วันเวลาปัจจุบัน 15 ก.ค. 2025, 17:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ย. 2009, 21:23
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คือผมอยากอาจะทราบว่า ในเมื่อถ้าเรา ฆ่าสัตว์แล้วบาป
แล้วถ้าเรากินเนื้อสัตว์จะบาปด้วยไหม เพราะว่ามีคนฆ่าพวกเขา เผื่อให้เรากิน

แล้วถ้าเรามนุษย์ทุกคน ไม่กินเนื้อสัตว์ โลกจะเป็นอย่างไร

ในเมื่อธรรมชาติ มีวัฎจักรของมันเอง สิ่งมีชีวิตต้องการอาหารเผื่อการดำรงอยู่
แล้วจะแยกออกได้อย่างไรว่า ที่สิ่งเราทำเผื่อการดำรงอยู่ จะเป็นผลบาปบุญอย่างไร

ในเมื่อเสือ ต้องกินเนื้อกวาง แล้วเสือจะบาปไหม....
ชาติหน้าของเสือ จะเกิดมาเป็นกวาง แล้วโดนกินอย่างที่มันเคยทำไว้ไหม

ถ้าเป็นอย่างนั่น ธรรมชาติ กำลังเล่นตลกอะไรอยู่

หรือธรรมชาติ ก้อคือ วัฏจักรของบาป?


แก้ไขล่าสุดโดย คนไร้สาระ เมื่อ 07 ก.ย. 2009, 04:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่ฆ่าเอง ไม่สั่งเขาฆ่า ไม่เห็นเขาฆ่า ไม่บาป อาหารมื้อสุดท้ายที่มีผู้นำมาถวายพระพุทธองค์ก็ทำด้วยเนื้อหมู คนไม่กินเนื้อเลยก็ได้โปรตีนไม่ครบ สูงอายุก็ความจำเสื่อมเอาง่ายๆ เราไม่กินเนื้อโคเนื้อสุกร ก็เท่ากับว่าเรารักโครักสุกรแต่ไม่รักตัวเอง พระพุทธองค์ตรัสว่า ทำบุญอย่าให้เบียดเบียนตัวเอง

พระเทวทัตเคยทูลขอให้พระพุทธองค์ห้ามภิกษุฉันเนื้อ แต่พระพุทธองค์ทรงปฏิเสฐ ทรงตรัสว่าเราต้องบำรุงร่างกายให้สมบูรณ์ด้วยอาหาร

อย่างไรก็ดี หากผู้ที่มีอาชีพที่ต้องฆ่าสัตว์ รู้จักทำบุญหนีบาป อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร หรือสัตว์ที่เราฆ่าเพื่อเป็นอาหาร กรรมทั้งหลายก็จะทุเลาเบาบางลง

ธรรมชาติของเดรัจฉาน ดำเนินชีวิตด้วยสัญญาหรือสัญชาติญาณ กุศลจิตทั้งหลายไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ชีวิตก็เป็นไปตามบุญเก่ากรรมเก่า ชดใช้ไปจนกว่ากรรมลดลงเหลือน้อยกว่าบุญ ก็จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้น

ธรรมชาติแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายโลกียะ อีกฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายโลกุตตระ
ฝ่ายโลกียะชีวิตก็เวียนว่ายตายเกิดตามกำลังบุญกำลังบาป
ฝ่ายโลกุตตระก็มีชีวิตอมตะ ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตาย
เรื่องมันก็มีอยู่แค่เนี๊ย... :b4:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย คนไร้สาระ เมื่อ 12 ก.ย. 2009, 06:39, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ

การเจริญอรหัตตมัคคแล้วบรรลุอรหัตตผล ชื่อว่าได้บุญเยอะที่สุดครับ คิดเรื่องบุญดีกว่าครับ มีแต่ประโยชน์และความสุข ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าครับ


จิตที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวดั่งภูเขาศิลา
ไม่กำหนัดในอารมณ์
อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
ไม่โกรธในอารมณ์
อันเป็นที่ตั้งแห่งความโกรธ
จิตของบุคคลใด อบรมได้ดั่งนี้
ความทุกข์จะมีมาแต่ที่ใดเล่า ?


เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากแยกแยะบุญบาป ไม่ต้องทำอะไรมากเลย
ให้สังเกตุความรู้สึกของตัวเอง

บุญมีลักษณะว่า ความรู้สึกสุข อิ่ม เต็ม เบา สบาย น่าระลึกถึงเสมอๆ
บาปก็คือความรู้สึกอะไรที่ตรงกันข้าม เช่น ไม่สุข ไม่อิ่ม หนักๆ แน่นๆดันๆ ดิ้นรน
รู้สึกทีไรอยากจะหนีให้พ้นๆ ไม่เอา ไม่อยากได้ หรือยากได้ โหย ต้องการเอาเข้ามา


ส่วนเรื่องเหตุการณ์แลกิจกรรมทั้งหลายนั้น
ไม่ว่าจะถกเถียงกันสักปานได มันวัดไม่ได้จริงๆหรอก
มันอธิบายในกรอบหลักการได้เท่านั้นเอง
แต่เวลาบาปบุญมันเกิด ในที่เกิดเหตุ คือจิต
มันมีความเฉพาะเจาะจงลงไปที่จิตเป็นขณะๆเลยทีเดียว
บาปบุญมันเกิดในตอนเรากินเนื้อน่ะมันเกิดดับนับไม่ถ้วน

คนกินเนื้อ ไม่เคยมีบุญบาปที่เท่ากันเลย

แม้กระทั้งคนเดียวกัน ก่อนกิน ขณะกิน หลังกิน
มีทั้งบุญบาปผสมปนเปกันไปหมด

ส่วนเรื่องเสือ นี่ก็คือกรรมของคนที่บาป เลยต้องไปเป็นเสือ
ตกต่ำลงเรื่อยๆนะ คือสร้างบาปสร้างกรรมโดยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
เวลาเสือมันกินอาหาร มันไม่ได้มีจิตอย่างเรานะ
เสือไม่กินของเก่า มันต้องฆ่า สดๆ กล่าวคือเวลาจะกินอาหารทีมีจิตบาปรุนแรง
จิตที่คิดจะฆ่า จิตที่ฆ่า น่ากลัว

เสือนี่ไม่มีสิทธิรู้เลยว่าพอกพูนบาปกรรมของตน
คล้ายว่าเราจนน่ะ มีแต่จะจนไปข้างหน้า ลืมตาอ้าปากไม่ได้เลย


สรุปง่ายๆว่า มันอยู่ที่ใจ ว่าในขณะหนึ่งๆที่เราจะทำอะไร
เราตั้งวางจิตใจของตนอย่างไร

ถ้าไม่งั้น ลองคิดเล่นๆว่า วัวควายมันกินเจทั้งชีวิต ทำไม่มันไม่พ้นทุกข์
ทำไมไม่เจริญ เพราะมันวางใจไม่ถูก

อยู่ที่ใจนะครับ ความรู้สึกน่ะ ตรงนั้นแหละบุญบาป
คำพูดการกระทำและหลักการอะไรทั้งหลาย มันดัดแปลงแต่งเติมผิดไปจากความจริงได้
แต่ความรู้สึกมันโกหกไม่ได้จริงๆ
ไม่เชื่อลองจับสังเกตุความรู้สึกตัวเองดูสิ
วันหนึ่งๆ เรารู้สึกอย่างหนึ่ง แต่ทำออกไปอีกอย่างหนึ่งออกบ่อยๆไป
ลองดู


แก้ไขล่าสุดโดย คนไร้สาระ เมื่อ 12 ก.ย. 2009, 06:41, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2009, 14:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2009, 09:06
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


บาปไม่บาป เดี๋ยวตายไปก็รู้เอง

"ขออำนวยพรให้ท่าน จงนำเอาพระธรรมของพระพุทธองค์ มาขจัดกิเลสให้หมดสิ้น แล้วพบนิพพานเทอญ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2009, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่ฆ่าเอง ไม่สั่งเขาฆ่า ไม่เห็นเขาฆ่า ไม่บาป อาหารมื้อสุดท้ายที่มีผู้นำมาถวายพระพุทธองค์ก็ทำด้วยเนื้อหมู คนไม่กินเนื้อเลยก็ได้โปรตีนไม่ครบ สูงอายุก็ความจำเสื่อมเอาง่ายๆ เราไม่กินเนื้อโคเนื้อสุกร ก็เท่ากับว่าเรารักโครักสุกรแต่ไม่รักตัวเอง พระพุทธองค์ตรัสว่า ทำบุญอย่าให้เบียดเบียนตัวเอง

พระเทวทัตเคยทูลขอให้พระพุทธองค์ห้ามภิกษุฉันเนื้อ แต่พระพุทธองค์ทรงปฏิเสฐ ทรงตรัสว่าเราต้องบำรุงร่างกายให้สมบูรณ์ด้วยอาหาร

อย่างไรก็ดี หากผู้ที่มีอาชีพที่ต้องฆ่าสัตว์ รู้จักทำบุญหนีบาป อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร หรือสัตว์ที่เราฆ่าเพื่อเป็นอาหาร กรรมทั้งหลายก็จะทุเลาเบาบางลง

ธรรมชาติของเดรัจฉาน ดำเนินชีวิตด้วยสัญญาหรือสัญชาติญาณ กุศลจิตทั้งหลายไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ชีวิตก็เป็นไปตามบุญเก่ากรรมเก่า ชดใช้ไปจนกว่ากรรมลดลงเหลือน้อยกว่าบุญ ก็จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้น

ธรรมชาติแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายโลกียะ อีกฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายโลกุตตระ
ฝ่ายโลกียะชีวิตก็เวียนว่ายตายเกิดตามกำลังบุญกำลังบาป
ฝ่ายโลกุตตระก็มีชีวิตอมตะ ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตาย
เรื่องมันก็มีอยู่แค่เนี๊ย... :b4:



ขอแก้นิดนึงครับ ตรง
" อาหารมื้อสุดท้ายที่มีผู้นำมาถวายพระพุทธองค์ก็ทำด้วยเนื้อหมู " ที่จริงแล้วเป็นเห็ดชนิดหนึ่ง ครับ ไม่ใช่หมู แต่มีชื่อว่า สุกรมัทวะ (สุก-กะ-ระ-มัท-ทะ-วะ) จึงชื่อคล้ายหมู ตามพระไตรปิกฎกน่ะครับ

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


แก้ไขล่าสุดโดย คนไร้สาระ เมื่อ 12 ก.ย. 2009, 06:41, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2009, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ในพระคัมภีร์มหายานได้กล่าวไว้ว่า สูกรมัททวะที่พระองค์ทรงฉันนั้น คือเห็ดชนิดหนึ่ง

ส่วนทางเถรวาทนั้น ได้แปลตามๆกันมาว่า เนื้อสุกรอ่อน หรือ เนื้อหมูอ่อน (สูกร=สุกรหรือหมู, มัททวะ=อ่อน)

คัมภีร์ชั้นอรรถกถาและมติของเกจิอาจารย์ทั้งหลายยังไม่ลงรอยกัน

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 11 ก.ย. 2009, 12:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2009, 09:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:12
โพสต์: 37

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


narutokyoo เขียน:
คือผมอยากอาจะทราบว่า ในเมื่อถ้าเรา ฆ่าสัตว์แล้วบาป
แล้วถ้าเรากินเนื้อสัตว์จะบาปด้วยไหม เพราะว่ามีคนฆ่าพวกเขา เผื่อให้เรากิน

แล้วถ้าเรามนุษย์ทุกคน ไม่กินเนื้อสัตว์ โลกจะเป็นอย่างไร

ในเมื่อธรรมชาติ มีวัฎจักรของมันเอง สิ่งมีชีวิตต้องการอาหารเผื่อการดำรงอยู่
แล้วจะแยกออกได้อย่างไรว่า ที่สิ่งเราทำเผื่อการดำรงอยู่ จะเป็นผลบาปบุญอย่างไร

ในเมื่อเสือ ต้องกินเนื้อกวาง แล้วเสือจะบาปไหม....
ชาติหน้าของเสือ จะเกิดมาเป็นกวาง แล้วโดนกินอย่างที่มันเคยทำไว้ไหม

ถ้าเป็นอย่างนั่น ธรรมชาติ กำลังเล่นตลกอะไรอยู่

หรือธรรมชาติ ก้อคือ วัฏจักรของบาป?

ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่ที่เจตนาเป็นหลัก...จะตัดสินอย่างไรว่าบาปหรือไม่ ก็ใช้จิตเจตนานี่แหละ เช่นว่า

เมื่อเรารู้สึกถึงความหิว(เป็นเวทนา) เราเดินผ่านร้านข้าวมันไก่ แล้วเราก็เข้าไปในร้านสั่ง "ข้าวมันไก่ 1 จาน" กินเพื่อดับความหิวนั้น...อย่างนี้ไม่ถือเป็นบาป

แต่เมื่อเรารู้สึกถึงความหิว เราเดินผ่านร้านข้าวมันไก่ แต่เราดูแล้วมันไม่น่ากิน เราเลยเดินเลยไปอีกนิดเจอกับร้านก๋วยเตี๋ยววัดดงมูลเหล็ก(เนื้อตุ๋นอร่อยมากเพราะเราเคยกินมาแล้ว) เราเลยเดินเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยว สั่งเกาเหลาเนื้อตุ๋นของโปรด แล้วเราก็กินอย่างเอร็ดอร่อยจนอิ่ม...อย่างนี้ถือเป็นบาป

ส่วนสัตว์เดรัจฉานนั้นโดยมากมีกรรมที่จะต้องเอาเนื้อให้ทาน ส่วนการกินกันของเดรัจฉานนั้น โดยมากก็เพียงเพื่อดับเวทนาไม่มีเจตนาอื่น เดรัจฉานถึงจะเป็นภูมิที่เป็นอบาย...แต่ก็ยังดีที่ชาตินึงนั้นได้บาปน้อยมากและได้กุศลใหญ่คือ ได้เอาเนื้อให้ทาน

ส่วนที่ถามว่า ถ้ามนุษย์ไม่กินเนื้อสัตว์ โลกจะเป็นอย่างไร... :b10:

คำตอบก็คือ :b21: :b21: :b21: ....... :b32: :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร