วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 15:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


แดนนิพพานเป็นการอธิบายถึงนิพพาน แบบอุปมา

ดังนั้นแดนนิพพานจริงๆนั้นไม่มี

ดังในหนังสือพุทธธรมหน้า๒๓๓

แบบอุปมา ถ้อยคำแบบอุปมามักใช้บรรยายภาวะและลักษณะของผู้บรรลุนิพพาน มากกว่าใช้บรรยายภาวะของนิพพานโดยตรง เช่น เปรียบพระอรหันต์เหมือนโคนำฝุงที่ว่ายตัดกระแสน้ำข้ามถึงฝั่งแล้ว(ม.มูฬ๑๒/๓๑๙/๔๒๐) เหมือนคนข้ามมหาสมุทร หรือห้าวน้ำใหญ่ที่มีอันตรายมากถึงฟากขึ้นยืนบนฝั่งแล้ว(สํ.สฬ.๑๘/๒๘๕/๑๙๖;๓๑๔/๒๑๘) จะว่าไปเกิดที่ไหน หรือจะว่าไม่เกิดเป็นต้นก็ไม่ถูกทั้งสิ้น เหมือนไฟดับเมื่อสิ้นเชื้อ((ม.ม.๑๓/๒๕๐/๒๔๖;สํสฬ.๑๘/๘๐๐/๔๘๕) อย่างไรก็ตาม คำเปรียบเทียบภาวะนิพพานโดยตรงก็มีอยู่บ้าง เช่นว่า นิพพานเป็นเหมือนภูมิภาคอันราบเรียบน่ารื่นรมย์(สํ.ข.๑๗/๑๙๗/๑๓๒) เหมือนฝ่งโน้นไม่มีภัย(สํ.สฬ.๑๘/๓๑๖/๒๑๙) และเหมือนข่าวสาสน์ที่เป็นจริง(สํ.สฬ.๑๘/๓๔๒/๒๔๒) เป็นต้น ที่ใช้เป็นคำเรียกเชิงเปรียบเทียบอยู่ในตัวก็หลายคำ เช่น "อโรคยะ" (ความไม่มีโรค, สุขภาพสมบูรรณ์) "ทีปะ" (เกาะ, ที่พ้นภัย) "เลนะ" (ถ้ำ, ที่กำบังภัย) เป็นต้น ในสมัยคัมภีร์รุ่นต่อๆมาที่เป็นสาวกภาษิตถึงกับเรียกเปรียบเทียบนิพพานเป็นเมืองไปก็มี ดังคำว่า "อุดมบุรี" (ขุ.อป.๒๒/๑๕๗/๒๘๒(ปุรมุตฺตมํ)) และนิพพานนคร (มิลินฺท.๓๙๔) ซึ่งได้กลายมาเป็นคำเทศนาโวหารและวรรณคดีโวหารในภาษาไทยว่า อมตมหานครนฤพาน บ้าง เมืองแก้วกล่าวแล้วคือพระนิพพานบ้าง แต่คำหลังนี้ไมจักเข้าในบรรดาถ้อยคำที่ยอมรับว่าใช้แสดงภาวะของนิพพานได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 11:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 01:40
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพานเป็นอนัตตา :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 13:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 13:42
โพสต์: 38

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ในหลักธรรมแห่งพระพุทธพจน์ อาจถูกบิดเบือน เราจึงอยากจะนำพระพุทธพจน์
มากล่าว มาแสดงไว้ในที่นี้ ผู้ใคร่ธรรมทั้งหลาย พึงศึกษาเถิด

คำกล่าวเกี่ยวกับนิพพาน อันเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน
[๒๒๖] ปัญญาในความสิ้นไปแห่งความเป็นไปแห่งกิเลส และขันธ์
ของบุคคลผู้รู้สึกตัว เป็นปรินิพพานญาณอย่างไร ฯ
สัมปชานบุคคลในศาสนานี้ ย่อมยังความเป็นไปแห่งกามฉันทะให้สิ้นไป
ด้วยความไม่พยาบาท ฯลฯ แห่งถีนมิทธะให้สิ้นไป ด้วยอาโลกสัญญา ฯลฯ
แห่งอุทธัจจะให้สิ้นไป ด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ฯลฯ แห่งวิจิกิจฉาให้สิ้นไป ด้วยการ
กำหนดธรรม ฯลฯ แห่งอวิชชาให้สิ้นไป ด้วยญาณ แห่งความไม่ยินดี ด้วยความ
ปราโมทย์ ยังความเป็นไปแห่งนิวรณ์ให้สิ้นไป ด้วยปฐมฌาน ฯลฯ ยังความ
เป็นไปแห่งกิเลสทั้งปวงให้สิ้นไป ด้วยอรหัตมรรค ฯ
อีกประการหนึ่ง ความเป็นไปแห่งจักษุนี้แล ของสัมปชานบุคคลผู้นิพพาน
ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ย่อมสิ้นไป และความเป็นไปแห่งจักษุอื่นย่อม
ไม่เกิดขึ้น
ความเป็นไปแห่งหู ฯลฯ ความเป็นไปแห่งจมูก ความเป็นไปแห่งลิ้น
ความเป็นไปแห่งกาย ความเป็นไปแห่งใจนี้แล ของสัมปชานบุคคลผู้นิพพานด้วย
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ย่อมสิ้นไป และความเป็นไปแห่งใจอื่นย่อมไม่เกิดขึ้น
ปัญญาในความสิ้นไปแห่งความเป็นไปแห่งกิเลสและขันธ์ ของสัมปชานบุคคล
นี้เป็นปรินิพพานญาณ ฯ
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในความสิ้นไปแห่งความเป็นไปแห่งกิเลส
และขันธ์ของบุคคลผู้รู้สึกตัว เป็นปรินิพพานญาณ ฯ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค

ที่ชื่อว่า อุปาทิเสสนิพพาน คือ ละกิเลสได้แล้ว แต่ยังไม่ตาย
ที่ชื่อว่า อนุปาทิเสสนิพพาน คือ ละกิเลสได้แล้ว และตายแล้ว
ปรินิพพาน คือความดับรอบแห่งกองขันธ์ทั้งมวล และจะไม่มีขันธ์ใดเหลืออยู่ และจะไม่มีขันธ์ใดเกิดขึ้นอีก

หวังว่าพุทธพจน์บทนี้ จะทำให้แจ้งชัดเรื่องนิพพานกันได้

.....................................................
ทุกคนมี อายตนะ ทั้ง 6 ครบเช่นกัน แต่การจะใช้ไปในทิศทางใดนั้น เราเป็นผู้ตัดสินใจ
หากหลงไปกับกระแสแห่งตัณหา เราจักไม่มีหนทางหนีออกจากกระแสแห่งตัณหานั้นได้
จงออกมาจากแม่น้ำคือตัณหานั้น แล้วมายืนดูที่ฝั่ง แล้วเราจะพบว่า สิ่งต่างๆเหล่านั้น
หาใช่สุขที่แท้จริงไม่ ความยึดถือ ความปรุ่งแต่งแห่งจิต ทุกสิ่งล้วนเกิดจาก จิต
จิต ที่เราไม่สามารถที่จะควบคุมได้ จิต ที่คอยจมดิ่งไปสู่อารมณ์ที่ตนชอบใจ
การชนะใดๆ ก็หาใช่การชนะที่แท้จริงไม่ การชนะใจตัวเองนั่นแล คือการชนะที่ประเสริฐที่สุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 21:25
โพสต์: 191


 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆค่ะ

ขอบคุณนะค่ะ


:b16: :b16: :b16:

.....................................................
ศัตรูของคนเราที่แท้จริงแล้ว คือ โลภ โกรธ หลง
ต้องแก้ด้วยมี ศีล สมาธิ ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2009, 00:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 17:37
โพสต์: 123


 ข้อมูลส่วนตัว


1. สรรพสิ่งในโลกและในจักรวาล ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญ ไม่ใช่หรือครับ เพราะทุกอย่างมันเป็นอนัตตา แต่ทำไมชาวโลกจึงเห็นว่าทุกสรรพสิ่งมีตัวตน ไม่ว่าง และไม่สูญล่ะ

2. คิริมานนทสูตร ( อุบายรักษาโรค ) : เมืองพระนิพพาน

ตทนนฺตรํ ในลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ นิพฺพานํ นครํ นาม อันชื่อว่าเมืองพระนิพพานย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก โลกมีที่สุดเพียงใด พระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดเพียงนั้น พระนิพพานเป็นพระมหานครอันใหญ่ เป็นที่บรมสุขหาที่เปรียบมิได้ ......อยากอ่านต่อ เปิดgoogle แล้วไปหาอ่านเอาเอง

3. http://board.palungjit.com/attachment.p ... 1202950385

วันหนึ่ง หลวงพ่อ(ดู่) ได้เล่าถึงการปฏิบัติ โดยท่านเป็นผู้บอกว่า

“ เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน

แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ ทำจิตให้ดี เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2009, 00:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 17:37
โพสต์: 123


 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงแล้ว แดนนิพพานเป็นภาวะวิมุตติ เต็มไปด้วยความสุขบริสุทธิ์ หยั่งรู้ได้ยากจากอายตนะ ขันธ์ 5 แต่ถ้าผู้อยู่ในวิมุตติ เช่น พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ จะแสดงวิมุตติให้คนทั่วไปรู้คงไม่ได้ พวกท่านจึงต้องทำให้เกิดสิ่งที่เป็นสมมุติขึ้นมาให้เห็น เป็นพระแก้ว วิมานแก้ว เมืองแก้ว ไม่อย่างงั้นจะแสดงนิพพานที่เป็นวิมุตติให้คนที่เป็นสมมุติรับรู้ได้ คงยากมากๆๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2009, 00:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้ล่อเป้าจริงๆ :b6:

เหตุมี ผลย่อมมี

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2009, 23:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 17:37
โพสต์: 123


 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพานโลกุตตระภูมิ เป็นนิพพานจริงแท้ เป็นอสังขตธาตุ ไม่พึงกล่าวว่าเป็นอัตตา ทั้งไม่พึงกล่าวว่าเป็นอนัตตา ไม่มีดินแดน ชี้ให้เห็นไม่ได้ แต่การแสดงสภาวธรรมของนิพพานนั้นด้วยดินแดนก็ดี หรือกายของพระอรหันต์ก็ดี จึงต้องใช้ธรรมกายเป็นการสื่อสารกับจิตที่ยังข้องอยู่ในสมมุติบัญญัติ

เราเห็นโลกุตตระจิต หรือวิมุตติจิตไม่ได้หรอก นอกจากพบพระอรหันต์ที่ยังทรงขันธ์อยู่น่ะได้ หากท่านดับขันธ์เสียแล้วก็เห็นได้แต่ธรรมกาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2009, 23:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


โอ๊ย!!!!! อ่านแล้วปวดฟัน :b22:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่าน mes ครับ...ขออภัยไว้ก่อนเลยนะครับ :b8:

เรื่องของพระนิพพานนั้นเขาไม่นำมาเป็นเรื่องวิเคราะห์วิจารณ์กันนะครับ... :b6:
มันไม่คุ้มกันหรอกครับ ขาดๆ เกินๆ... :b6:

อีกอย่างนึงคือ คนที่ยังไม่กระทบกระแส อธิบายยังไงก็ไม่รู้หรอกครับ ที่รับรู้ไปนั่นน่ะมันไม่ใช่ทั้งหมดนั่นแหละ มันก็แค่สัญญาขันธ์ เหมือนแผนที่ เหมือนโบร์ชัวร์แพ็คเกจทัวร์ แต่ยังไม่ตัดสินใจจะเดินทาง มีแต่เอามาดูว่า พระนิพพานนั้นเขาว่าเป็นยังไงนะ :b10: :b10: แล้วก็มานั่งคิดจินตนาการเอาว่า ถ้าเราได้ไปคงมีความสุข สงบ ดีนะ..ก็แค่นั้นเองครับ :b32:

ถ้าคนที่ได้กระทบกระแสแล้ว ไม่ต้องอธิบายอะไรเลยครับ เขารู้แล้ว

พวกที่ซื้อตั๋วแล้วก็มีเยอะ...กำลังเก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินทาง(ปฏิบัติบูชา)

พวกที่ขึ้นรถแล้วก็มีเยอะ...กำลังเริ่มออกเดินทางไป(ได้ญาณแล้ว เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสที่ใต้ร่มโพธิ์ เมื่อคืนวันวิสาข "เมื่อเรายังไม่ได้พบญาณ เราได้ท่องเที่ยวไปในวัฏฏสงสารเป็นเอนกชาติ")
พวกที่อยู่ระหว่างทางก็มีอีกเยอะ....ตรงระหว่างทางนี่ก็แตกต่างกันไปนะครับ ขึ้นอยู่กับว่าซื้อทัวร์บริษัทไหน :b32: เพราะแต่ละคนก็จะได้ท่องเที่ยวไม่เหมือนกันหรอกครับ บางคนแวะเที่ยวน้ำตก บางคนแวะเที่ยวทะเล บางคนเที่ยวห้าง ฯลฯ แล้วแต่ว่าจะแวะตรงไหนระหว่างทาง
แต่สำหรับบางคนที่ไม่ชอบเที่ยวก็ไปแบบรถประจำทางเลยก็มีเยอะครับ :b13: :b13: ซื้อตั๋วแล้วก็เดินทางเลย ไม่ต้องแวะเที่ยวไหน ต้นทาง สู่ปลายทาง จบเลย :b32: ระหว่างทางมีอะไรบ้างก็รู้ แต่ไม่ได้สัมผัส แต่ก็ยังอยู่ระหว่างเดินทาง

พวกที่ใกล้ถึงแล้วก็มี...เห็นปลายทางแล้ว ไม่สนใจข้างทางแล้ว พระนิพพานอยู่ตรงหน้าแล้ว กำลังทำหนังสือผ่านแดนอยู่ ตรวจสัมภาระอยู่ ว่ามีสิ่งของต้องห้าม(อารมณ์)รึป่าว

ส่วนพวกที่ผ่านเข้าไปแล้วก็ไม่กลับมาแล้ว... :b2: :b32: :b32: :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณnatdanai

คนทีโพสต์ว่าพระพุทธเจ้าเป็นโรคจิตไม่ผิด

ผมโพสตกระทู้แดนนิพพานกลายเป็นผมผิด

ลบชื่อผมออกจากเวปปธรรมจักรไปเลย

จะได้สะใจ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเรียกร้องความเป็นธรรมครับ

กระทู้ทีผมโพสต์ผิดกฏตรงไหน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 18:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณnatdanai


จะเอาแต่กระทู้กินเนื้อหมาใช่ไหม

ไม่ได้ท้าทาย

ผมผิดbanผมไปเลย



ขอขอบคุณทุกท่านครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนจะถูกไล่

ขอถาม

เวปธรรมจักร

ตั้งขื้นเพื่อสัจจธรรม

หรือ

เพื่อเอาใจใคร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 18:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อความเต็มถูกลบไปแล้ว

เหลืองแต่

อ้างคำพูด:
อ้างอิงคำพูด:
2. ทุกชาติ ทุกศาสนา ทุกเผ่าพันธ์ ที่เคยเจอ วิญญาณ(ธาตุ) ในรูปของผี เทวดา และเปรต ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่จิตหลอน เป็นโรคจิตทั้งนั้น

3. พระพุทธเจ้า พระอานนท์ พระสารีบุตร ฯลฯ รวมทั้งพระเยซู ต่างก็เจอ วิญญาณ(ธาตุ) ในรูปของผี เทวดา เปรต พรหม ฯลฯ พวกท่านต่างก็ต้องจิตหลอน เป็นโรคจิตทั้งสิ้น


ขอความเห็นหน่อย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร