วันเวลาปัจจุบัน 16 มิ.ย. 2025, 20:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 08:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5356


 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงเป็นอย่างนี้ คือที่ว่าคนเกิด สัตว์เกิด มีชีวิตเกิดขึ้นมา

เพราะมีจิต เป็นธาตุรู้หรือเป็นนามธรรม ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฎ

ถ้าไม่มีจิต สิ้นสุดจิตขณะสุดท้ายดับ คนที่เคยเห็น คนที่เคยพูด

เคยสนุก เคยคิดนึกต่าง ๆ มีความรู้ความสามารถต่าง ๆ

แต่พอไม่มีจิตนะค่ะ สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นไม่มีอีกต่อไป หายไปไหนหมด

มีแต่เพียงรูปซึ่ง ระหว่างที่ยังไม่สิ้นชีวิต รูปนี้สามารถที่จะเคลื่อนที่

สามารถที่จะพูด สามารถที่จะทำทุกอย่าง

เพราะว่ามีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้

เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ก็ฟังเพื่อที่จะเข้าใจ ความเป็นจริงว่า

เมื่อเกิดไม่รู้อะไร มีสิ่งที่ปรากฎ แต่ยังไม่รู้อะไร

เพราะฉะนั้นลักษณะจริง ๆ ของสิ่งที่ปรากฎ ต้องไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

แต่เป็นสิ่งที่สามารถจะปรากฎให้เห็นเท่านั้น

นี่คืออดทน

ถ้าไม่จริง ก็ไม่ต้องอดทนที่จะฟังต่อไป แต่ถ้าเป็นความจริง

ซึ่งปัญญาสามารถจะรู้ได้ จนกระทั่งถึงการเกิดขึ้นและดับไป ก็จะทำให้รู้ขึ้น ๆ ได้

แล้วจะเห็นความไม่มีสาระ

เพราะว่าไปจำสิ่งที่ไม่มี ว่ามี แล้วสิ่งที่กำลังปรากฎก็ไม่รู้ความจริง

แล้วก็ยัง... เหมือนเดิม !!

ตั้งแต่เริ่มเกิด ว่าสิ่งนี้เที่ยง คงที่ จนกว่าจะค่อย ๆ เข้าใจขึ้น

จึงจะเริ่มรู้ความต่างกันของขณะที่ เริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี

จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ในความเป็น

" อนัตตา "



บุคคลที่เกิดมาเป็นมนุษย์ (เกิดเป็นคนแล้ว) ไม่ว่าจะเกิดในตระกูลใด มีฐานะความ

เป็นอยู่อย่างไรก็ตาม แต่ละบุคคลสามารถที่จะเป็นได้ทั้งหมด ทั้งคนดี คนชั่ว

(หรือมีปัญญาถึงขั้นที่จะประจักษ์แจ้งความจริง ถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้) ขึ้นอยู่

กับว่าจะน้อมไปในทางใด คนเราเลือกเกิดไม่ได้ ไม่มีใครเลือกได้ เพราะเป็นไป

ตามกรรม เป็นผลของกรรม แต่สามารถที่จะเลือกกระทำในสิ่งที่ดี ถอยกลับจากอกุศล

เลือกที่จะเป็นคนดีได้ (ถอยกลับจากอกุศล ยิ่งเร็วเท่าใด ก็ยิ่งดีเท่านั้น) ดังนั้น เมื่อได้

ความเป็นมนุษย์แล้ว เกิดเป็นคนแล้ว การมีโอกาสแสวงหาประโยชน์จากการเป็น

มนุษย์ที่ได้มาด้วยความยากอย่างยิ่งนี้ ด้วยการสะสมกุศล สะสมปัญญา ความเข้าใจถูก

เห็นถูกไปตามลำดับ ย่อมเป็นชีวิตที่มีค่า (เป็นบุคคลที่มีค่า) และ ที่สำคัญ สิ่งเหล่านี้

เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง เป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์ สิ้นวัฏฏะได้ในที่สุด

ไม่ใช่เพียงแต่ได้ยิน แล้วก็จำว่าเป็นธรรม ต้องฟังให้ละเอียดจริง ๆ ว่า

ขณะนี้ เดี๋ยวนี้เป็นธรรมทั้งหมด

เริ่มแล้ว ไม่มีเราที่นี่เลย ไม่มีใครสักคน

แต่มีธรรม แต่ละอย่างที่ปรากฏ แต่ละทาง แล้วก็มีจริง ๆ ด้วย

แล้วก็เริ่มเข้าใจว่า เวลาที่เราไม่ได้ฟัง เพราะไม่รู้ จึงยึดถือสภาพธรรม

ที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย แม้แต่ความโกรธ ถ้าไม่มีปัจจัยก็ไม่เกิด

เกิดโกรธ ขณะนั้น...ลืม

เป็นสิ่งที่เกิดเพราะมีปัจจัย แล้วใครก็บังคับบัญชาไม่ได้

เพราะฉะนั้น ในขณะนั้น เป็นการลืม เรื่องธรรม

แต่การฟังธรรมเป็นการที่เราค่อย ๆจะ ไม่ลืมว่าขณะนี้เป็นธรรม

เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เราได้ฟังธรรม ก็คือขณะนี้ เริ่มตั้งแต่ไม่มีใครเลย

แต่มีธรรม จนกว่าจรดกระดูก มีความเข้าใจจริง ๆ ว่า เป็นธรรมทุกอย่าง

ที่กำลังปรากฎ ฟังแค่นี้ค่อย ๆ เข้าใจว่าเป็นธรรม จริงหรือเปล่า

ไม่ใช่ว่าจะบังคับให้ใครเชื่อ แต่สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ถ้ามีความเข้าใจเป็นพื้นฐาน

ตั้งแต่ต้น ก็จะทำให้เริ่มเข้าใจละเอียดขึ้น ๆ จนกระทั่งมีความเข้าใจจริง ๆ

ว่าเป็นธรรม จนกระทั่งไม่ลืม เพราะว่าเวลาเราฟัง เรากำลังฟังแล้วเข้าใจ

เมื่อเข้าใจว่าเป็นธรรมละเอียดขึ้น ถึงแม้จะไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง ก็ยังระลึกได้

ในสภาพของธรรมที่กำลังปรากฏ นี่คือการฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจธรรม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร