010, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทางโลก คนเป็นแบบนั้นเพราะกิเลสค่ะ

ทางธรรม ให้ละกิเลส แล้วอาศัยชีวิตอย่างพอดีค่ะ ไม่ใช่ละทุกสิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2010, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: คนทำงานทุกคนจึงมีกิเลส :b12:

:b10: อย่างไรจึงเรียกว่า พอดี ในทางธรรม?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทางโลกทางธรรม มีสภาพหนึ่งใดกัน คือความไม่ยึดติด ของมันเองโดยสภาพทั้งหมด ไม่แตกต่างกัน อนิจจัง ก็เช่นเดียวทั้งหมด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2010, 20:20
โพสต์: 47

ชื่อเล่น: ซี
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บางทีก็ต้องลองมองย้อนกลับไปดูนะครับ

คนวัยทำงาน มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ครอบครัว

จึงทำให้เกิดกิเลสตามมา ความอยากได้อยากมีก็เพราะปัจจัยข้างต้น

ตัวสังคมก็เป็นแรงผลักดันให้เกิดก็ว่าได้

แต่ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ที่ว่าทางธรรมต้องละหมดทุกอย่าง

ขอเพียงแค่ดำเนินชีวิต บนทางสายกลาง

ยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตนเป็นคนดี

ก็ไม่จำเป็นต้องละทุกอย่างบนทางโลกนะครับ :b50:

.....................................................
ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง
คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่น
ตามแต่บาปบุญแล ก่อเกื้อรักษา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2009, 12:55
โพสต์: 36

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเพียงเข้าใจ มันก็ไปทางเดียวกันได้ :b41: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: จะทำอย่างไร....ถ้าชีวิตนี้ใส่ใจทางธรรมมากกว่าทางโลก .....
เห็นผู้คนรอบข้าง แล้วรู้สึกเบื่อ..มากมาย
เมื่อก่อนเคยทำงานแบบทุ่มเท ช่วงหลังมาทำแบบปกติ เพราะวัยเปลี่ยนไป ทำให้ คิดได้ว่า
... สักวันก็ตาย... เอาอะไรไปไม่ได้เลย.... จึงไม่หวังอะไรตอบแทนมากมายในชีวิตการทำงาน
นอกจากเงินเดือนเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ทะเยอทะยานอยากในลาภ ยศ สรรเสริญ ตำแหน่ง
:b48: เพื่อนฝูงก็ว่าอายุแค่นี้(สี่สิบต้นๆ) จะรีบปลงตกไปทำไม เพื่อนๆคอยกระตุ้นให้ทำโน้น-ทำนี่ เพื่อจะได้มีเงินเดือนและ มีตำแหน่งให้สูงขึ้น แต่ตัวของเราใส่ใจทางธรรมมากขึ้นๆๆๆๆ จนรู้สึกว่า ชีวิตทางโลก...ไม่มีอะไรน่ารื่นรมย์เอาซะเลย เบื่อการแก่งแย่ง..แข่งขัน...ชิงดี...ชิงเด่น
ตอนนี้อยากลาออกไปปฏิบัติธรรม(อย่างเดียว) แต่ยังมีภาระ .....
:b41: :b41: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: :b42: :b42:

ทารก อยากได้ อะไร ร้องให้ ๆ ก็ได้มา

เล่นไปสักพัก เบื่อหน่าย ก็ทิ้ง

เห็นของเล่นใหม่ สวยงามเสมอ

เราละ จะแตกต่างอะไร



สิ่งที่มีอยู่ มักไม่ค่อยพอใจ

สิ่งที่ยังไม่ได้มา จะมีค่าเสมอ

แม้คู่ครองที่นอนเคียงกาย บางครั้ง แค่เสียงกรนก็น่าเบื่อหน่าย

คนใหม่ จะยั่วยวนใจให้สืบค้นอยู่ร่ำไป



"ความอยากทำให้คนแสวงหา

จิตของเขาย่อมวิ่งพล่านไปคล้ายคนบ้า

เขาต้องเที่ยวไปในวัฏฏะสงสาร

เผชิญทุกข์อยู่ร่ำไปไม่สิ้นสุด"



เกิดมาอย่างงมงาย

ตายไปก็อย่างงมงาย

ภพแล้วภพเล่า


:b53:

โอมฺ มณีปทฺเม หุมฺ


หลวงจีนงมงาย


:b51: :b51: :b51:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัณหาเป็นกระแสแห่งเหตุให้เกิดทุกข์

กระแสแห่งเหตุให้เกิดทุกข์เหล่าใดในโลก


สติ เป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น.

เรากล่าวธรรมเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย

กระแสแห่งเหตุให้เกิดทุกข์เหล่านี้อันปัญญาย่อมปิดกั้นได้.



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 22:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


ศรัทธา กับ ตัณหานั้น สภาวะคล้ายกันมากเลย หากไม่มีปัญญาประกอบ ก็จะเดินหลงทาง หลงในศรัทธาที่กลายเป็นตัณหาได้...ดังนั้น พระองค์ท่านจึงทรงสรรเสริญปัญญา ที่เราท่านทั้งหลายต้องแสวงหาให้เกิดโดยทำเหตุ คือ การฟังธรรมที่ถูกต้อง ปัญญาก็จะเกิด เรียกว่า กัมมัสสกตาปัญญา
จึงรู้ว่า เราจะเดินทางทำประโยชน์นั้น ต้องมีเข็มทิศ มีแผนที่เดินทาง
จึงรู้ว่า เราต้องปรารภประโยชน์ทั้งสาม ได้แก่ ประโยชน์ชาตินี้ ประโยชน์ชาติหน้า และประโยชน์อย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน คือการสิ้นทุกข์ พ้นจากชาติการเกิดและมรณะเป็นที่สุด
ก็ประโยชน์ทั้งสามนั้น ย่อมเป็นปัจจัยแก่กันและกัน
หากปรากฏว่า ประโยชน์ชาตินี้ ก็เหลวเปล่าไปแล้ว การจะยังประโยชน์ยิ่งกว่านั้น ย่อมกระทำได้โดยยาก
เพราะเมื่อบุคคลใด เสียประโยชน์ชาตินี้ อันเป็นพื้นฐานที่ตนจะดำรงชีวิตได้โดยไม่เป็นทุกข์..หากเสียประโยชน์นี้แล้ว ทุกข์กายทุกข์ใจย่อมเกิดขึ้นในภายหน้าแน่นอน ความเป็นอยู่ที่เดือดร้อน ดีไม่ดีก็ต้องเบียดเบียนผู้อื่นมีญาติเป็นต้น ให้ได้รับความเดือดร้อนด้วย ยิ่งไปกันใหญ่ ใจจะตกไปในอกุศลโทสะ โทมนัสสาหัสก็จะเกิดขึ้นเป็นรางวัล ทีนี้ การจะเจริญกุศลใดๆ ย่อมทำได้ยากเสียแล้ว
เว้นเสียจากว่า ท่านเกิดมามีมรดกชนิดกินใช้สิบชาติไม่หมด คราวนี้ จะเดินหน้าแสวงหาวิโมกข์ ก็น่าจะเป็นไปได้ แต่อย่าลืมว่า หากเป็นไปกับศรัทธาที่ไม่ประกอบปัญญาแล้ว ตัณหานั่นแหละจะผลักดันให้เดินทาง ทีนี้เมื่อประสบกับความยากของการเจริญในธรรมแล้ว ใจก็จะหวนกลับ ทีนี้ จะเข้ามาอยู่ทำการงานอะไรๆ ก็ดูจะขัดข้อง ก็มองไม่เห็นทางสวัสดีได้ง่ายเลย
ดังนั้น ผู้มีปัญญาจึงทำประโยชน์เป็นขั้นเป็นตอน โดยไม่ให้เสียประโยชน์ใดๆเลย..... เมื่อได้มาแล้วก็ไม่หลงใหล ไม่เพลิดเพลิน รู้จักกำหนดการพอของตน รู้จักการดำเนินชีวิตตามแนวทางที่ตนเองตั้งใจมั่นที่จะเดินไป.... เรียกว่า โลกก็ไม่ช้ำ ธรรมก็ไม่หมอง..เพราะชีวิตเราในโลกนี่แหละ เป็นธรรมะของจริงล้วนๆ ..

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 00:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่สวนทางแล้วกระทบกระทั่งก็เป็นเพราะเรายังอ่อนซ้อมไปหน่อย
ผมเองก็ประจำแหละ กระทบ และกระเทือน เหมือนคนอื่น
อาจจะทุกข์มากกว่าเท่าเขาด้วยนะ
แต่ว่าศิษย์พระพุทธเจ้า เบื้องต้นนี้เราต้อง"ทุกข์ไม่นาน"

ผมก็อยู่กับ (ขอโทษนะ) "คนโง่" เยอะแยะ วันๆเอาแต่แง่งๆใส่กัน
โง่แล้วดันทุรังอีกนะ ยิ่งพวกระดับยิ่งสูง ยิ่ง self จัด สอนก็ไม่ได้หรอก ผีจะเข้าเอา
ผมก็หงุดหงิดประจำเลย เวลาเขามาอวดความชั่วของเขาให้เราฟัง
เราก็ดันไปเกลียดความชั่วของเขาเสียอีกแน่ะ
เกลียดความชั่วเป็นทุกข์นะ

คนเกลียดความชั่วนี่ก็พนันได้เลยว่าต้องมีอีกอย่างเป้นคู่กันมา
"เกลียดทุกข์"ก็มักจะแแพ็คคู่มากับ "รักความสุข"
"รักความสุข"ก็เป้น"ทุกข์"นะ ดูให้ดีๆ
อยากจะหนีความทุกข์เข้าป่าไป

แม่เคยบ่นว่าเบื่อลูก จะหนีไปบวชชีในป่า (อารามประชด)
ผมก็บอกแกว่า อย่าหวังเลยว่าจะหนีพ้น
เพราะตัวอยู่ไหน ใจก็อยู่กับลูกอยู่ดี หนีไม่พ้นหรอก
ทรมานตัวเองเปล่าๆ
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อันเดียวกัน....ต่างกันที่ รู้ กับ ไม่รู้

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2010, 11:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 07:32
โพสต์: 95

แนวปฏิบัติ: หลักวิถีธรรมชาติ - อานาปานสติ,บริกรรมภาวนา
ชื่อเล่น: นุ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กษมมาตา เขียน:
:b48: ทางโลก : ชีวิตคนทำงาน..คนส่วนใหญ่อยากได้ผลตอบแทนมากๆ
อยากเจริญก้าวหน้า...อย่างรวดเร็ว อยากได้สองขั้น....ทุกปี
อยากมีตำแหน่ง...ใหญ่โต มีอำนาจเหนือคนอื่นๆ
อยากได้.........อยากเป็น......อยากมี........อีก.......สารพัด
ซึ่งล้วนแต่ขัดขวางการเจริญ....ทางธรรม

:b42: ทางธรรม : ชีวิตนักปฏิบัติ ควรละ ….ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็น....ทางโลก

chulapinan เขียน:
ทางโลก คนเป็นแบบนั้นเพราะกิเลสค่ะ

ทางธรรม ให้ละกิเลส แล้วอาศัยชีวิตอย่างพอดีค่ะ ไม่ใช่ละทุกสิ่ง


การกระทำต่างๆ อันเป็นส่วนของกิเลสต่างๆ สำหรับปุถุชนธรรมดา หรือ ฆาราวาสที่ยังต้องดำเนินชีวิต
ไม่ว่าจะกระทำใดๆที่ประกอบด้วย โลภะ โมหะ โทสะ ถ้าอยู่ในกรอบของศีล ถือว่าไม่ผิด ไม่เป็นบาป
ส่วนการละกิเลศนั้น จะตั้งใจละจริงๆนั้น ละกันไม่ได้ ควรเริ่มจากปฎิบัติตามหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นอุบายในการทำลายกิเลส ให้ เบาบาง และหมดไปในที่สุด

ส่วนนักปฏิบัติ ควรละ ….ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็น....ทางโลก นั้นอาจจะไมู่ถูุกต้องเท่าใดนัก เนื่องจากว่า ถ้า ละทางโลก ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง อันนี้้ถ้าจะเป็นนักปฎิบัติธรรมกันจริงๆ ถือว่าไม่ถูกต้อง และบางสิ่งบางอย่างในทางโลกนั้น ก็มีประโยชน์กับนักปฎิบัติธรรม สามารถนำมาพิจารณาเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติได้
...เพราว่าคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีทั้งส่วนที่เป็นหลักธรรมคำสอน และส่วนที่เป็นสภาวะธรรม

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
จงทำศีลให้เป็น อธิศีล
ทำจิตให้เเป็น อธิจิต
ทำปัญญาให้เป็น อธิปัญญา


พื้นฐานคุณธรรมความเป็นมนุษย์คือ ศีล๕ กุศลกรรมบถ๑๐ หิริโอตัปปะ และความกตัญญู กตเวทิตา

จุดสูงสุดของการรู้ธรรม เห็นธรรม ก็คือ
...สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ...สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา


แก้ไขล่าสุดโดย ภาวิตา-พหุลีกตา เมื่อ 16 ม.ค. 2010, 11:16, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 07:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากรู้ว่าการมุ่งในทางโลก การแข่งขันที่จะเอา สุดท้ายไม่มีใครได้อะไรจริง ในทางธรรมก็เช่นกันไม่แตกต่าง จึงไม่ใช่ภาวะที่ต้องหนี สู้ เบื่ออย่างหนึ่งเอาอีกอย่างหนึ่งหนีโลก เอาธรรม ก็มันเป็นตัณหาตัวเดียวกันถ้าไปมุ่งเอา ท่านให้สรุปทั้ง 2 อย่าง คือให้จบทั้งโลก จบธรรม จบกรรม การปฏิบัติ สรุปให้ได้ทั้ง2 ทุกสิ่งอย่างไม่ใช่การยึดติด มันไม่ยึดติดกันอยู่เองแล้ว ที่มุ่งเอาละตัณหา เหตุ สมุทัย ท่านไม่ให้ดำเนินในส่วนนี้ ถ้าไปดำเนินมันอยู่ตลอดมันเป็นเหตุไปตลอด ก็จะหลงเจริญมันไปเรื่อยๆ เจริญไปเรื่อยๆมันก็ไปเรื่อยๆละอย่างนี้ ไม่ตัดภพตัดชาติ ในภายในก็แต่จะเป็นไปของภพภูมิที่เรียกว่าทรงธรรม ยังไม่ตรงต่อเนื้อหาการตรัสรู้ นิพพานเลย

ขอเชิญศึกษาธรรมบรรลุฉลับพลัน จบโลก จบธรรม จบกรรม การปฏิบัติ โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม จ.เลย ที่บอร์ดสนทนาทั่วไปขอรับ หรือ http://www.rombodhidharma.com/

ขอให้ท่านมีส่วนในความ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต นั่นเทอญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 15:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มีแนวความคิดอันหนึ่งที่ผมคิดว่าคนเข้าใจอะไรผิดอยู่มากเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม

ความคิดอันนี้มันเป็นลักษณะที่ว่า
ถ้ารวยอยู่ให้ทิ้งความรวย มีบ้านอยู่ให้ทิ้งบ้าน มีลูกให้ทิ้งลูก มีคู่ครองให้ทิ้งคู่ครอง
มีหน้าที่การงานอะไรอยู่ก็ทิ้งเสีย
เพราะการละสิ่งเหล่านี้เป็นความดี เป็นไปเพื่อความดี
ถ้าเป็นคนจนอยู่ ก็อย่าอยากมี อยากเป็น อะไรทำนองนั้น

ถ้าพุทธเราเป็นอย่างนี้ บ้านเมืองจะพัง สิ้นบ้านสิ้นเมือง
หาความเจริญไม่ได้
ศานาอื่นเขาดูถูกเอาว่าชาวพุทธนี้พวกไม่เอาไหน

พระพุทธเจ้าสอนให้พยามอยู่กับโลกแบบไม่ติดโลก
ไม่ได้สอนให้เปลี่ยนแปลงโลกให้เหมาะกับเรา
หรือหาส่วนหนึ่งส่วนใดของโลกมาเป็นของเรา
หรือหาส่วนหนึ่งส่วนใดของโลกที่จะทำให้เราเป็นคนดี

เหมือนคนเราเวลาอยากสบายใจนี่แหละ
ส่วนมากมีทิฐิว่าต้องพาตัวพาใจไปยังสถานที่แห่งใดเสียก่อน จึงจะมีความสุข
ลำพังใจเฉยๆ มีความสุขด้วยตนเองไม่ได้
ต้องพึ่งพิงสิ่งภายนอกมากระทบร่างกายหุตาจมูกปากเสียก่อน
แล้วกระทบอย่างถูกใจด้วยนะ ถึงจะมีความสุข
ไม่ใช่น้ำหอมหลิ่นที่ชอบ ใจก็ไม่มีความสุข
วันใดหาวัตถุไม่ทัน ใจก้ทุกข์

ถึงได้อยู่อย่างมีความสุขในสถานที่ที่ชอบ อาหารที่ชอบ กลิ่นที่ชอบ
สุดท้ายก็ใจนั่นแหละ เบื่ออีก ทนอยู่กับความสุขอันเดิมไม่ได้

คนปฏิบัติธรรมเป็น อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ เงื่อนไขไหนก็ปฎิบัติได้
คนปฏิบัติไม่เป้นมักจะเรียกร้องสถานที่และเงื่อนไขต่างๆให้พร้อมเสียก่อน
แล้วจึงคิดว่าจะปฏิบัติ แล้วจะปฏิบัติได้

เช่น บางคนต้องการอยากจะได้ชื่อว่าสมณะอย่างแรงกล้า
เขาไม่ให้บวชก็บวชเอาเองเสียเลย เลือกเครื่องแบบเองเลย ตั้งลัทธิเอาเอง
อยากบวชเพื่อจะบอกว่าเราเป็นคนไม่มีอัตตานะ ละแล้วทุกอย่าง
อะไรก็ไม่เอาหรอก แต่ว่าขอเป็นพระให้ได้เสียก่อน
พระธรรมวินัยอะไรไม่สนทั้งนั้น สนใจแต่ตัวเองว่าต้องได้ใส่ชุดอย่างนี้เสียก่ิอน
ต้องได้มีฐานะอย่างนี้เสียก่อน
หารู้ไม่ว่าเสร็จกิเลสตั้งแต่อยากจะบวชแล้ว


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 17 ม.ค. 2010, 15:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร