เมื่อผู้ปฏิบัติรับประทานอาหาร ขณะมองดูโต๊ะอาหารก็ควรกำหนดว่า มองหนอ เห็นหนอๆ เมื่อผู้ปฏิบัติเอื้อมมือไปที่อาหารก็กำหนดว่า เอื้อมหนอๆ มือแตะอาหารก็กำหนดว่า แตะหนอๆ รวบรวมอาหารมาจัดเตรียมก็กำหนดว่า รวบรวมหนอ จัดหนอๆ นำอาหารใส่ปากก็กำหนดว่า มาหนอๆ ก้มศีรษะนำอาหารใส่ปากก็กำหนดว่า ก้มหนอ ใส่หนอ วางมือก็ให้กำหนดว่า วางหนอ เงยศีรษะขึ้นก็ให้กำหนดว่า เงยหนอ
สรุปก็คือ ควรกำหนดทุกสภาวะให้เท่าทันตามสมควร
วิธีการกำหนดนี้เป็นไปตามวิธีการรับประทานอาหารของชาวพม่า โยคีที่ใช้ช้อนส้อม ตะเกียบก็ควรกำหนดอาการเคลื่อนไหวในลักษณะท่าทางที่เหมาะสม เมื่อโยคีเคี้ยวอาหารก็กำหนดว่า เคี้ยวหนอๆ เมื่อรู้รสอาหารก็กำหนดว่า รู้หนอๆ เมื่อโยคีชอบใจรสอาหารก็กำหนดว่า ชอบใจหนอๆ เมื่อกลืนอาหารลงไปในลำคอก็กำหนดว่า กลืนหนอๆ สรุปก็คือโยคีควรกำหนดทุกสภาวะที่เกิดขึ้น นี้เป็นวิธีการกำหนดที่ควรกำหนดในเวลารับประทานอาหารแต่ละคำข้าว
ขณะที่โยคีรับประทานแกงก็เช่นเดียวกัน ทุกๆ อาการเคลื่อนไหวที่เกิดมีขึ้น เช่นการเอื้อมมือก็ให้กำหนดว่า เอื้อมหนอ จับช้อนก็ให้กำหนดว่า จับหนอ เวลาตักก็กำหนดว่า ตักหนอ เป็นต้น อาการเคลื่อนไหวสภาวะทุกอย่างโยคีควรกำหนดทั้งนั้น ความจริงการกำหนดเช่นนี้ในเวลารับประทานอาหารค่อนข้างจะยุ่งยาก เนื่องจากมีหลายสิ่งหลายอย่างมากมายที่จะต้องคอยสังเกตและกำหนด โยคีผู้เริ่มปฏิบัติอาจเป็นไปได้ที่จะพลาดพลั้งหลายสิ่งหลายอย่างที่ควรกำหนด แต่ถึงอย่างไรก็ควรตั้งใจกำหนดอาการทุกสภาวะ แน่นอนล่ะ ถ้าผู้ปฏิบัติเผอเรอขาดสติไปก็ไม่สามารถที่จะกำหนดได้เลย
แต่ถ้าหากว่าผู้ปฏิบัติมีสมาธิแก่กล้า ก็จะสามารถกำหนดทุกสภาวะที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าได้อรรถาธิบายมาหลายสิ่งหลายอย่าง เพื่อให้โยคีทั้งหลายได้กำหนดรู้ แต่เมื่อสรุปแล้วก็มีบางอย่างบางสิ่งที่จะต้องกำหนดเพิ่มเติม กล่าวคือ เมื่อโยคีเดินไวๆ พึงกำหนดว่า ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ซ้ายหนอ ขวาหนอ ในกรณีที่เดินช้าๆ ให้กำหนดว่า ยกหนอ เหยียบหนอ ถ้านั่งลงอย่างสงบแล้วก็ให้กำหนดอาการพองยุบของท้อง ในเวลานอนก็เช่นเดียวกันให้กำหนดว่า พองหนอ ยุบหนอ
ถ้าไม่มีสภาวะอันใดเป็นการเฉพาะที่จะต้องกำหนด ในเวลาที่กำหนดอาการพองยุบอยู่นั้น ถ้าเกิดว่าใจฟุ้งซ่านให้กำหนดว่า ฟุ้งหนอ และก็กลับมากำหนดอาการพองยุบของท้องต่อไป เมื่อเกิดความรู้สึกตึงก็ให้กำหนดว่า ตึงหนอ อาการเจ็บปวดก็ให้กำหนดว่า เจ็บหนอ ปวดหนอ อาการคันก็ให้กำหนดว่า คันหนอ แล้วก็กลับคืนมากำหนดอาการพองยุบของท้องต่อไป แม้เมื่อเกิดอาการงอแขนขาก็ให้กำหนดว่า งอหนอ คู้หนอ เหยียดแขนขาก็ให้กำหนดว่า เหยียดหนอ เคลื่อนไหวแขนขาก็ให้กำหนดว่า เคลื่อนหนอ โค้งศีรษะก็ให้กำหนดว่า โค้งหนอ ถ้าเงยศีรษะขึ้นก็ให้กำหนดว่า เงยหนอ ถ้าเอนตัวไปข้างหน้าก็กำหนดว่า เอนหนอ ตัวตรงก็ให้กำหนดว่า ตรงหนอ แล้วก็กลับมากำหนดอาการพองยุบของท้องต่อไป
ถ้าโยคีมุ่งกำหนดอาการดังที่กล่าวมานั้น จะสามารถกำหนดสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้มากขึ้นโดยลำดับ ในช่วงที่ปฏิบัติใหม่ๆ จิตใจของโยคีก็จะฟุ้งไปที่นี่บ้าง ที่นั่นบ้าง จนลืมการกำหนดสภาวะต่างๆ แต่โยคีก็ไม่ควรท้อถอย ทุกคนที่เริ่มปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจะต้องเผชิญกับความยุ่งยากที่คล้ายๆ กันนี้ แต่ถ้าหากโยคีปฏิบัติมากขึ้นก็จะสามารถกำหนดรู้อาการที่คิดฟุ้งซ่านได้ทุกขณะ จนในที่สุดกระทั่งว่าจิตใจไม่ฟุ้งซ่านไปที่ไหนอีกเลย จิตใจอยู่ตรึงแน่นกับอารมณ์กรรมฐาน
อาการที่จิตมีสติได้กำหนดรู้เท่าทันอารมณ์กรรมฐาน เช่น รู้เท่าทันอาการพองยุบของท้อง กล่าวคือ อาการพองของท้องจะเกิดขึ้นพร้อมกับอาการที่จิตกำหนดรู้อาการพองของท้อง อาการยุบของท้องก็จะเกิดขึ้นพร้อมกับจิตที่รู้อาการยุบของท้อง รูปารมณ์กับสภาวะจิตที่กำหนดรู้เกิดขึ้นพร้อมกันคล้ายเป็นคู่ แต่ในการเกิดขึ้นพร้อมกันนี้ไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา รวมอยู่ด้วยเลย มีแต่รูปกับนามเท่านั้น
ในเวลาปฏิบัติโยคีก็จะได้ประสบพบเห็นสภาวะเหล่านี้ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงเฉพาะผู้ปฏิบัติเอง ขณะที่โยคีกำหนดอาการพองยุบของท้องอยู่นั้น ก็จะสามารถแยกแยะได้ว่าอาการพองขึ้นของท้องเป็นรูป และใจที่กำหนดรู้อาการพองขึ้นของท้องนั้นเป็นนาม อาการยุบของท้องก็ดุจเดียวกัน กล่าวคือ อาการยุบลงของท้องเป็นรูป และใจที่กำหนดรู้อาการยุบของท้องเป็นนาม ดังนั้นโยคีก็จะรู้ชัดแจ้งถึงการเกิดขึ้นพร้อมกันในคู่ของสภาวะรูปนามเหล่านี้
ดังนั้น การกำหนดทุกครั้ง โยคีก็จะทราบชัดอย่างแจ่มแจ้งด้วยตนเองว่า มีเพียงรูปนามเท่านั้นซึ่งเป็นอารมณ์ของความรู้ และนามเป็นผู้กำหนดอารมณ์นั้น ความรู้ที่แยกแยะนามรูปออกจากกันได้นี้ เรียกว่า นามรูปปริจเฉทญาณ ซึ่งเป็นปัญญาเบื้องต้นของการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะได้บรรลุญาณนี้อย่างถูกต้อง ความรู้ในนามรูปปริจเฉทญาณนี้จะเป็นผลสำเร็จก็ต่อเมื่อโยคีกำหนดสืบต่อกันไปจนสามารถรู้โดยแยกแยะเหตุและผลของนามรูปได้ ซึ่งความรู้ชนิดนี้เรียกว่า ปัจจยปริคคหญาณ
ขณะที่โยคีมุ่งกำหนดอยู่นั้นก็จะพบเห็นด้วยตนเองว่า สภาวะที่เกิดขึ้นดับไปชั่วขณะๆ คนสามัญธรรมดาจะทึกทักเอาว่า สภาวะที่ปรากฏทางรูปนามสืบต่อคงทนตลอดชีวิต กล่าวคือ จากความเป็นหนุ่มไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ในความเป็นจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ และก็ไม่มีสภาวะที่ปรากฏชนิดใดๆ เลยที่อยู่ยงคงกระพันนิรันดร์กาล สภาวะที่ปรากฏทุกอย่างทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งว่าไม่ได้คงที่อยู่แม้ชั่วขณะการกระพริบตา
โยคีจะรู้ชัดถึงความจริงนี้ด้วยตนเองขณะที่มุ่งกำหนดต่อไป และก็จะมีความมั่นใจในความเป็นอนิจจังของสภาวะปรากฏเช่นนั้นทั้งหมด ความมั่นใจแน่แน่วเช่นนี้เรียกว่า อนิจจานุปัสสนาญาณ ญาณนี้ก็จะทำให้ทุกขานุปัสสนาญาณเป็นผลต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็นญาณที่ทราบชัดว่า ความเป็นอนิจจังนี้ทั้งหมดก็คือสภาวะที่ทนอยู่อย่างเดิมไม่ได้ โยคีดูเหมือนว่าจะเผชิญกับความยุ่งยากลำบากมาทุกชนิดในชีวิตเช่นกัน ซึ่งมันเป็นที่รวมลงแห่งกองทุกข์ทั้งมวล นี้เรียกว่า ทุกขานุปัสสนาญาณ เช่นเดียวกัน
ต่อมาโยคีก็จะมีความแน่ใจว่า สภาวะที่ปรากฏทางนามรูปเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย โดยเป็นไปตามความปรารถนาของผู้ใดผู้หนึ่งก็หาไม่ และจะบ่งบอกว่าใครเป็นผู้คอยควบคุมบงการก็หาได้ไม่เช่นเดียวกัน แท้ที่จริงสภาวะที่ปรากฏทั้งหมดนั้นล้วนเป็นอนัตตา ความรู้แจ่มแจ้งเช่นนี้เรียกว่า อนัตตานุปัสสนาญาณ ขณะที่โยคีมุ่งกำหนดวิปัสสนากรรมฐานต่อไป เมื่อได้รู้ชัดอย่างไม่หวั่นใจสงสัยว่า สภาวะที่ปรากฏเหล่านี้ทั้งปวงเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จะบรรลุนิพพาน ซึ่งเป็นสภาวะที่อดีตพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ และพระอริยสาวกทั้งหลายได้ทรงรู้แจ้งแล้วโดยการเจริญสติปัฏฐาน
ผู้เป็นโยคีนักปฏิบัติทุกท่านควรทำไว้ในใจว่า ขณะนี้ตนเองกำลังอยู่บนเส้นทางสติปัฏฐาน บนทางสายนี้เท่านั้นที่จะทำให้ความประสงค์ที่จะบรรลุมรรคญาณ ผลญาณ นิพพานธรรม และความสุกงอมของบารมีของผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสมบูรณ์บริบูรณ์ได้ นักปฏิบัติทั้งหลายจึงควรรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้มาเจริญสติปัฏฐาน และได้มาประสบเห็นอริยสมาธิและวิปัสสนาญาณที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอริยสาวกทั้งหลายได้ทรงประสบพบเห็นมาแล้ว
ความจริงผู้ปฏิบัติอาจจะบรรลุมรรคญาณผลญาณ ในระยะของการเจริญวิปัสสนากรรมฐานเพียง ๑ เดือน ๒๐ วัน หรือ ๑๕ วันเท่านั้น สำหรับบุคคลผู้มีบารมีแก่กล้าก็จงยกไว้เถิด อาจจะบรรลุธรรมเหล่านี้แม้ภายใน ๗ วัน
ดังนั้น โยคีผู้ปฏิบัติควรมีความพอใจไม่หวั่นไหว โดยเชื่อว่าจะต้องบรรลุธรรมเหล่านี้ตามเวลาที่ระบุข้างบนแน่ และเมื่อบรรลุธรรมเหล่านั้นแล้วก็จะละสักกายทิฏฐิ ความเข้าใจผิดว่ามีตัวตน และวิจิกิจฉา ความสงสัยลังเลใจเสียได้ และพระธรรมก็จะรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ไปเกิดในอบายภูมิ ขอให้โยคีจงมีศรัทธาควรมุ่งมั่นปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของตนต่อไป ขอให้ผู้ปฏิบัติทุกท่านจงมีความสามารถปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้ดี จงบรรลุพระนิพพานอย่างเร็วพลัน ดุจดังพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งหลาย พระอริยสาวกทั้งหลายที่ได้ทรงบรรลุแล้วด้วยเถิด สาธุๆๆ
................... เอวัง ...................
|