วันเวลาปัจจุบัน 22 พ.ค. 2025, 05:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

...............ธรรมะจากผี – ของดีจากพระ...............
ว่าถึงประโยชน์ของการมางานศพและประโยชน์ของความตาย อันความตายหากค้นให้พบหาให้เจอ จะพบว่าในความตายนั้นมีสาระแก่นสารที่น่าศึกษามากมายหลายสถาน แต่เพื่อให้เหมาะสมแก่เวลาจักนำมากล่าวโดยย่อๆ สัก 3 ประการ คือ…
1. ทำให้เห็นความดีของผู้ตายเด่นชัดขึ้น
2. ทำให้ญาติมิตรพี่น้องปรองดองสามัคคีกันกว่าแต่ก่อน
3. ก่อให้เกิดอัปมาทธรรม ความไม่ประมาทมัวเมาในชีวิต

ประการที่ 1 ช่วยให้เห็นความดีของผู้ตายเด่นชัดขึ้น ข้อนี้อุปมาเหมือนต้นไม้ใหญ่ ที่เคยให้ร่มเงาและที่อยู่อาศัยแก่หมู่วิหก นกกา ตลอดถึงมนุษย์ เมื่อธรรมชาตินั้นยังอยู่ก็มิสู้ได้คำนึงถึงคุณค่า ต่อเมื่อใดถูกพายุพัดโค่นหรือถูกตัดไปเสียแล้ว ยามนั้นคุณค่าของโพธิ์ไทรจะผุดงอกในความรู้สึกมากกว่าปกติ
อีกอย่างหนึ่ง คล้ายเวลาหิวกระหายใคร่จะดื่มน้ำ มีภาชนะเช่นแก้วหรือขันใส่ให้ดื่ม จะทานอาหารมีช้อนมีจานใส่ให้บริโภค ยามที่แก้ว, ขัน, ช้อน, จานยังอยู่ ก็มิสู้จะเห็นความสำคัญนัก ปล่อยเกะกะทิ้งขว้าง ต่อเมื่อใดจะทานอาหาร ช้อนจานไม่มี จะดื่มน้ำแก้วก็แตก ขันก็หาย นั่นแหละคุณค่าของสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะผุดงอกในจิตสำนึกมากกว่าเดิม แม้ชีวิตคนก็เช่นเดียวกัน รวมความว่า อะไรก็ตามที่พลัดพรากจากไปแล้ว มิสามารถนำกลับคืนมาได้ สิ่งนั้นล้วนมีคุณค่าเป็นทวีคูณ

ประการที่ 2 ช่วยให้ญาติพี่น้องปรองดองกันมากขึ้น ก็ด้วยอำนาจความรัก ความอาลัย ความเห็นใจ ในโอกาสที่แต่ละฝ่ายต่างประสบพบกับความสูญเสีย

ประการที่ 3 ก่อให้เกิดอัปมาทธรรม ความไม่ประมาท ก็เพราะความตายจะช่วยกระตุ้นความรู้ให้เกิดมุมมองสอดส่องชีวิต จนเกิดปัญญาหรือแววจิตคิดเห็นความไม่เที่ยงแท้แปรเปลี่ยนของชีวิต เกิดการยอมรับในกฎแห่งธรรมชาติ และเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่จะต้องประสบคือมัจจุราช หรือความตายฯ

...............มนต์กันเมา...............
หากเราได้สำนึกรำลึกถึงความตายไว้เสมอ จักมีผลให้ยอมรับว่าความตายเป็นสมบัติส่วนหนึ่งของชีวิต จนสามารถะเผชิญหน้ากับวาระสุดท้ายได้อย่างเยือกเย็น ไม่หวาดหวั่นขวัญเสีย ทั้งนี้ก็ด้วยปัญญาความรู้เท่านั้น เห็นการผันแปรของชีวิตเหมือนดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไปตามลำดับ
เพราะฉะนั้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าบุคคลใดระวังไว้เสมอ ไม่หลงลมแล้ว ก็เท่ากับมีมนต์คาถาวิเศษกำจัดทุกข์ เหตุนี้ผู้มีปัญญาไม่ประมาทในชีวิต จึงยินดีเจริญมรณสติ เพราะเห็นอานิสงส์ว่า
ระลึกถึงความตายสบายนัก มักหักรักหักหลงในสงสาร
บรรเทามืดโมหันอันธกาล ทำให้หาญหายสะดุ้งไม่ยุ่งใจ
ความตาย คือสหายสนิท
ชีวิต พร้อมที่จะอำลา
จงพร่ำ ภาวนา
เป็นมนตรา กันลืมตน
ท่านทั้งหลาย แม้เราจะมีอำนาจวาสนาใหญ่โต แต่จะต่อต้านหรือร้องขอต่อรองกับพญามัจจุราชนั้นเป็นอันสิ้นหวัง ดังพระบาลีที่ปรากฏในคาถาธรรมบทขุทกนิกาย ที่ได้สาธกยกเป็นอุเทศ ณ เบื้องต้นว่า….
น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย น ปิตา นปิ พนฺธนา
อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส นตฺถิ ญาตีสุ ตาณตา.
แปลว่า บุคคลอันความตายครอบงำแล้ว ไม่มีบุตร ไม่มีบิดา ไม่มีพวกพ้อง เพื่อจะป้องกันต่อต้าน ความป้องกันต่อต้าน ย่อมไม่มีในญาติทั้งหลาย
สรุปก็คือ ความตายนั้น บุตรธิดาจะรั้งไว้ก็ไม่หยุด บิดามารดาจะฉุดก็ไม่ได้ ญาติสนิทมิตรสหายก็เพียงแต่แลดู ช่วยอะไรไม่ได้ พอถึงคราวตายอะไรก็เปลี่ยน ที่เคย “วิวัฒน์” ก็ต้องกายเป็น “วิบัติ” คือหยุดบทบาท หยุดการเคลื่อนไหว หยุดมี หยุดเป็น ทุกอย่าง เช่น รถตาย ก็เกะกะขวางถนน, เรือตาย ก็เกะกะขวางลำคลอง, ต้นไม้ตาย ก็หยุดเจริญเติบโต ไม่ผลิดอกออกช่อ ที่เคยเป็นก็เลิกเป็น เช่น..
เป็นพระ ตายแล้ว ก็เป็นไม่ได้
เป็นพระครู ตายแล้ว ก็หาพระ, หาครูไม่พบ
เป็นมหา ตายแล้ว ก็หาไม่เจอ
เป็นเจ้าคุณ ตายแล้ว ก็หมดความเป็นคุณ..เป็นเจ้า
เป็นนักเทศน์ ตายแล้ว ก็ไม่ได้เทศน์…ไม่ได้เป็น
เป็นเศรษฐี ตายแล้ว ก็เหลือแต่เศษ…ไม่มีฐี

...............อานิสงส์ความตาย...............
ขึ้นชื่อว่า ความตาย ไม่มีใครปรารถนา และมักจะถูกรังเกียจ แม้เพียงใครพูดเรื่องตายให้ได้ยิน ก็มักตัดพ้อหาว่าปากเสนียด พูดไม่เป็นมงคล ในเรื่องนี้สมเด็จพระทศพล ได้ตรัสว่า วิสัยบัณฑิต ผู้มีปัญญา “พึงทำอุปสรรคให้เป็นอุปกรณ์ ทำสิ่งที่มีปกติเป็นโทษให้กลายเป็นคุณ ทำสิ่งที่เหลวไหลให้กลายเป็นสาระ แปรสิ่งที่เป็นทุกข์ให้กลายเป็นสติปัญญา”

ความตายเป็นการสิ้นสุดปัญหาทุกอย่างไม่ต้องดิ้นรน, ไขว่คว้า, แสวงหา, แก่งแย่ง, ชิงดีชิงเด่นกับใคร เมื่อประมวลแล้ว ความตายให้ประโยชน์ ดังนี้..
1. กฎหมายไม่แตะต้อง
2. ญาติพี่น้องไม่รบกวน
3. มีคดีก็ยกเลิก
4. มีหนี้สินก็ยกให้
5. เป็นศัตรูคู่พยาบาทก็เลิกอาฆาตพยาบาทกัน

...............คติจากงานศพ...............
ท่านทั้งหลาย ท่านมางานศพท่านได้ข้อคิดอะไรจากศพบ้าง มางานศพทั้งทีควรจะให้ได้ธรรมะจากผีของดีจากพระ เช่น

ประการที่ 1 – ตอนมารดน้ำศพ จะเห็นศพนอนแบมือ ถึงไม่แบสัปเหร่อเขาก็ต้องทำให้แบ… นั่นเป็นการประกาศว่า ชีวิตเราก็เท่านี้ มาเปล่าไปเปล่า…เป็นการสารภาพว่า เวลาเกิดเรากำมือมาเกิดแสดงว่าจะมาเอา มากอบ มาโกย มาโกง มากิน มาเก็บ คือมาเอาสารพัด ครั้นสิ้นลมจำต้องแบมือสารภาพ “ทรัพย์สินทั้งมวลเรือกสวนไร่นาที่ตนอุตส่าห์แสวงหาเอาไว้ ก็ต้องพลัดพรากจากกระจาย เมื่อตัวล้มตายลงไปนอนหลับตาฯ” ทำให้นึกถึงคติธรรมคำกลอนที่ว่า….
อันยศลาภ หาบไป ไม่ได้แน่
เว้นเสียแต่ ต้นทุน บุญกุศล
ทิ้งสมบัติ ทั้งหลาย ให้ปวงชน
แม้ร่างตน เขายังเอา ไปเผาไฟ
เมื่อเรามา เราก็มา กายาเปล่า
จะได้เอา อะไรมา ก็หาไม่
เมื่อเรามา มือเปล่า จะเอาอะไรไป
เราก็ไป มือเปล่า เหมือนเรามา
เพราะฉะนั้น รำพึงไว้เสมอว่า… หามา, ใช้ไป, เก็บไว้, ให้คืน นี้เป็นวักจักรหรือวงเวียนของชีวิต

ประการที่ 2 – สิ้นพยศหมดทิฐิ เมื่อครั้งมีชีวิตมักถือองค์ทนงศักดิ์ ใครแตะต้องไม่ได้ หาว่าลบหลู่ดูหมิ่น ก้าวร้าว ล่วงเกิน แต่พอหมดลม ยอมเขาทุกอย่าง เขาจะผูกจะมัดอย่างไรก็ไม่ได้แย้ง ทั้งหมดความละอายยอมเป็นทาสแม้สัปเหร่อ…

ประการที่ 3 – ทรัพย์สินสมบัติที่แสวงหาไว้ ที่ดินเป็นร้อยไร่ คฤหาสน์กว้างใหญ่ดุจพระราชวัง สุดท้ายก็แค่โลกสี่เหลี่ยม (โลงศพ) เท่านั้นเอง!

...............ตายเหมือนย้ายบ้าน...............
ท่านกล่าวว่า ความตายเหมือนการย้ายบ้าน บ้านที่ผู้ละจากโลกนี้ไปแล้ว จะเข้าไปอยู่อาศัย มีอยู่เพียงสองหมู่บ้าน คือ หมู่บ้าน สุคติ และหมู่บ้าน ทุคติ สภาพหรือภาวะของหมู่บ้านทั้งสองนี้มีสภาพต่างกัน บ้านสุคติมีแต่ความสุขสงบ, ส่วนบ้านทุคติ มีแต่ปัญหาและความทุกข์เดือดร้อน ผู้ที่จะเข้าไปอยู่อาศัยได้ก็สุดแต่สร้างเหตุ คือดีกับชั่ว หรือบุญกับบาป ทั้งสองสภาพนี้มีผลไม่เหมือนกัน บุญ…นำไปสู่สุคติ บาป…นำไปสู่ทุคติ…

คำว่า บุญ นั้น เมื่อกล่าวโดยผล ได้แก่ความสุขกายสบายจิต อันบังเกิดขึ้นแก่ผู้บำเพ็ญ ท่านสอนให้หาโอกาสบำเพ็ญบุญทุกเมื่อแล้วแต่โอกาสจะอำนวยให้ เพราะว่าบุญเป็นสิ่งที่นำสุขมาให้แม้ที่สุดใกล้จะมรณะ ดังพระพุทธภาษิตว่า ปุญฺญํ สุขํ ชีวิตสงฺขยมฺหิ แปลว่าบุญยังให้เกิดสุขในเวลาใกล้จะสิ้นชีวิต บุญใช่ว่าจะให้เกิดสุขเฉพาะแต่ในปัจจุบันเท่านั้น ยังเป็นที่พึ่งพำนักในภพเบื้องหน้า ดังคาถาพุทธภาษิตว่า.. ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินํ แปลว่าบุยย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก ดังนี้ นักกวีท่านหนึ่งแต่งเสริมไว้ไพเราะว่า….
วิชาดีเป็นสหายเลี้ยงชีวิต
ภรรยาสนิทเป็นสหายในเคหา
บุญกุศลย่อมเป็นมิตรเมื่อมรณา
จงคบหาสำคัญให้มั่นเอย

ท่านแสดงอิฏฐผลของผู้บำเพ็ญบุญไว้ว่า ผู้ใดบำเพ็ญบุญไว้ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง คือมีความสุขในโลกนี้ แม้ละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็บันเทิงเริงใจในสุคติโลกสวรรค์ข้างหน้า บุญนั้นเป็นทุนของชีวิต เหมือนทรัพย์สมบัติภายนอก เช่น เงินทอง เป็นต้น เป็นกำลังเป็นที่พึ่งของเจ้าของทรัพย์ แต่บุญนี้เป็นขุมทรัพย์ภายใน ผู้ใดมีบุญ ผู้นั้นไม่ต้องจนใจ จะคิดจะทำอะไร บุญก็ช่วยสนับสนุนอุปถัมภ์ ในทางโลก… ถือว่า เงิน.. คือแก้วสารพัดนึก แต่ในทางพระศาสนาถือว่า บุญ..เป็นแก้วสารพัดนึก ช่วยให้สำเร็จความปรารถนา ดังคำว่า “ปรารถนาสารพัดในปัฐพี บุญบารมีบันดาลได้ดั่งใจจง”

ส่วนผู้ที่ขาดต้นทุน คือบุญกุศล บุญไม่นำพาวาสนาไม่นำส่ง ชะตามักตกอับทำมาหากินไม่ค่อยเจริญ ชีวิตมีอุปสรรคไม่ก้าวหน้า เข้าลักษณะว่า .. “มีเมียๆ ก็มีชู้ เลี้ยงหมูๆ ก็ตาย ค้าขายก็ขาดทุน เข้าหุ้นก็ถูกโกง มีลูกก็ไม่ได้อย่างตัว มีผัวก็ไม่ได้อย่างใจ มีพ่อแม่ก็ใจร้าย มีสหายก็ใจคด มีศิษย์ก็ทรยศ มีผู้ใหญ่ก็พึ่งไม่ได้” ทำอะไรก็ขาดๆ เกินๆ นี่แหละ… อำนาจของการขาดบุญ อันเป็นต้นทุนของชีวิตฯ

:b8: :b8: :b8:


เก็บไว้นามจนจำไม่ได้ว่ามาจากไหน

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2009, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ
การดำรงอยู่อย่างมีเกียรตินับว่าไม่ง่าย
แต่การตายอย่างน่ารำลึกถึงนี้ยากกว่า...


:b41: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ม.ค. 2009, 21:10
โพสต์: 66


 ข้อมูลส่วนตัว


สุดยอด....สาธุ smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 09:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 09:07
โพสต์: 3

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากได้ความรู้การฝึกกรรมฐาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2009, 10:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:28
โพสต์: 307

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2009, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

auriwan เขียน:
อยากได้ความรู้การฝึกกรรมฐาน


วรานนท์ไม่มีความรู้ด้านกัมมัฏฐานเท่าไหร่ครับ

รอท่านผู้รู้มาแนะนำแล้วกันครับ


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร