เว็บบอร์ด สนทนาธรรม สอบถามห้องแชดสนทนาธรรมสมุดเยี่ยม ฝากข้อความ ติชมรวมเว็บพระพุทธศาสนารวมรูปภาพ พุทธศิลป์ พระพุทธเจ้า พระพุทธรูป พระเจดีย์ พระสงฆ์
  ตั้งเป็นหน้าแรก   เก็บเข้า Favorites   สั่งพิมพ์   แจ้งปัญหา
   
 
 
 
สารบัญหลัก
  หน้าหลัก
  หนังสือธรรมะ
  บทสวดมนต์
  เสียงธรรม mp3
  เสียงสวดมนต์ mp3
  ห้องสวดมนต์ออนไลน์
  สมาธิ
  กฎแห่งกรรม
  วัดป่า-พระป่า
  วันสำคัญทางศาสนา
  ดาวน์โหลด e-book
  คำสอนจากครูบาอาจารย์
  บทความ..ธรรมจักร
  รูปภาพ
  กระดานสนทนา
  ห้องสนทนา
  สมุดเยี่ยม
  รวมเว็บ
  ติดต่อทีมงาน
ขึ้นบน
 
เว็บบอร์ด
  สนทนาธรรม
  ข่าวกิจกรรม
  สติปัฏฐาน
  สมาธิ
  กฎแห่งกรรม
  นิทานธรรมะ
  หนังสือธรรมะ
  บทความธรรมะ
  กวีธรรม
  นานาสาระ
  วิทยุธรรมะ
  สถานที่ปฏิบัติธรรม
  เสียงธรรมออนไลน์
  เสียงสวดมนต์ออนไลน์
  พระพุทธเจ้า
  ประวัติอสีติมหาสาวก
  ประวัติเอตทัคคะ
  ประวัติครูบาอาจารย์
 
 
^-^ มาฝึกสมาธิกันดีกว่า ^-^
 
@ อยากรู้  ประวัติศาสตร์ วงล้อมธรรมจักร ลัญลักษณ์ของพุทธศาสนา  คลิกอ่าน @
 
รวมเว็บพระพุทธศาสนา แบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ง่ายต่อการค้นคว้าหาข้อมูล
 
คำสอนของครูบาอาจารย์ เช่นหลวงปู่ดูลย์,หลวงปู่เทสก์,หลวงพ่อชา,หลวงพ่อพุธ,หลวงพ่อจรัญ,พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เป็นต้น
 
อัลบั้มภาพพระพุทธศาสนา
 
เรือนธรรม - บ้านพักผ่อนทางจิตใจด้วยธรรมะ
 
ขอเชิญเข้ามาร่วมสนทนาธรรมด้วยกันครับ
 
ดูซิ ! ว่ามีใครอยู่ในห้องบ้าง
 
ฝากข้อความติชมของท่านได้ที่นี่ครับ
 
 
 
 

   ธรรมจักร   สมาธิ แนวการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

ปรับขนาดตัวอักษร เพิ่มขนาด ลดขนาด ขนาดปกติ  
 
แนวการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
หน้า1 l 2 l 3 | 4 

การขาดการกำหนดทุกขเวทนา จะทำให้ผู้ปฏิบัติคิดว่า เราตึงแน่น เรารู้สึกร้อน เรารู้สึกเจ็บปวด เมื่อสักครู่นี้เรารู้สึกดีขึ้นแล้ว ขณะนี้เรารู้สึกกระวนกระวายใจกับความรู้สึกที่ไม่น่าพึงพอใจเหล่านี้ ความรู้สึกว่าตัวเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอารมณ์ที่ไม่น่าใคร่น่าพอใจ เป็นความคิดที่นับว่าผิด ความจริงแล้วไม่มีตัวตนรวมอยู่กับความรู้สึกไม่พอใจเลย เป็นแต่เพียงการสืบต่อเนื่องกันของความรู้สึกที่ไม่พอใจ ในแต่ละขณะจิตหนึ่งๆ เท่านั้น เปรียบประดุจการสืบต่อเนื่องกันของกระแสไฟฟ้าใหม่ ซึ่งทำให้ไฟสว่างขึ้นฉะนั้น

ดังนั้น ทุกเวลาในชีวิตของเรา ก็มักจะประสบกับอารมณ์ไม่น่าพอใจ จึงทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจแล้วๆ ไม่พอใจเล่าๆ ผู้ปฏิบัติจึงควรกำหนดความรู้สึกเช่นนี้ว่า ไม่พอใจหนอๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกตึงแน่น หรือความเจ็บปวดก็ตาม ก็ให้กำหนดว่า ตึงหนอ ร้อนหนอ ปวดหนอ ในกรณีของโยคีที่เริ่มปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ความรู้สึกตึงแน่นเจ็บปวด ดูเหมือนว่าจะทวีความรุ่นแรงขึ้นเรื่อยๆ และก็จะทำให้อยากเปลี่ยนท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ปฏิบัติก็ควรกำหนดด้วยว่า อยากเปลี่ยนหนอๆๆ แล้วหลังจากนั้นโยคีก็ควรกลับมากำหนด ตึงหนอ ร้อนหนอ เป็นต้นต่อไป

มีคำสุภาษิตที่ว่า ความอดทนนำไปสู่พระนิพพาน คำพูดนี้ตรงกันมากกับกรณีความพยายามในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ดังนั้น ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจึงต้องมีความอดทน ถ้าหากผู้ปฏิบัติเปลี่ยนท่านั่งอยู่บ่อยๆ เนื่องจากไม่สามารถอดทนต่อความรู้สึกตึงแน่น หรือความรู้สึกร้อนที่เกิดขึ้นได้ สมาธิที่ดีก็ไม่แก่กล้า ถ้าสมาธิไม่แก่กล้า วิปัสสนาปัญญาก็จะไม่ผลิตผล และก็จะไม่มีการบรรลุมรรคญาณ ผลญาณ พระนิพพานได้

ด้วยเหตุนี้ความอดทนจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการปฏิบัติวิปัสสนา จริงอยู่ นับว่าเป็นการอดทนอย่างมาก ที่ต้องประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา เช่น ความรู้สึกตึง แน่น ความรู้สึกร้อน ความรู้สึกเจ็บปวด และความรู้สึกอื่นๆ ในตัวผู้ปฏิบัติ ความรู้สึกเหล่านี้นับว่าเป็นเรื่องยากที่จะอดทนได้ แต่ผู้ปฏิบัติก็ไม่ควรเลิกการกำหนดทุกขเวทนา ในเมื่อทุกขเวทนาเช่นนั้นเกิดขึ้น หรือแม้แต่เปลี่ยนท่านั้นในขณะปฏิบัติกรรมฐาน ผู้ปฏิบัติควรอดทนกำหนดทุกขเวทนาไปโดยกำหนดว่า ตึงหนอๆ ร้อนหนอๆ ในที่สุดทุกขเวทนาทั้งหลายจะค่อยๆ ทุเลาเบาบางลงไป ขอเพียงให้ผู้ปฏิบัติอดทนกำหนดทุกขเวทนาต่อไป

เมื่อสมาธิดีแก่กล้าแล้ว แม่แต่ทุกขเวทนาที่รุนแรงก็จะค่อยๆ หายไปเอง แล้วผู้ปฏิบัติก็กลับมากำหนดอาการพองยุบของท้องต่อไป แน่นอนที่สุด ถ้าผู้ปฏิบัติจำเป็นจะต้องเปลี่ยนท่านั่ง ในกรณีที่ทุกขเวทนาไม่หาย แม้ผู้ปฏิบัติได้กำหนดเป็นเวลานานแล้ว หรืออีกนัยหนึ่งผู้ปฏิบัติอดทนต่อทุกขเวทนาไม่ได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ปฏิบัติก็ต้องกำหนดจิตว่า อยากเปลี่ยนหนอๆ ถ้ายกมือขึ้นก็กำหนด ยกหนอๆ ถ้าเหยียดมือหรือแขนออกไปก็กำหนดว่า เหยียดหนอๆ ควรเหยียดอย่างช้าๆ พร้อมกับกำหนดว่า ยกหนอๆๆ เหยียดหนอๆๆ ถูกหนอๆๆ เป็นต้น ถ้าเอนตัวไปก็กำหนดว่า เอนหนอๆๆ ถ้าเท้ายกขึ้นก็กำหนดว่า ยกหนอๆๆ ถ้าเท้าเคลื่อนไหวไปก็กำหนดว่า เคลื่อนหนอๆๆ ถ้าเท้าตกลงไปก็กำหนดว่า ตกหนอๆๆ แต่ถ้าไม่มีสภาวะอื่นแทรกซ้อน ปกติธรรมดาก็ให้ผู้ปฏิบัติกลับมากำหนดอาการพองยุบของท้องต่อไป

การกำหนดปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จะต้องไม่มีการหยุดพักการกำหนดในระหว่าง เพราะว่าอาการกำหนดก่อนและการกำหนดทีหลัง ต้องต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย สภาวะของสมาธิแรกกับสมาธิหลัง ก็ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน สภาวะของปัญญาแรกกับปัญญาหลัง เป็นปัจจัยหนุนเนื่องซึ่งกันและกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ลำดับขั้นที่ต่อเนื่องกันสูงขึ้นก็จะแก่กล้าขึ้นในจิตใจของโยคี โยคีผู้ปฏิบัติจะบรรลุมรรคญาณและผลญาณได้ ก็โดยการรวมกำลังของศีลสมาธิปัญญา

กระบวนการของวิปัสสนากรรมฐานนั้น ก็เช่นเดียวกับการก่อไฟ คือต้องเอาไม้สองท่อนมารวมกันแล้วสีไฟโดยใช้กำลังมาก และไม่หยุดหย่อนในระหว่าง จนกระทั้งว่าความร้อนได้ที่ หรือเมื่อเปลวไฟลุกขึ้น ในทำนองเดียวกันในการกำหนดวิปัสสนากรรมฐานนั้น ผู้ปฏิบัติจะต้องกำหนดติดต่อ ไม่หยุดหย่อนในระหว่าง ไม่หยุดพักผ่อน ไม่ว่าสภาวะอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ผู้ปฏิบัติจะต้องกำหนดรู้

ยกตัวอย่างเช่น มีอาการคันเกิดขึ้นในระหว่าง โยคีมีความประสงค์ที่จะเกา เพราะว่ามันอดทนได้ยาก เมื่อเป็นเช่นนี้โยคีจะต้องกำหนดทั้งสองสภาวะ คือความรู้สึกคันและใจที่อยากจะเกา ไม่ใช่ว่าพอมีอาการคันก็เกาทันที ถ้าผู้ปฏิบัติมุ่งกำหนดต่อไปอย่างบากบันอดทน โดยทั่วไปอาการคันก็จะค่อยๆ หายจางไป เมื่ออาการคันหายไปแล้ว ผู้ปฏิบัติก็กลับมากำหนดอาการพองยุบของท้องต่อไป ถ้าหากว่าอาการคันไม่ได้หายไป ผู้ปฏิบัติก็ต้องเกามันให้หายคันเป็นธรรมดา แต่ก่อนอื่นผู้ปฏิบัติก็ควรกำหนดว่า อยากเกาหนอๆๆ ถ้าผู้ปฏิบัติกำลังเกา ก็กำหนดว่า เกาหนอๆ สภาวะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในขณะที่โยคีกำลังเกาที่คันอยู่ ก็ควรกำหนด โดยเฉพาะเวลามือแตะก็ควรกำหนดว่า แตะหนอๆ เกาหนอๆ เป็นต้น แล้วก็ค่อยกลับมากำหนดอาการพองยุบของท้องต่อไป

ทุกเวลาที่ผู้ปฏิบัติเปลี่ยนท่า ก็ต้องกำหนดต้นจิตก่อนว่า อยากเปลี่ยนหนอ แล้วก็กำหนดอาการเคลื่อนไหวทุกอย่างติดต่อกันไป เช่นเวลาลุกขึ้นจากท่านั่งก็กำหนดว่า ลุกหนอ เวลายกแขนขึ้นก็กำหนดว่า ยกหนอ เวลาแขนเคลื่อนไหวก็กำหนดว่า เคลื่อนหนอ เวลาเหยียดแขนออกไปก็กำหนดว่า เหยียดหนอ ในขณะที่ผู้ปฏิบัติเปลี่ยนอิริยาบถ ก็ให้กำหนดอาการเคลื่อนไหวทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันนั้นด้วย เช่นร่างกายเอนไปข้างหน้า ก็ให้กำหนดว่า เอนหนอๆ ขณะที่ลุกขึ้นรู้สึกตัวเบา ก็ให้กำหนดว่า เบาหนอๆ ผู้ปฏิบัติควรกำหนด ลุกหนอๆ อย่างช้าๆ

โยคีผู้ปฏิบัติควรทำตัวเหมือนคนอ่อนแอ คนเจ็บไข้ คนป่วย คนมีสภาพร่างกายปกติจะลุกขึ้นก็ลุกขึ้นโดยง่าย รวดเร็วคล่องตัว อันบุคคลผู้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ค่อยๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนเจ็บไข้ไร้พละกำลังเสมอไป เหมือนกับกรณีคนทนทุกข์เพราะเจ็บหลัง ก็ต้องลุกขึ้นอย่างช้า ด้วยเกรงว่าหลังจะเจ็บและเป็นเหตุให้ปวดเจ็บ โยคีผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก็เช่นเดียวกัน เมื่อจะเปลี่ยนท่าก็ต้องเปลี่ยนอย่างค่อยๆ ช้าๆ และเปลี่ยนอย่างมีสติ สมาธิและวิปัสสนาปัญญาจึงจะแก่กล้า

ดังนั้น จึงต้องเริ่มกำหนดอาการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เมื่อลุกขึ้นโยคีต้องลุกขึ้นอย่างช้าๆ เหมือนกับคนเจ็บไข้ ในเวลาเดียวกันก็กำหนดว่า ลุกหนอๆ ไม่ใช่แต่เพียงเท่านี้ แม้แต่ตาเห็นรูป โยคีผู้ปฏิบัติจะต้องปฏิบัติเหมือนกับว่าไม่ได้เห็น เมื่อหูได้ยินเสียงก็เช่นเดียวกัน คือผู้ปฏิบัติจะต้องทำเหมือนว่าหูหนวก ดังนั้นในกรณีที่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ความใส่ใจของผู้ปฏิบัติก็คือต้องกำหนดรู้เท่านั้น ผู้ปฏิบัติจะได้เห็นได้ยินอะไรก็ตาม ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ปฏิบัติจะไปสนใจดู สนใจฟัง หรือไม่ว่าจะเป็นสิ่งแปลกใหม่น่าสนใจก็ตาม ที่ผู้ปฏิบัติได้เห็นได้ยิน ก็ต้องปฏิบัติเหมือนกับว่า ไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน ต้องกำหนดอย่างตั้งใจเท่านั้น

เมื่อเคลื่อนไหวร่างกาย โยคีควรเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เหมือนกับว่าเป็นคนอ่อนกำลัง เป็นคนเจ็บไข้ เช่นเหยียดแขนขา ก็เหยียดช้าๆ คู้เหยียดแขนขาอย่างช้าๆ ก้มศีรษะลง เงยศีรษะขึ้นอย่างช้าๆ การเคลื่อนไหวทุกอย่างทั้งหมด โยคีจะต้องทำอย่างช้าๆ แม้เมื่อลุกขึ้นจากที่นั่ง โยคีก็ต้องค่อยๆ ลุกขึ้น โดยกำหนดว่า ลุกหนอๆๆ เมื่อทำตัวให้ตรง ยืนขึ้นก็ให้กำหนดว่า ยืนหนอๆ

     
หน้า1 l 2 l 3 | 4 
 
 
 
 
 
 
 
  หน้าหลัก l หนังสือธรรมะ l เสียงสวดมนต์ mp3 l เสียงธรรม mp3 l บทสวดมนต์ l สมาธิ l รูปภาพ
ดาวน์โหลด e-book l ห้องสวดมนต์ออนไลน์  l กระดานสนทนา l ห้องสนทนา chat  l สมุดเยี่ยม lรวมเว็บ
 
จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
ขึ้นบน