วันเวลาปัจจุบัน 07 พ.ค. 2025, 17:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2009, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 13:23
โพสต์: 607


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ไม่รู้ว่าคุณนับถือศาสนาเดียวกันรึปล่าวถ้าใช่ก็คงเหมือนกันมั้ง เด็กทารกยังรู้เลย มันไม่ได้ยากอะไร


คุณว่าไม่ยาก แต่คนอื่นๆ อาจยาก คุณก็ช่วยสงเคราะห์ด้วยดิว่า กรรมในความเข้าใจคุณ Dr.John ต้องยังไง

เรื่องละเอียดอ่อนทำไมคุณเขียนซะยืดยาว แค่เรื่องกรรมแค่นี้คุณไม่เข้าใจ คุณอย่าหวังเรื่องอื่นเลย
ผมไม่เชื่อหรอก ผมชักสงสัยแล้วว่าคุณรู้จริงรึปล่าว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2009, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่รู้ดิถึงได้ถามคุณ Dr.John ไง กรรมในความเข้าใจของคุณต้องยังไง เรียกว่ากรรม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2009, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 13:23
โพสต์: 607


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ไม่รู้ดิถึงได้ถามคุณ Dr.John ไง กรรมในความเข้าใจของคุณต้องยังไง เรียกว่ากรรม

ไม่รู้ดิ ไหนคุณลอกบอดิ๊ เหมือนคุณอยากทดสอบผมนะเนี่ย :b32: ตอบมาดิคนเก่งอย่างคุณหน่ะ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2009, 12:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แค่อ่านถึงตรง ทางให้หมดสิ้นกรรมก็ไม่อยากอ่านต่อแล้ว คุณเอามาจากพระไตรปิฎกจริงเหรอ
ผมถามแค่เนี้ย คุณตอบผมได้ไหมหล่ะ



กลับไปที่จุดเริ่มต้น จะเห็นว่า Dr.John มีคำอธิบายเกี่ยวกับความหมายกรรมชัวร์ตามแนวของคุณ ดังนั้นจึงถามว่า กรรมในความหมายของคุณต้องยังไง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2009, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 13:23
โพสต์: 607


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
แค่อ่านถึงตรง ทางให้หมดสิ้นกรรมก็ไม่อยากอ่านต่อแล้ว คุณเอามาจากพระไตรปิฎกจริงเหรอ
ผมถามแค่เนี้ย คุณตอบผมได้ไหมหล่ะ



กลับไปที่จุดเริ่มต้น จะเห็นว่า Dr.John มีคำอธิบายเกี่ยวกับความหมายกรรมชัวร์ตามแนวของคุณ ดังนั้นจึงถามว่า กรรมในความหมายของคุณต้องยังไง

หลักคำสอน ก็คือหลัก หลักแปลว่าจุดหลัก เราต้องประยุคใช้ ผมเอามาจากหลักคำสอน ถ้าคุณพูดอย่างนี้แสดงว่าคุณกู่ไม่กลับแล้วหล่ะ โชคดีนะ ทางใครทางมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2009, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หลักคำสอน ก็คือหลัก หลักแปลว่าจุดหลัก เราต้องประยุคใช้ ผมเอามาจากหลักคำสอน ถ้าคุณพูดอย่างนี้แสดงว่าคุณกู่ไม่กลับแล้วหล่ะ โชคดีนะ ทางใครทางมัน


นั่นคือการอธิบายเรื่องกรรมของท่าน Dr.John หรือขอรับ :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2009, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 13:23
โพสต์: 607


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
หลักคำสอน ก็คือหลัก หลักแปลว่าจุดหลัก เราต้องประยุคใช้ ผมเอามาจากหลักคำสอน ถ้าคุณพูดอย่างนี้แสดงว่าคุณกู่ไม่กลับแล้วหล่ะ โชคดีนะ ทางใครทางมัน


นั่นคือการอธิบายเรื่องกรรมของท่าน Dr.John หรือขอรับ :b12:

สัตว์เตสัตว์ตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2009, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 22:30
โพสต์: 222

ที่อยู่: เวียนว่ายในวัฏสงสาร (-_-!)

 ข้อมูลส่วนตัว


:b5: :b14: :b6: สรุปผมจะทราบหรือไม่ขอรับท่าน..ว่า กรรม มันหมายความว่าอย่างไร :b7:
ผมรู้แค่กรรมคือ การกระทำ เท่านั้น อะครับ......แต่กระผมว่า คำนี้..น่าจะมีความหมายที่ลึกซึ้งมากกว่านี้ ขอรับ :b8:

.....................................................
ขอประสบความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2009, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อวบอั๋นขั้นสุดท้าย เขียน:
:b5: :b14: :b6: สรุปผมจะทราบหรือไม่ขอรับท่าน..ว่า กรรม มันหมายความว่าอย่างไร :b7:
ผมรู้แค่กรรมคือ การกระทำ เท่านั้น อะครับ......แต่กระผมว่า คำนี้..น่าจะมีความหมายที่ลึกซึ้งมากกว่านี้ ขอรับ :b8:


ถ้าเอาจริง ลึกๆแล้ว

ก่อนกายกรรม มันต้องมีมโนกรรมมาก่อน

เพราะฉะนั้น ผู้ทำกรรมที่แท้คือจิต
กายเป้นแค่บ่าว ทำไปตามใจสั่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2009, 21:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศึกษาธรรมะ (มรรค) หลายๆมุม



มรรคในฐานะมัชฌิมาปฏิปทา



“ภิกษุทั้งหลาย ที่สุดสองอย่างนี้ บรรพชิตไม่พึงเสพ กล่าวคือ การหมกมุ่นด้วยกามสุขในกาม
ทั้งหลาย อันเป็นการชั้นต่ำ ชั้นตลาด ของบุถุชน มิใช่อริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ อย่างหนึ่ง และการ
ประกอบความลำบากเดือดร้อนแก่ตน อันเป็นทุกข์ ไม่เป็นอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ อย่างหนึ่ง”

“ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ซึ่งทางสายกลางที่ไม่ข้องแวะที่สุดสองอย่างนั้น อันเป็นทางที่สร้างจักษุ
สร้างญาณ เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน”

“ก็ทางสายกลางนั้น...เป็นไฉน ? ทางนั้น คือ มรรคอันเป็นอริยะ มีองค์ประกอบ ๘ ประการ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ
สัมมาสมาธิ”
(วินย.4/13/18 สํ.ม.19/1664/528)


พุทธพจน์จากปฐมเทศนาหรือธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนี้ แสดงความหมาย เนื้อหา และจุดหมายของมัชฌิมาปฏิปทาไว้โดยสรุปครบทั้งหมด
ที่ควรสังเกต คือ ความเป็นทางสายกลาง (The Middle Path หรือ Middle Way) นั้น เป็นเพราะไม่เข้าไปข้องแวะที่สุดสองอย่าง - (แต่ไม่ใช่อยู่กลางระหว่างที่สุดทั้งสอง) คือ

๑. กามสุขัลลิกานุโยค การหมกมุ่นอยู่ด้วยกามสุข (The extreme of sensual indulgence หรือ extreme hedonism)

๒. อัตตกิลมถานุโยค การประกอบความลำบากเดือดร้อนแก่ตนเอง (The extreme of self- mortification หรือ extreme asceticism )


บางครั้ง มีผู้นำเอาคำว่า ทางสายกลางไปใช้อย่างกว้างขวาง หมายถึง การกระทำหรือความคิดที่อยู่กึ่งกลางระหว่างการกระทำหรือความคิดสองแบบสองแนว หรือ คนสองพวกสองฝ่าย คือ วัดเอาให้ได้ครึ่งทางระหว่างสองแบบหรือสองฝ่ายนั้น ความเป็นกลางหรือทางสายกลางอย่างนี้ ไม่มีหลักอะไรที่แน่นอน ต้องรอให้เขามีสองพวกสองฝายก่อน จึงเป็นกลางได้ และจุดกลางหรือเส้นกลางก็ไม่แน่ลงไปว่าแค่ไหน สุดแต่สองพวกหรือสองฝ่ายเขาจะยึดถือปฏิบัติกันแค่ใด ทางสายกลางนั้นก็ขยับเขยื้อนเลื่อนไปให้ได้ครึ่ง
ทางระกว่างสองพวกสองฝ่ายนั้น

บางครั้งทางสายกลางแบบนี้ ก็มองดูคล้ายกับทางสายกลางที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา แต่ก็พึงทราบว่าเป็นทางสายกลางเทียม ไม่ใช่ของแท้จริง
ทางสายกลางที่แท้จริงมีหลักที่แน่นอน ความแน่นอนของทางสายกลางนั้น อยู่ที่ความมีจุดหมายหรือเป้าหมายที่แน่ชัด เมื่อมีเป้าหมายหรือจุดหมายที่แน่นอนแล้ว ทางที่นำไปสู่จุดหมายนั้น หรือ การกระทำที่
ตรงจุด พอเหมาะพอดีที่จะให้ผลตามเป้าหมายนั้นแหละคือทางสายกลาง
เปรียบเหมือนการยิงลูกศรหรือยิงปืนอย่างมีเป้าหมาย จำเป็นต้องมีจุดที่เป็นเป้า การยิงถูก คือการกระทำที่พอเหมาะพอดีให้ลูกปืน หรือ ลูกศรพุ่งไปสู่จุดที่เป็นเป้า
ความเป็นทางสายกลางอยู่ที่การยิงตรงพอดีสู่จุดที่เป็นเป้านั้น การยิงที่เฉ คลาดพลาดไปข้างๆ ย่อมไม่ถูกต้อง
ทั้งหมด เมื่อเทียบกับการยิงที่ผิดเฉคลาดพลาดออกไปข้างๆทั้งหมดแล้ว จะเห็นว่าจุดหมายที่ถูกต้องมีจุดเดียวและเป็นจุดกลาง เป็นจุดที่แน่นอน
ส่วนจุดที่ผิดพลาดมีมากมายและไม่แน่นอน ล้วนเขวออกไปเสียข้างๆ และเส้นทางที่เข้าสู่จุดหมายนั้น
ก็เป็นเส้นทางกลางเช่นเดียวกัน
ทางที่ถูกต้อง มีจุดหมายมีหลักที่แน่นอนของมันเอง มิใช่คอยรอกำหนดวัดเอาจากการที่ผิดพลาด
ทางสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทานี้ มีจุดหมายที่แน่นอน คือความดับทุกข์ หรือ ภาวะหลุดพ้นเป็นอิสระ
ไร้ปัญหา
มรรค คือ ระบบความคิดและการกระทำหรือการดำเนินชีวิตที่ตรงจุดหมายพอเหมาะพอดีให้ได้ผลสำเร็จ
ตามเป้าหมายคือความดับทุกข์ นี้ เป็นทางสายกลาง หรือ มัชฌิมาปฏิปทา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2009, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)

หนึ่ง โดยเหตุที่ทางสายกลางเป็นทางที่มีจุดหมายแน่ชัด หรือ ความเป็นทางสายกลางขึ้นอยู่กับความมีเป้าหมายที่แน่ชัด ผู้ปฏิบัติจึงต้องรู้จุดหมายจึงจะเดินทางได้ คือ เมื่อจะเดินทางก็ต้องรู้ว่าตนจะไปไหน
ด้วยเหตุนี้ ทางสายกลางจึงเป็นทางแห่งปัญญา และจึงเริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิ คือเริ่มด้วยความเข้าใจปัญหา
ของตนและรู้จุดหมายที่จะเดินทางไป
โดยนัยนี้ ทางสายกลางจึงเป็นทางแห่งความรู้ และความมีเหตุผล เป็นทางแห่งการรู้เข้าใจ ยอมรับ
และกล้าเผชิญหน้ากับความจริง เมื่อมนุษย์มีความรู้ความเข้าใจและกล้าเผชิญหน้ากับความจริงของโลกและชีวิตแล้ว มนุษย์จึงจะสามารถจัดการกับชีวิตด้วยมือของตนเอง หรือ สามารถดำเนินชีวิตให้ถูกต้องดีงาม
กันได้เอง โดยไม่ต้องคอยหวังพึ่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์ฤทธานุภาพดลบันดาลจากภายนอก และเมื่อมนุษย์
มีความมั่นใจด้วยอาศัยปัญญาเช่นนี้แล้ว มนุษย์ก็จะไม่ต้องไปหมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับสิ่งที่ห่วงกังวลว่าจะมีอยู่นอกเหนือวิสัยของมนุษย์
ท่าทีแห่งความมั่นใจเช่นนี้แหละคือลักษณะอย่างหนึ่งของความเป็นทางสายกลาง ผู้เดินทางสายกลาง
เมื่อเข้าใจปัญหาและกำหนดรู้แนวแห่งจุดหมายแล้ว ก็จะมีความรู้ความเข้าใจตามมาอีกด้วยว่า ทางสายกลาง
สู่จุดหมายนั้น คือทางดำเนินชีวิตที่ไม่ตีราคาค่าตัวต่ำถึงกับยอมสยบจมลงในกระแสโลก ปล่อยชีวิตให้เป็นทาสแห่งอามิสที่เป็นเหยื่อล่อของโลก เป็นอยู่ด้วยความหวังที่จะได้เสพรสอรย่อยของโลกถ่ายเดียว โดยยอมให้สุขทุกข์ ความดีงาม และคุณค่าแห่งชีวิตของตนขึ้นต่อวัตถุ และความผันผวนปรวนแปรของเหตุปัจจัยต่างๆ ในภายนอกอย่างสิ้นเชิง ไม่ให้ชีวิตมีอิสรภาพ เป็นตัวของตัวเอง มีคุณค่าในตัวของมันเอง โดยไม่ต้องขึ้น
ต่อโลกร่ำไปเสียบ้างเลย

ทางดำเนินชีวิตที่เป็นสายกลางนั้น นอกจากไม่เอียงสุดทางวัตถุ จนเป็นทาสของวัตถุหรือขึ้นต่อวัตถุสิ้นเชิงแล้ว ก็ไม่เอียงสุดทางจิตด้วย คือ มิได้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นต่อการบำเพ็ญเพียรและผลสำเร็จทางจิต
ฝ่ายเดียว จนปล่อยปละละเลยไม่เอาใจใส่สภาพทางวัตถุและร่างกาย กลายเป็นการประกอบความลำบาก
เดือดร้อนแก่ตนเอง
ทางดำเนินชีวิตนี้มีลักษณะไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น เป็นไปด้วยการรู้เข้าใจสภาพที่เป็นอยู่ตามที่
เป็นจริง ทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ แล้วปฏิบัติด้วยความรู้เท่าทัน พอสมแก่เหตุปัจจัย และสอดคล้อง
พอเหมาะพอดี ที่จะให้ได้ผลตามจุดหมาย มิใช่ทำพอสักว่าได้เสพเสวยเวทนาอันอร่อยของอามิส หรือ สักว่า
ถือตามๆกันมา โดยสำคัญมั่นหมาย ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้โดยงมงาย *

ทางสายกลางมีลักษณะบางอย่างที่พึงทราบ ดังที่กล่าวมานี้ หากผู้จะกล่าวอ้างถึงทางสายกลาง หรือเดินทางสายกลาง อย่างหนึ่งอย่างใด ก็พึงถามท่านผู้นั้นว่า เขาได้เข้าใจสภาพปัญหาที่มีอยู่และจุดหมาย
ของทางสายกลางที่จะเดินนั้นแล้วหรือไม่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2009, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ขยายความ คห.ข้างบนที่มีเครื่องหมาย *)


* พุทธพจน์ใน องฺ.ติก. 20/596-7/380-1 และ ขุ.อุ. 25/144/194 อาจช่วยขยายความหมายที่สุดสองอย่างนี้ได้อีก
แห่งแรกทรงเรียกกามสุขัลลิกานุโยคว่า อาคาฬหปฏิปทา (ทางกร้านหรือทางหยาบกร้าน) ได้แก่คนพวก
ที่เห็นว่ากามไม่มีโทษ แล้วดื่มด่ำหมกตัวอยูในกาม
ทรงเรียกอัตตกิลมถานุโยคว่า นิชฌามปฏิปทา (ทางเกรียม หรือทางแห้งเกรียม) ได้แก่วัตรปฏิบัติต่างๆ
ของพวกอเจลกคือชีเปลือย (พึงถือว่าทรงยกเป็นตัวอย่าง)

ส่วนมัชฌิมาปฏิปทา ทรงไขความว่า ได้แก่ธรรมหมวดใดก็ได้ ในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
(= สติปัฏฐาน ๔ ปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค มีองค์ ๘)

แห่งที่สองมีความว่า “คนพวกที่ถือเอาการเล่าเรียนเป็นสาระ ถือเอาศีล วัตร การหาเลี้ยงชีพ การถือพรหมจรรย์ และการบำรุงบำเรอ (เทพเจ้า) เป็นสาระ นี้เป็นที่สุดข้างหนึ่ง อวิชชาตัณหาก็พอกพูน
ทิฏฐิ
คนทั้งหลายไม่รู้จักที่สุดสองอย่างเหล่านั้น พวกหนึ่งก็ติดล้าอยู่ พวกหนึ่งก็วิ่งเลยไป
ส่วนคนผู้รู้จักที่สุดสองอย่างนั้นแล้ว เขาไม่ติดอยู่ในที่สุดสองนั้น และไม่ถือดี เพราะการที่ไม่ติดอยู่นั้น
ด้วย สำหรับคนเหล่านั้น วัฏฏะที่จะบัญญัติเขา ย่อมไม่มี”

(อรรถกถา คือ อุทาน อ.446 อธิบายคำว่า การหาเลี้ยงชีพว่าหมายถึงการเลี้ยงชีวิตแบบนักบำเพ็ญตบะ
และว่า อัตตกิลมถานุโยค ก็คือ สีลัพพตปรามาสนั่นเอง)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2009, 22:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)


หลักมัชฌิมาปฏิปทา ใช้ได้กับกิจการและกิจกรรมทุกอย่างของมนุษย์ที่เป็นประเภทวิธีการ ตามปกติ ระบบ แบบแผน วิทยาการ สถาบัน หน้าที่การงานต่างๆ ตลอดจนการปฏิบัติกิจในชีวิตประจำวัน เช่น การศึกษาเล่าเรียนเป็นต้น ย่อมมีความมุ่งหมายเพื่อแก้ปัญหา กำจัดทุกข์ ช่วยให้มนุษย์บรรลุความดีงามที่สูงขึ้นไป อย่างใดอย่างหนึ่ง
การปฏิบัติที่ถูกต้องหรือการปฏิบัติชอบ ต่อระบบ แบบแผน เป็นต้นเหล่านั้น ก็คือ จะต้องกระทำด้วยความ
เข้าใจในจุดมุ่งหมายของมัน ซึ่งนับว่าเป็นการกระทำด้วยปัญญา หรือโดยมีสัมมาทิฏฐิ จึงจะนับว่าเป็นการดำเนิน
ตามแนวทางของมัชฌิมาปฏิปทา
แต่จะเห็นได้ว่า ในทางปฏิบัติ มีอยู่เสมอ ที่มนุษย์ปฏิบัติผิดพลาดคลาดเคลื่อน ไม่เป็นไปด้วยความรู้
ความเข้าใจตรงตามจุดมุ่งหมายของระบบวิธีและกิจการเหล่านั้น การปฏิบัติผิดพลาดนี้จะเป็นไปในทางเอียงสุด
สองอย่างอย่างใดอย่างหนึ่ง กล่าวคือ
พวกหนึ่งมุ่งใช้ระบบวิธีและกิจการเหล่านั้นเป็นเครื่องมือ หรือช่องทางสำหรับแสวงหาสิ่งบำรุงบำเรอปรนเปรอตน เช่น ใช้ระบบการเมือง ใช้สถาบัน เป็นช่องทางแสวงหาลาภ ยศ อำนาจ ทำหน้าที่การงาน ศึกษาเล่าเรียน โดยมุ่งเป็นหนทางให้ได้เงินทอง ตำแหน่งใหญ่โต เพื่อบำรุงบำเรอตนให้มีความสุขสำราญได้เต็มที่ ไม่ทำเพื่อ
บรรลุจุดหมายของงาน หรือ วิทยาการนั้นๆ นับว่าเป็นการขาดสัมมาทิฏฐิ มีมิจฉาทิฏฐิแทนที่
ส่วนคนอีกพวกหนึ่ง ตั้งใจปฏิบัติกิจ ทำงาน ศึกษาเล่าเรียน เป็นต้น อย่างแข็งขันจริงจัง ระดมทุน
ระดมแรง อุทิศเวลาให้ ทำอย่างทุ่มเท แต่ไม่รู้ไม่เข้าใจความมุ่งหมายของสิ่งที่กระทำนั้นว่า เป็นไปเพื่อ
แก้ปัญหาอะไร เป็นต้น ทำให้สิ้นเปลืองเวลาแรงงาน และทุน ทำตนเองให้ลำบาก เหน็ดเหนื่อยเปล่า
เป็นขาดสัมมาทิฏฐิอีกแบบหนึ่ง
พวกแรกตั้งความมุ่งหมายของเองขึ้นใหม่ เพื่อสนองตัณหาของตน ไม่เป็นไปตามความมุ่งหมายที่แท้จริง
ของกิจกรรมหรือกิจการนั้นๆ
ส่วนพวกหลัง สักว่าทำโดยไม่รู้ไม่เข้าใจความมุ่งหมาย ไปสู่ทางสุดโต่งคนละสาย ไม่ดำเนินตาม
มัชฌิมาปฏิปทา มีแต่จะทำให้เกิดปัญหาเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
แต่เมื่อใด ดำเนินตามมัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งเป็นทางแห่งปัญญา ทำการด้วยความรู้ความเข้าใจตรงตาม
ความมุ่งหมายของเรื่องนั้นๆ กิจนั้นๆ จึงจะแก้ปัญหากำจัดทุกข์ได้สำเร็จ

รวมความว่า ถ้าไม่เริ่มด้วยสัมมาทิฏฐิ ก็ไม่มีมัชฌิมาปฏิปทา ถ้าไม่ดำเนินตามมัชฌิมาปฏิปทา
ก็แก้ปัญหาดับทุกไม่สำเร็จ *

พุทธธรรมหน้า 582

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2009, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ขยายความ คห.ข้างบนที่มีเครื่องหมาย *)


* การเพียรพยายาม ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อยเกินไป หรือศึกษาเล่าเรียน ทำหน้าที่การงาน อย่างไม่เกียจ
คร้าน แต่ไม่หักโหมเกินไป บางคราวก็นิยมพูดกันว่า เป็นทางสายกลาง คำพูดนี้ ในบางกรณีอาจเข้าลักษณะทางสายกลางได้บางแง่ แต่ไม่ถูกทีเดียว แม้แต่ผู้ที่ดำเนินในทางที่ถูกต้อง เป็นทางสายกลางแล้ว
แต่เพียรแรงไป หรืออ่อนไป จึงไม่สำเร็จผลก็มี
ในกรณีเช่นนี้ คำพูดที่ถูกต้อง ท่านใช้คำว่า วิริยสมตา แปลว่า ความพอเหมาะ พอดี หรือสม่ำเสมอ
แห่งความเพียร
(ดู วินย.5/2/5 องฺ.ฉกฺก.22/326/419

บางคราว ถ้าชัดเจนว่าเดินถูกทาง มั่นใจและพร้อมทุกอย่างแล้ว ท่านให้ระดมความเพียรสุดกำลัง ถึงจะตายก็ต้องยอม เช่น พระพุทธเจ้าตั้งพระทัยเด็ดเดี่ยวในราตรีที่ตรัสรู้ เป็นต้น -(องฺ.ทุก.20/251/64)
ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ควรสับสนกับทางสายกลาง

......

แง่มุมที่ควรศึกษาเกี่ยวกับมรรคยังไม่หมด ยังมีอีกมาก เช่น


มรรคในฐานะข้อปฏิบัติ หรือ ทางชีวิตทั้งของบรรพชิตและคฤหัสถ์
มรรคในฐานะพรหมจรรย์ หรือ พุทธจริยธรรม
มรรคในฐานะไตรสิกขา หรือ ระบบการศึกษาสำหรับสร้างอารยชน
มรรคในฐานะอุปกรณ์สำหรับใช้ มิใช่สำหรับยึดถือหรือแบกไว้


เอาไว้โอกาสหน้าค่อยว่ากันใหม่ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร