บทที่ ๓
นาฬาคิริง
คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ
พญาช้างชื่อ นาฬาคิรี ตกมัน
ดุร้ายยิ่งนัก ประดุจไฟป่า จักราวุธ และสายฟ้า
พระจอมมุนีทรงเอาชนะได้ด้วยวิธีรดด้วยน้ำ
คือเมตตา ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน
ต้นเหตุให้เกิดเรื่องนี้ก็คือ
พระเทวทัตอดีตเจ้าชายหนุ่มแห่งโกลิยวงศ์ ตำนานฝ่ายเถรวาทว่า
เป็นเชษฐาของพระนางยโสธราพิมพาแต่ฝ่ายมหายานว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระนางยโสธราพิมพา
ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ เพราะคัมภีร์ฝ่ายเถรวาทบางแห่งก็พูดในทำนองนั้น
ดังเช่นเมื่อพระเทวทัตยื่นข้อเสนอ ให้พระพุทธองค์มอบสงฆ์ให้ท่านปกครองอ้าวว่า
บัดนี้ พระองค์ ทรงแก่เฒ่าแล้ว ขอจงมอบภาระดูแลสงฆ์แก่ข้าพระองค์เถิด
ถ้าพระพุทธองค์ทรงเป็นสหชาติกับพระนางยโสธราพิมพา
และถ้าพระเทวทัต เป็นเชษฐาของพระนางจริง พระเทวทัตก็ไม่น่าจะพูดว่า
พระองค์ทรงแก่เฒ่าแล้ว ใช่ไหมขอรับแต่ช่างเถอะ
อย่าปวดหัวกับประเด็นนี้เลยเชื่อตามมติฝ่ายเถรวาทไปก่อน
พระเทวทัตออกบวชพร้อมกับเจ้าชายศากยวงศ์ และนายภูษามาลาแห่งศากยวงศ์นามว่า
อุบาลี (เวอร์ซาเช่ แห่งเมืองกบิลพัสดุ์ว่าเข้านั่น)
รวม ๗ท่านด้วยกัน เพื่อนร่วมรุ่นที่ชื่อเสียงในเวลาต่อมานอกจากพระอุบาลี
ก็มีพระอานนท์ พระอนุรุทธะ พระเทวทัต แรกเริ่มเดิมทีก็ดังในทางดี
คือตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจิตภาวนาจนกระทั่งได้ฌาน
ได้ โลกิยฤทธิ์ (ฤทธิ์ระดับโลกิยะ) คือเหาะเหินเดินหาวได้
หายตัวได้อะไรทำนองนี้ ฤทธิ์อย่างนี้เสื่อมได้ถ้าไม่รู้จักประคับประคองในทางที่ถูกซึ่งก็เป็นดังนั้นจริงๆ
ว่ากันว่าญาติโยมทั้งหลาย เวลาไปวัดก็จะนำสักการะไปถวายพระคุณเจ้าต่างๆ
ที่ตนเคารพเลื่อมใส บ้างก็ถามว่า พระคุณเจ้าสารีบุตรอยู่ที่ไหน
พระคุณเจ้าโมคคัลลานะพระอานนท์ ฯลฯ อยู่ที่ไหน
แล้วก็นำเอาลาภสักการะไปถวายท่านเหล่านั้น น้อยรายจะถามถึงพระคุณเจ้าเทวทัตพระคุณเจ้านั่งนึกว่า
ท่านเหล่านั้นหลายท่าน เป็นขัตติยกุมารออกบวช ไม่เห็นมีอะไรด้อยไปกว่าท่านเหล่านั้นแต่ทำไม
ญาติโยมเวลานำอะไรมาวัด ไม่ถามถึงเราบ้าง มันน่าน้อยใจนัก
เราต้องหาทางแสวงลาภสักการะให้มากกว่าท่านเหล่านี้ให้จงได้
เรียก ปาปิจฉา (ความปรารถนาลามก) ได้เกิดขึ้นในใจพระคุณเจ้าเทวทัตเสียแล้วละครับ
เทวทัตคิดว่า เจ้าชายอชาตศัตรูมกุฎราชกุมาร สติปัญญาไม่แหลมคมนัก
สามารถ ล้างสมอง ได้ง่าย ถ้าทำให้อชาตศัตรู เลื่อมใสได้
ก็จะเป็นทางมาแห่งลาภยศสรรเสริญแผนการอันเลวร้ายจึงเริ่มต้น
วันหนึ่ง
ขณะเจ้าชายเสด็จประพาสสวนอุทยานแห่งหนึ่ง อยู่ๆ
พระเทวทัตก็ปรากฏตัวต่อหน้าพระพักตร์ ทำให้เจ้าชายตกใจและอัศจรรย์ใจไปพร้อมกัน
ตกใจที่เห็นพระคุณเจ้ามีอสรพิษร้ายพันกายหลายตัว
ไม่เห็นมันทำร้ายพระคุณเจ้าเลย และอัศจรรย์ใจที่พระคุณเจ้าอยู่ๆ
ก็เหาะลงมาจากห้วง นภากาศ ทำได้อย่างไรมันน่า งืด
แท้ พระคุณเจ้าบอกว่าอย่าตกพระทัยบพิตรอาตมาคือเทวทัต
สาวกแห่งพระสัมมาสัมพุทะเจ้าว่าแล้วก็แสดงธรรมแด่เจ้าชายอชาตศัตรู
จนกระทั่งท้าวเธอมอบตนเป็นศิษย์ก้นกุฏิ ถวายความอุปถัมภ์ในเวลาต่อมา
ถึงตอนนี้พระคุณเจ้าเทวทัต ก็ร่ำรวยลาภสักการะมากมายก่ายกองเพราะเป็นพระอาจารย์ของมกุฎราชกุมารแห่งมคธรัฐ
ต่อมาพระเทวทัตก็ยุยง
ให้อชาตศัตรูกำจัดพระราชบิดาชิงราชบัลลังก์ ทั้งๆ
ที่ตนเองก็จะได้โดยชอบธรรมอยู่แล้ว เจ้าชายจับพระราชบิดาขังคุกให้อดอาหารจนสิ้นพระชนม์
ตอนหลังพระเจ้าอชาตศัตรูรู้ว่าถูกเทวทัตหลอกจึงสั่งตัดความอุปถัมภ์ที่เคยให้แก่พระเทวทัต
ก่อนหน้านั้นเล็กน้อยพระเทวทัต จ้างนายขมังธนูไปยิงพระพุทธเจ้า
แต่แผนการล้มเหลว จึงลงทุนปีนเขากลิ้งก้อนหินลงมาหมายทับ
พระพุทธองค์ขณะประทับนั่งเข้าฌานสมาบัติอยู่ที่ถ้ำมัททกุจฉิ
เชิงเขาคิชฌกูฏก้อนหินกลิ้งลงไปปะทะชะง่อนผา สะเก็ด
หินกระเด็นไปต้องพระบาทพระพุทธองค์จนพระโลหิตห้อ
พระสงฆ์สาวกพากันนำพระพุทธองค์ไปให้หมอชีวก
ถวายการรักษาพยาบาล ณ ชีวกัมพวัน
เหตุการณ์เหล่านี้ยังไม่ปรากฏต่อสาธารณะนัก คนทั่วไปยังไม่รู้ว่าเป็นแผนการของพระเทวทัตคือต้นเหตุการณ์กระทำอันเลวร้ายนี้แน่นอน
เช้าวันหนึ่ง ขณะพระพุทธองค์มีพระอานนท์โดยเสด็จ
เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ในเมืองราชคฤห์
พญาช้างตกมันถูกปล่อยจากโรงช้างวิ่งทะยานออกสู่ถนนใหญ่มุ่งหน้ามาทางพระพุทธองค์
และพระอานนท์ ร้องเสียงโกญจนาท (เขาว่า ร้องแปร๋นๆ
เสียงแหลมเล็กดุจเสียงนกกระเรียนการร้องของช้างจึงเรียกว่า
โกญจนาท) มหาชนชาวเมืองวิ่งหนีอลหม่าน
พระอานนท์พุทธอนุชา เกรงภัยจะมาถึงพระพุทะองค์ จึงรีบกลับออกไปหมายสกัดพญาช้างตกมันไว้
ไม่คำนึงถึงชีวิตของตนเองทั้งๆ ที่ยังเป็นเสขบุคคล
(เป็นพระโสดาบัน) ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญา
พอที่จะต่อสู้กับพญาช้างตกมันได้ พระพุทะองค์ตรัสเรียกพระอานนท์ให้ถอยกลับมา
พระองค์ทรงทำปาฏิหาริย์ให้พญาช้างวิ่งเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง
ขณะนั้นเด็กน้อยคนหนึ่งถูกแม่ทิ้งไว้กลางถนน เพราะกลัวตายร้องไห้จ้าน่าเวทนายิ่ง
พญาช้างเปลี่ยนเข็มจากพระอานนท์หันมาหมายกระทืบเด็กน้อยตายคาตีน
พระพุทธองค์ทรงแผ่เมตตาภินิหาร ดังหนึ่งทรงหลั่งกระแสธารอันเย็นสนิท
ตกต้องจิตพญาช้างสาร ความดุร้ายเมามันพลันหายไปสิ้น
มันเดินเซื่องซึมเข้ามาหมอบแทบยุคลบาทยกงวงจบบนกระพองถวายอภิวาท
พระศาสดาผู้ทรงยกพระหัตถ์ลูบกระพองมันเบาๆ แล้วมันก็ลุกเดินเชื่องช้ากลับยังโรงช้างเป็นที่อัศจรรย์
เสียงโจษจันกันไปทั่วว่า นาคกับนาคชน กัน นาคหนึ่งปราบอีกนาคหนึ่งหมดฤทธิ์เป็นที่น่าอัศจรรย์
นาคแรก หมายถึง พระผู้ประเสริฐคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อีกนาคหนึ่งคือ พญาช้างสาร ที่เมามัน ชื่อนาฬาคิรี
อาวุธ ที่พระพุทธองค์ทรงใช้สู้กับพญาช้างตกมัน
คือเมตตา ด้วยอานุภาพแห่งเมตตาจิตอันแรงกล้า ที่พระองค์ทรงแผ่ไปต้องจิต
พญาช้างทำให้มันคลายความดุร้ายลงฉับพลัน และเลิกคิดที่จะทำร้ายพระองค์ในที่สุด
แต่ผู้ที่ยังไม่เลิกคิดร้ายก็คือ พระคุณเจ้าเทวทัต
เมื่อแผนการล้มเหลวจึงเข้าไปยื่นข้อเสนอห้าข้อ เช่น
ให้พระอยู่โคนต้นไม้เป็นนิตย์ห้ามอยู่ในที่มุมที่บัง
ห้ามฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต เป็นต้น พระพุทะองค์ไม่ทรงอนุญาตเพราะเห็นว่าเป็นการเข้มงวดเกินไป
ขอให้เป็นความสมัครใจของบุคคลดีกว่า อีกอย่างชีวิตพระต้องอาศัยผู้อื่นเลี้ยงชีพ
การจะเจาะจงว่าต้องฉันสิ่งนั้น ฉันสิ่งนี้ จะกลายเป็นคน
เลี้ยงยาก ไป
เทวทัตเธอก็ได้ทีขี่แพะไล่ทันที กล่าวว่าตนเสนอข้อปฏิบัติให้พระเคร่งครัด
พระพุทธองค์ผู้ตรัสสมอว่า สอนข้อปฏิบัติขัดเกลากลับไม่เห็นด้วย
จึงประกาศแยกตัวจากคณะสงฆ์ (เรียกว่าทำ สังฆเภท
ทำให้สงฆ์แตกกัน) มีพระบวชใหม่ไม่รู้ธรรมวินัยจำนวนหนึ่งตามไปอยู่ด้วย
แต่ไม่นาน พระสารีบุตรไป กล่อม กลับมาตามเดิม
หลังจากนั้น เทวทัตก็ป่วยหนัก สำนึกผิดให้ศิษย์หามไปจะกราบขอขมาพระพุทะองค์
ยังไม่ทันเข้าประตูพระเชตวัน ก็ถูกแผ่นดินสูบดิ่งลงอเวจีเสียก่อน
จบเรื่องราวอันน่าเศร้าของพระผู้ตั้งใจปฏิบัติดีในเบื้องแรก
แต่มาเสียคน เอ๊ย เสียพระในเวลาต่อมา เพราะลาภสักการะเป็นเหตุด้วยประการฉะนี้แล