วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 23:02
โพสต์: 157

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมคิดอย่างนี้ครับ ดูจิตแล้วต้องปรับจิตด้วย
ถ้าเห็นจิตคิดไม่ดีมีกิเลสต้องรีบละ ล้างออกโดยเร็ว
ถ้าคิดดี เป็นกุศลแล้วก็ทำให้มั่นคงเจริญ งอกงามขึ้น

การดูจิต เป็น สติ
การตัดสิน ว่าจิตคิดดีหรือไม่ดี เป็น ธรรมวิจยะ
การ ละ ล้างออก, การทำให้เจริญมั่นคง เป็น วิริยะ
เมื่อทำทั้งสามข้อนั่นเป็นผลถึงขีดถึงขั้น ก็จะเกิด ปิติ

ซึ่งถ้าทำบ่อยๆ ในหลายๆเหตุปัจจัยได้ผลมากๆเข้า ปิติ ก็จะสงบลง เป็น ปัสสัทธิ
และถ้ายังทำให้เจริญขึ้นไปเรื่อยๆ ปัสสัทธิ ก็เจริญเป็น สมาธิ

สมาธิ ผมเข้าใจว่าเป็นอย่างนี้ ซึ่งปฏิบัติได้ทุกที่ทุกเวลา(ที่เราจะตั้งใจปฏิบัติ)
อาจแตกต่างจากที่ หลายๆท่านเข้าใจ แต่ผมก็มั่นใจว่าไม่ผิด

.....................................................
มาตามหา เพื่อนร่วมทาง

ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด > > ต้องทำให้ได้ คือแก้ไขตนเอง > > ฝึกหยุด-ไม่หยุดฝึก >
ไม่มีเวลาสำหรับความชั่วบาปอีกแล้ว. ." ทุกวินาทีเป็นวินาทีแห่งบุญ "
เราจะฝึกฝนตนเพื่อไปถึงจุดนั้นให้ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


wic เขียน:
ผมคิดอย่างนี้ครับ ดูจิตแล้วต้องปรับจิตด้วย


ขออนุญาตแนะนำ :b8:

ผมพูดในฐานะคนที่ศึกษาการดูจิตนะครับ
ไม่ได้พูดว่าเป็นลูกศิษย์ หรือเป็นตัวแทน หรือเป็นผู้วินิจฉัยอะไร
พูดตามที่ศึกษามาครับ

การดูจิต เราไม่ปรับจิตนะครับ
ปรับจิตตามที่คุณว่ามาเหมือนละความคิดไม่ดีออกไป

สำนวนหลวงพ่อใช้คำว่าเพ่ง เราไม่เพ่ง คือไปพยายามบังคับ
เช่นบังคับไม่ให้คิด บังคับไม่ได้มันรู้สึกไม่ดี
อีกคำหนึ่งคือคำว่า "แทรกแซง"
ปรับจิตตามที่คุณว่าคือการแทรกแซง

การดุจิตก็มีแทรกแทรงเหมือนกัน แต่ไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจนะ
ดุจิตเราแทรกแซงกรณีเดียวคือศีล
เราถือศีล
เราโกรธ เราดีใจ แต่เราอยู่ในศีล ไม่ออกจากเขตนี้
หลวงพ่อพูดว่าให้เอาศีลคุมไว้ ไม่ให้มันล้นออกไปทางกาย วาจา

อ้างคำพูด:
ถ้าเห็นจิตคิดไม่ดีมีกิเลสต้องรีบละ ล้างออกโดยเร็ว

- อันนี้ไม่ใช่ดูจิตแล้วล่ะครับ อันนี้เป็นการข่มบังคับไม่ให้จิตคิด
บังคับได้ก็ดีใจว่าบังคับได้ บังคับได้นานๆเข้าก็กลายเป็นทิฐิว่าใจนี้บังคับได้
ซึ่งหลวงพ่อพูดบ่อยๆว่าความคิดห้ามไม่ได้
ใครพยามทำอย่างนั้นก็จะยิ่งเครียด
ผมว่า เผลอๆจะบ้าเอาง่ายๆ

ในการดูจิต การที่ความรู้สึกต่างๆมันดับไปนั้น มันดับไปเพราะสติเข้ามาคั่น
เจตนาเราอยู่ที่การมีสติ เจตนาอยู่ที่เหตุ ผลจึงดับ
แต่การไปดับกิเลส คือเจตนามันลงสู่ที่ผล
ในอริยสัจจ์ "หน้าที่"ที่เรา"มีต่อผล"คือ "รู้" เช่น รู้ทุกข์
"หน้าที่ต่อเหตุ"คือ"ละ"

เราไม่ละที่ผล เราไม่ละทุกข์ ทุกข์มีไว้ให้รู้ ไม่ได้มีไว้ให้ละ


อ้างคำพูด:
ถ้าคิดดี เป็นกุศลแล้วก็ทำให้มั่นคงเจริญ งอกงามขึ้น


เผินๆแล้วพูดถูกนะ
แต่คำว่า "คิดดี" นี่แหละ ที่มันต่างกันไปในแต่ละคน
โรบินฮูดปล้นคนรายช่วยคนจน เขาก็มีความสุขในการทำความชั่ว นี่เรียกว่าคิดดี
แต่เป็นดีไม่จริง ดีเพราะปรุงแต่งเอาเองด้วยความเขลา

อ้างคำพูด:
การตัดสิน ว่าจิตคิดดีหรือไม่ดี เป็น ธรรมวิจยะ
การ ละ ล้างออก, การทำให้เจริญมั่นคง เป็น วิริยะ
เมื่อทำทั้งสามข้อนั่นเป็นผลถึงขีดถึงขั้น ก็จะเกิด ปิติ


การตัดสิน = ก็คือการใช้ความคิดนั่นแหละ ไปตัดสิน
ความคิดก็เป็นทิฐิ เราเอาทิฐิไปตัดสินทิฐิก็ไม่ได้อะไร เหมือนที่ทำๆกันอยู่ในปัจจุบัน
ดิ้นไปดิ้นมา เดี๋ยวว่าดีเดี่ยวว่าไม่ดี เดี๋ยวว่าถูก เดี๋ยวว่าไม่ถูก

การตัดสินว่าจิตคิดดีหรือไม่ดี ก็เป็นการเอาทิฐิไปตัดสินความคิดเหมือนเดิม
การเอาความคิดไปตัดสินแยกแยะความคิด ไม่ใช่สติ ไม่ใช่การเจริญสติ
จึงไม่ใช่การดูจิต คิดยังไงก็ไม่มีทางรวมลงเป็นสมาธิได้เด็ดขาด

ผมคิดว่าคุณอาจจะอ่อนภาวนา กล่าวคือยังไม่เจริญสติภาคปฏิบัติให้มันเกิดสติจริงๆ
ยังไม่รู้รสชาดเวลาสติมันมาคั่นขาดอารมณ์ต่างๆ

หลวงพ่อว่า ชั่วเวลาที่เรามีสตินั่นแหละ คือเวลาที่มีสมาธิ เพียงแต่มันสั้น

ผมคิดว่าธัมวิจัย กับวิริยะ มันอยู่ก่อนหรือหลังสติแน่นอน
เพราะชั่วเวลามีสติ จะไม่มีใครสามารถคิดได้ เรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลยล่ะ
เพราะในอภิธรรม สติเป็นเจตสิกอย่างหนึ่ง ความคิดก็เป็นเจตสิกอย่างหนึ่ง
ดังนั้นมันจะเกิดพร้อมกันไม่ได้ เป็นไปไม่ได้

ให้ฟังเทศน์มากๆ อ่านมากๆ และที่สำคัญให้ปฏิบัติ
เมื่อไหร่รู้จักสติแบบเจอกับตัวจริง เมื่อนั้นจะเข้าใจเทศน์ขึ้นมาก
เมื่อก่อนผมก็คิดจนมั่วเหมือนกัน
บอกตามประสาคนเคยผ่าน บอกได้เลยว่าเปล่าประโยชน์ที่จะคิดอะไรให้มันมากมาย
โดยเฉพาะการเข้าใจธรรมะด้วยการคิด อันตรายที่สุด

"คิด"แต่เท่าที่"ทำ"ได้ น่ะดีที่สุด
"ทำได้แล้ว" มา "คิด" อีกที อันนี้จะเข้าใจกว้างขวางขึ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 01:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 23:02
โพสต์: 157

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ คุณชาติฯที่แนะนำครับ

ขออนุญาต สนทนาต่อนะครับ
อ้างคำพูด:
ดุจิตเราแทรกแซงกรณีเดียวคือศีล
เราถือศีล

นั่นละครับใช่เลย เพราะศีลของผมขยายออกไปกว้างมาก
ครอบคลุมทั้ง กาย วาจา และ"ใจ" ด้วย
ดังนั้นจึงต้องปรับทั้งกาย วาจา และ "ใจ" ไม่ให้ออกไปนอกศีล"ที่ผมกำหนดสมาทาน"

ขอยืนยันครับว่า
จิตที่คิดพยาบาท(ต้นทางของการผิดศีลข้อ ๑) จิตโลภ(ต้นทางของการผิดศีลข้อ ๒) และฯลฯ
แม้เล็กน้อยถ้าเรามีสติรู้ เห็นตัวมันถูกต้องชัดเจนแล้วต้องรีบละ ล้างออกโดยเร็วครับ
ไม่ว่าจะโดยวิธีสมถ(ในกรณีที่เรายังไม่เก่ง) หรือวิปัสสนา(ถ้าเราสามารถ)
ก่อนที่มันจะเติบโต จนออกมาทาง กาย และ วาจา ทำให้เราต้องผิดศีล

จะไม่เครียด ไม่บ้าหลอกครับเพราะเราจะต้องกำหนดสมาทานศีลให้เหมาะกับฐานของตัวเอง
เช่นถ้าอินทรีย์พละเรายังไม่แข็งแรงนัก ก็ไม่ต้องสมาทานศีลให้สูง, กว้างมาก แต่ขั้นตำ่ก็ศีล ๕พื้นฐาน

การตัดสินผิดถูกก็ตามศีลที่สมาทานไว้ เช่น
มีเพศสัมพันธ์ไม่ผิดศีล ๕ แต่ผิดศีล ๘ หรือ มีรายละเอียดอื่นก็ตามที่เราสมาทานไว้

อ้างคำพูด:
ผมคิดว่าคุณอาจจะอ่อนภาวนา กล่าวคือยังไม่เจริญสติภาคปฏิบัติให้มันเกิดสติจริงๆ
ยังไม่รู้รสชาดเวลาสติมันมาคั่นขาดอารมณ์ต่างๆ

ใช่ครับผมยอมรับว่าอ่อนภาวนา ซึ่งจริงๆแล้วผมก็ไม่ได้ภาวนาในแบบที่คุณ(หรือใครๆในบอร์ดนี้)คิดแน่ๆ

อ้างคำพูด:
ให้ฟังเทศน์มากๆ อ่านมากๆ และที่สำคัญให้ปฏิบัติ
เมื่อไหร่รู้จักสติแบบเจอกับตัวจริง เมื่อนั้นจะเข้าใจเทศน์ขึ้นมาก

ผมฟังท่านเทศน์สดๆทางTV เวลา18:00ถึง20:00น.ทุกจันทร์ถึงเสาร์ ถ้าพลาดก็ฟังซ้ำวันรุ่งขึ้น 9:00น
และผมก็ได้ปฏิบัติ(แบบที่เล่า)มาพอสมควร และเมื่อมีปัญหาผมก็ปรึกษาลูกศิษย์ท่านได้
ขอบคุณที่เป็นห่วง
ยินดีที่ได้สนทนา

.....................................................
มาตามหา เพื่อนร่วมทาง

ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด > > ต้องทำให้ได้ คือแก้ไขตนเอง > > ฝึกหยุด-ไม่หยุดฝึก >
ไม่มีเวลาสำหรับความชั่วบาปอีกแล้ว. ." ทุกวินาทีเป็นวินาทีแห่งบุญ "
เราจะฝึกฝนตนเพื่อไปถึงจุดนั้นให้ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 02:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.พ. 2008, 20:28
โพสต์: 5

ที่อยู่: nakhonratchasima

 ข้อมูลส่วนตัว


ทางขึ้นสู่ยอดเขา มีตั้ง 84000 เส้นทาง ทางใด ๆ ก็ล้วนแต่ไต่ไปสู่ยอดเขากันทั้งนั้น ผู้ที่มีกำลังมาก ก็ไต่ไปทางหน้าผา ผู้มีกำลังน้อยก็ค่อย ๆ เลาะไปเลียบไป ไม่ว่าจะไปทางใด ๆ ก็ถึงจุดหมายเหมือนกัน จะไปตำหนิผู้มีกำลังมากซึ่งไปทางปีนหน้าผานั้น ว่าไม่ถูกไม่ต้อง จะดีละหรือการ "ดูจิต" ก็เป็นเส้นทางหนึ่งที่จะนำเราเข้าไปสู่จุดหมายปลายทางที่ปรารถนา คือทาง "พ้นทุกข์" และได้มีการรับรองจากพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหลายด้วย และชอบด้วยพระธรรมคำสั่งสอนในพระไตรปิฎกด้วย การที่มีคนเห็นว่าไม่ถูกไม่ตรงนั้นก็เป็นความเห็นของท่านเหล่านั้น ขออย่าได้เอามาเป็นอารมณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2009, 00:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


grin "และชอบด้วยพระธรรมคำสั่งสอนในพระไตรปิฎกด้วย" Onion_no

ฟืน ชั้นดี น๊ะเนี่ย เหอๆๆๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2009, 01:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พระไตรปิฎกแบบแห้ง ๆ ..หรือ..แบบสด ๆ ..ละท่าน cool


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2009, 02:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไวๆ ทันใจ สดๆ เร็วกว่าาาาาาาา เอิ๊กๆๆ

ไว้ย่างกบ ฮาาาาาาาา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร