บทที่ ๔
อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ
โจรองคุลิมาล (โจรฆ่าคนเอานิ้ว
ทำพวงมาลัยแสนดุร้าย) ถือดาบเงื้อง่าวิ่งไล่ฆ่า
พระพุทธองค์สิ้นระยะทาง ๓ โยชน์ พระจอมมุณี
ทรงบันดาลอิทธิฤทธิ์ทางใจเอาชนะได้ราบคาบ
ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน
องคุลิมาล
เดิมชื่อ อหิงสกะ มีประวัติความเป็นมาค่อนข้างพิลึกพิลั่น
เป็นพระสาวกรูปหนึ่งที่ได้รับยกย่องในฐานะที่เป็น
ผู้ต้นคดปลายตรง คือ เบื้องต้นประพฤติผิดพลาดจนกลายเป็นโจร
ต่อมาในช่วงท้ายแห่งชีวิตกลับเนื้อกลับตัว บวชเป็นสาวกพระพุทะเจ้าสำเร็จพระอรหัตตผล
เป็น พระอรหันตขีณาสพ (หมดกิเลสทั้งปวง)
ขณะที่บิดาของท่าน
ซึ่งเป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศลอยู่ในพระราชสำนักได้
เกิดเหตุประหลาด คือ อาวุธในพระคลังแสงเกิดโชตนาการสว่างไสวไปทั่ว
ท่านปุโรหิตแหงนดูท้องฟ้าเห็นดาวโจรลอยเด่นอยู่บนนภากาศ
จึงกราบทูลว่า เด็กที่เกิดในเวลานี้จะเป็นมหาโจรลือชื่อ
เมื่อกลับถึงบ้าน จึงรู้ว่าบุตรชายของตนเกิดในเวลาดังกล่าวพอดี
ท่านปุโรหิตจึงกลับไปกราบทูลในหลวงให้ทรงทราบ
และ ขอพระบรมราชานุญาต ให้กำจัดเด็กนั้นเสีย เมื่อพระราชาตรัสถามว่า
เป็นโจรราชสมบัติหรือโจรธรรมดา ท่านปุโรหิตกราบทูลว่า
เป็นโจรธรรมดา พระเจ้าปเสนทิโกศล ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องทำอะไร
ท่านปุโรหิต จงเลี้ยงลูกของท่านให้ดีก็แล้วกัน
ปุโรหิตผู้เป็นพ่อจึงตั้งชื่อเพื่อ
แก้เคล็ด ว่า อหิงสกะ แปลว่า ผู้ไม่เบียดเบียนใคร
ตอนเด็กๆ ก็เป็นผู้ไม่เบียดเบียนใครจริงๆ เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย
เรียนเก่ง บิดาจึงส่งไปศึกษาศิลปะวิทยาที่สำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์
เมืองตักสิลา เด็กหนุ่มอหิงสกะ ขยันศึกษาเล่าเรียนเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์
เป็นที่รักของอาจารย์มาก จนกระทั่งบรรดาศิษย์ร่วมสำนักอิจฉา
พวกเขาจึงหาทางกำจัดอหิงสกะ
โดยแบ่งเป็นพวกๆ ทยอยกันเข้าไปฟ้องอาจารย์ว่า อหิงสกะไม่ได้ความอย่างนั้นอย่างนี้
ถูกอาจารย์ตะเพิดออกมาเป็นแถว แต่เมื่อพวกเธอพยายามใส่ไคล้อหิงสกะบ่อยเข้าอาจารย์ก็ชักจะเอนเอียงไปทีละเล็กละน้อย
ถ้าหากไม่มีมูล ทำไมศิษย์ทุกคนจึงพูดตรงกัน อาจารย์นั่งคิดอยู่คนเดียวอย่างว่านั่นแหละครับ
น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน สำมหาอะไรกับจิตใจอ่อนๆของปุถุชน
เช่นศาสตราจารย์ (ผู้ไม่ปรากฏชื่อ) แห่งตักสิลาคนนี้เล่า
ในที่สุดท่านก็เชื่อสนิทว่า อหิงสกะคิดประทุษร้ายตน
ตามคำยุแยงตะแคงรั่วของบรรดาศิษย์ขี้อิจฉาตาร้อนทั้งหลาย
อาจารย์จึงวางแผนกำจัดศิษย์
โดยออกอุบายให้ไปฆ่าคนเอานิ้วมือมาให้ครบหนึ่งพันอ้างว่า
เพื่อประกอบพิธีประสิทธิ์ประสาทเคล็ดลับวิชาที่ไม่เคยถ่ายทอดให้ศิษย์คนใดเลยเมื่ออยากได้วิชา
ศิษย์ผู้น่าสงสารก็จำต้องทำใหม่ๆ ก็คงลำบากใจมากที่ต้องฆ่าคน
แต่พอฆ่าได้สองคนสามคนเข้า ก็ชินไปเอง ชั่วระยะเวลาไม่นาน
เสียงลือเสียงเล่าอ้างก็กระฉ่อนไปทั่วว่า มีโจรเหี้ยมคนหนึ่งนามว่า
องคุลิมาล ดักฆ่าคนที่ดงดิบแห่งหนึ่ง ฆ่าแล้วก็ตัดเอานิ้วมาทำพวงมาลัย
เป็นทีหวาดกลัวของประชาชนมากจนไม่มีใครเดินผ่าน
พระเจ้าปเสนทิโกศล
ต้องตัดสินพระทัย ยกกองทัพย่อยๆ ไปปราบเพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่ประชาชน
มารดาของอหิงสกะ ทราบข่าวกลัวว่าบุตรชายของตนจะเป็นอันตราย
จึงแอบหนีออกนอกเมือง มุ่งหน้าไปยังดงดิบที่ขุนโจรอาศัยอยู่เพื่อแจ้งข่าวให้ลูกทราบ
พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยญาณ เกรงว่าองคุลิมาลจะทำมาตุฆาต
(ฆ่ามารดา) เพราะมหาโจรมีจิตฟั่นเฟือนจำใครไม่ได้แล้ว
พบใครก็จะฆ่าหมดจึงเสด็จไปดักหน้า
องคุลิมาลเห็นพระห่มผ้าเหลือง
ก็ดีใจที่ได้พบเหยื่อเป็นสมณะหรือไม่ ไม่สนใจ ขอแต่ให้ได้นิ้วครบพันก็แล้วกัน
จึงถือมีดโกนอาบน้ำผึ้ง เอ๊ย ถือดาบวิ่งไล่พระพุทะองค์ทรงบันดาลฤทธิ์ให้มหาโจรวิ่งไม่ทัน
ทั้งๆ ที่เสด็จดำเนินไปตามปกติ มหาโจรร้องว่า หยุด
สมณะ หยุด
เราหยุดแล้ว
แต่เธอยังไม่หยุด เราหยุดทำบาป แต่เธอยังทำบาปอยู่
พระสุรเสียง กังวานแว่วสัมผัสโสตประสาทจอมโจร
เขาสะดุดกึก
รู้สำนึกในความผิดของตนเอง จึงวางดาบเข้าไปถวายบังคมแทบพระยุคลบาท
พระองค์ทรงแสดงธรรมให้ฟัง จบพระธรรมเทศนาเขาได้กราบทูลขอบวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์
พระพุทะองค์ทรงนำองคุลิมาลกลับไปยังพระเชตวัน
พอดีเวลานั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลยกกองทัพย่อยๆ ผ่านมาทางนั้น
จะไปปราบโจร พระองค์เสด็จเข้าไปถวายบังคมพระพุทธเจ้าทำนองจะขอพรชัย
ให้ได้ชัยชนะในการไปปราบมหาโจรครั้งนี้
พระพุทะเจ้าตรัสถามว่า
ถ้ามหาโจรนั้นกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีมาบวชเป็นพระในพระธรรมวินัย
แล้ว พระองค์จะทรงเอาผิดเธอไหม พระราชากราบทูลว่า
ถ้าเช่นนั้น เขาก็พ้นอาญาของแผ่นดิน
พระพุทะเจ้าทรงชี้พระดรรชนีไปยังพระหนุ่มผู้นั่งสงบอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ว่า
นี้คือองคุลิมาล พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงตกพระทัย
พระพุทธองค์ตรัสว่า มหาบพิตรไม่ต้องกลัวบัดนี้องคุลิมาล
เธอ มีมือวางศาสตราแล้ว (หมายความว่า เลิกทำร้ายหรือเบียดเบียนแล้ว)
บวชใหม่ๆ
ท่าน องคุลิมาลบิณฑบาตแทนที่จะได้ข้าว กลับได้เลือดกลับวัดแทบทุกวันเพราะชาวบ้านจำได้พากันเอาก้อนอิฐก้อนหินขว้างจนท่าน
ศรีษะแตกเลือดไหล แต่ก็จำต้องทนตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านพบสตรีมีครรภ์แก่ ท่านตั้งสัตยาธิษฐานทำให้สตรีนางนั้นคลอดบุตรอย่างง่ายดายและปลอดภัย
คนทั้งหลายจึงหายหวาดกลัวท่าน เชื่อว่าท่านสามารถทำให้สตรีคลอดบุตรได้ง่ายกลายเป็น
เกจิอาจารย์ดัง ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ว่าอย่างนั้นเถอะ
คำอธิษฐานของท่านมีบันทึกไว้ในหนังสือสวดมนต์เจ็ดตำนาน
และสวดมนต์สิบสองตำนาน เรียกว่า อังคุลิมาลปริตร
เชื่อกันว่าเป็น บทสวดมนต์ทำให้คลอดลูกง่าย
พระสงฆ์นิยมนำมาสวดในงานทำบุญของชาวพุทะมาจนปัจจุบันนี้