วันเวลาปัจจุบัน 02 พ.ค. 2025, 00:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=8



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2020, 21:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2012, 08:47
โพสต์: 28


 ข้อมูลส่วนตัว


ร่างทับถม จมดิน สิ้นภพชาติ
ตัดไม่ขาด อาฆาตจิต คิดขุ่นแค้น
แม้นเกิดใหม่ ฉันใด ไม่เปลี่ยนแปลง
ขอตามแค้น ตามอาฆาต ทุกชาติไป


โพธิสัตว์ฉัททันต์

ครั้งทศพล ทรงสอน ผองเหล่าสัตว์
ให้สละ ตัดรอน ถอนหลงใหล
ขุดรากเหง้า เถากิเลส เหตุเภทภัย
เพื่อจิตได้ คลายเขลา เข้านิพพาน
มีอยู่ครา มหา มุนีตรัส
โปรดบริษัท ณ เชตวันวิหาร
หญิงนางหนึ่ง เห็นซึ้ง ถึงโทษกาม
ให้เกรงขาม คร้ามร่วง ห้วงอบาย
จึงอำลา อาวาส พากเพียรจิต
ไม่ข้องติด อามิสโลก โทษเหลือหลาย
บวชเถรี หนีกาม ความวุ่นวาย
เพื่อจุดหมาย คลายหลง ปลงนิวรณ์
เช้าจดค่ำ องค์ท่าน เฝ้าย้ำจิต
หมั่นดำริ ตริธรรม คำสั่งสอน
ยืนเดินนั่ง ท่านทำ ตามครรลอง
หวังรื้อถอน ผองบาป ขาดสิ้นไป
ภิกษุณี พลีใจ ให้ธรรมหมด
ปลีกเลี่ยงหลบ คบอยู่ หมู่สหาย
เข้าฌานพิศ จิตขันธ์ สรรพางค์กาย
บ่ท้อหน่าย คลายเปลี่ยน เพียรฝึกตน
แต่มีครั้ง คราท่าน นั่งสดับ
ฟังดำรัส อรรถธรรม ท่ามกลางสงฆ์
เกิดเผลอจิต พิศมอง จ้องพุทธองค์
ช่างงามสม งามสรรพ ประจักษ์จริง
พระรูปโฉม โนมพรรณ รำไพเพริศ
จ้าบรรเจิด เลิศใคร เกินชายหญิง
พระปุริสลักษณะ ประทับจินต์
พร้อมอนุพยัญชนะสิ้น ทั่วกายา
ยามประทับ พักองค์ บนธรรมาสน์
พระฉัพพรรณรังสีอาบ วาบนักหนา
พร่างระยับ วับวาว พราวนัยน์ตา
เกินจักหา ใดเทียบ เปรียบมุนินทร์
พระสำเนียง สุรเสียง จำเรียงเพราะ
ฟังเสนาะ เกาะใจ ให้ถวิล
ทุ้มกังวาน ปานพรหม ให้คนยิน
ทั่วหล้าสิ้น เสียงเทียบ เปรียบภูวไนย
จึงปรุงจิต คิดไป ในภพผ่าน
ถึงเมื่อกาล กัปปี มีบ้างไหม
เราเป็นบาทบริจา ข้าจอมไตร
ภาพหลังให้ ผุดเด่น เห็นทันที

มีอยู่ครั้ง สรรเพชญ เสด็จอุบัติ
เป็นจอมสัตว์ นามฉัททันต์ วรรณหัตถี
ครองเทือกสิงค์ หิมพานต์ นามคีรี
เปี่ยมศักดิ์ศรี กรีเจ้า เหล่าดำไร
ครั้งนั้นเรา เฝ้าคลอ นรการ
อยู่เคียงข้าง วาบหวามจิต พิสมัย
ออกเที่ยวท่อง ล่องเขา ลำเนาไพร
โตรกโขดเขิน เนินไศล สุขใจจริง
จึงกระหยิ่ม อิ่มใจ ให้ปราโมทย์
จิตสันโดษ พลันโลดออก นอกกรอบศีล
เปล่งหัวร่อ งอหาย ชอบใจจริง
ลืมตัวสิ้น ทิ้งวัตร สมณะชี
แล้วอยู่พลัน จิตท่าน กำลังสุข
ก็สะดุด ฉุกใจ ในโฉมศรี
อันภรรยา ทั่วหล้า บรรดามี
ยากเป็นศรี เป็นศักดิ์ ภัสดา
จึงเพ่งฌาน ควานค้น ถึงตนเล่า
ครั้งตามเฝ้า เจ้ากรี มีไหมหนา
เคยติโทษ โกรธท้าว เจ้าคชา
หรือคิดร้าย หมายฆ่า พร่าชีวัน
กาลบัดนั้น ท่านให้ วาบไหวจิต
ภาพความผิด ติดตา พาโศกศัลย์
นิมิตเด่น เห็นชัด ประจักษ์พลัน
ที่เคยพลั้ง พลาดจน ลงอบาย
ตนเคยใช้ ให้พราน ผลาญชีวิต
ด้วยทิฐิ ปิดตา พาฉิบหาย
ยิงศรพิษ ปลิดปลง องค์ดำไร
ตัดงาใหญ่ ไอยรา มาเชยชม
พอระลึก นึกย้อน อกร้อนเร่า
ยากบรรเทา ด้วยตนเขลา เศร้าขื่นขม
สุดจักขืน ฝืนใจ ไม่ระทม
น้ำรินหล่น ล้นตา หน้าจอมไตร
พุทธองค์ ทรงแสดง แย้มพระโอษฐ์
ไม่ตรัสโปรด โจษเอ่ย เฉลยไข
ถึงเถรี ทีท่า น่าอับอาย
สงฆ์ต่างใคร่ ได้ฟัง คำพระองค์
จึงพนม ก้มกราบ เอ่ยปากถาม
ถึงอาการ ท่าที มีฉงน
ของเถรี นางนี้ ที่ชอบกล
ขอพระองค์ ทรงแจ้ง แถลงความ

พระโลกนาถ ปราชญ์ธรรม ยินดำรัส
ทรงตอบกลับ ตรัสไข ในคำถาม
ถึงเถรี ที่ประหลาด ยากพบพาน
เดี๋ยวสรวลสันต์ ร่ำไห้ ไม่เข้าใจ
จึงทรงยก ชาดก เป็นบทกล่าว
ถึงเรื่องราว เล่าขาน นานเหลือหลาย
ย้อนภพชาติ มากกัป หากนับไป
มีช้างใหญ่ ครองไพร ในแดนดง
เหล่าหัตถี มีกัน แปดพันเชือก
คชาเผือก ผู้เกริกใหญ่ ในไพรสณฑ์
ทรงฤทธา กล้าเหลือ เหนือพารณ
เที่ยวสุขสม ดงแดน แคว้นหิมพานต์
โขลงมาตงค์ วนพัก ณ สระใหญ่
เหล่าดำไร ลงว่าย ริมชายน้ำ
สระกว้างยาว น้ำขาว พราวตระการ
แต่ละด้าน ห้าสิบสองโยชน์ โอบจดกัน
กึ่งกลางน้ำ หยั่งมิด สิบสองโยชน์
ไร้โตนด โคตรเหง้า เหล่าบัวผัน
พลิ้วระลอก กระฉอกซัด รับตะวัน
งามสีสัน พรรณราย ประกายแวว
ห่างขอบสระ ประปราย รายบงกช
ดอกสีสด งดงาม อร่ามแผ้ว
เหลืองม่วงแดง แซมขาว ดูพราวแพรว
ดุจดั่งแก้ว แววเด่น เปล่งประกาย
ถัดจงกล เหล่าอุบล ปนโกมุท
สวยผ่องผุด บุษบัน ช่างเฉิดฉาย
นิลปัทม์ สัตตบุษย์ ผุดเรียงราย
แผ่ขยาย หลายหลาก ยากเอ่ยนาม
ใกล้ตลิ่ง ริมขอบ รอบบึงใหญ่
มวลสาหร่าย รายริ้ว พลิ้วในน้ำ
ไหวตามคลื่น รื่นตา น่างดงาม
แพงพวยน้ำ หนามแขยง แซมคู่กัน
สันตะวา ไส้ปลาไหล ขาไก่ด่าง
ผักเป็ดน้ำ งามแดง แกมเขียวขำ
แว่นกะออม ผมหอม บอนหลากพันธุ์
โอนเอนหัน ผันลม ชมชื่นใจ

ขึ้นจากฝั่ง พรั่งพราว ยาวหนึ่งโยชน์
ป่าข้าวโพด ข้าวสาลี มีมากหลาย
ฝักเขียวนวล รวงหนัก งามจับใจ
ต้องลมไหว ไหลดังคลื่น ชื่นตาเพลิน
ถัดป่าข้าว ขาวแดง แตงฟักเขียว
เถาบิดเกลียว เกี่ยวกัน พันยุ่งเหยิง
ผลสุกดก หมกใบ ใหญ่เหลือเกิน
ไหลแดงเยิ้ม เผชิญแดด แตกเสียดาย
ติดไม้เถา ยาวไกล ไข่เน่าหว้า
กล้วยพุทรา พะวาปรู ดูหลากหลาย
จันมะซาง ลังแข แลมากมาย
เหลืองลูกหวาย รายร่วง ท่วมทับกัน
เหล่าไม้ผล ล้นเหลือ เอื้อเฟื้อสัตว์
ไม่อัตคัด ขัดใด ในไพรสัณฑ์
ท่องเที่ยวไพร ไร้ทุกข์ สุขประดัง
ดุจสวรรค์ เมืองแมน แดนหิมพานต์

เลยไม้ผล ดงไพร เขาใหญ่ลิบ
เป็นพืดติด ปิดกั้น เจ็ดชั้นขวาง
เทือกในสุด ผุดผ่อง เรืองรองงาม
เหลืองอร่าม นามสุวรรณ ปัสสคิรี
เหนือสระใหญ่ ไม่ห่าง ทางอีสาน
ไทรตระหง่าน ปานภู ดูสดสี
ต้องรำไพ ไสวพราว ราวมณี
ถือเป็นที่ กรีพัก พำนักกาย
ถัดร่มไทร นิโครธใหญ่ แผ่ใบก้าน
แลตระการ งามแดด แผดแสงฉาย
โคนเตียนโล่ง โปร่งรื่น ชื่นสบาย
คชมากหลาย คลายร้อน นอนพักกัน
ช่วงคิมหันต์ หรรษา ฟ้าสดใส
เหล่าดำไร ท่องไพร ใจสุขสันต์
กินไม้ผล ชมไม้ดอก หยอกล้อกัน
ร้อนเล่นน้ำ ธารขาว เสียงกราวเกรียว
ตกยามเย็น เห็นรวี รี่แสงจ้า
เจ้าโขลงพา พลพรรค พักไทรเขียว
แล้วเลี่ยงหลีก ปลีกตน มาองค์เดียว
ยืนโดดเดี่ยว เหลียวดู หมู่บริวาร
เย็นพระพาย ชายเฉื่อย ระเรื่อยอ่อน
ทิพากร รอนแดง แสงผสาน
สัตตบุษย์ หลุบดอก รอบสระงาม
ฟ้ามืดค่ำ ดื่มด่ำสุข ทุกราตรี

เข้าวัสสาน พักกาญจนคูหา
เหล่าคชา หน้าทุกข์ ไม่สุขี
นอนขดเสียด เบียดถ้ำ ชอกช้ำฤดี
อยากจักลี้ หนีท่อง ล่องพฤกษ์ไพร
จนปลายฝน ต้นหนาว ฟ้าขาวจ้า
เหล่าพังคา วารณ ระทมหาย
ได้ออกถ้ำ ย่ำดง พงพฤกษ์ไพร
ต่างสดใส ไร้ทุกข์ สุขฤดี
ป่าเบญจพรรณ เต็งรัง ประชันช่อ
ขาวลออ ช่อเต็ง เด่นนวลสี
เหลืองดอกรัง นั้นเล่า ก็เข้าที
ต่างแข่งสี แข่งตระการ งามเคียงกัน
สิ้นเหมันต์ กลีบรัง เริ่มคล้ำแตก
แดงบานแยก แปลกตา คราลมผัน
ปลายงอนช้อย ห้อยเห็น เช่นระฆัง
หลุดขั้วคว้าง เคว้งพลิ้ว ลิ่วตามลม
เหล่าคชา หน้าบาน ถึงกาลสนุก
ไม่เจ่าจุก รุดเฝ้า เจ้าไพรสณฑ์
แจ้งดำไร ไอยรา พาพวกตน
เล่นกีฬาดอกรังหล่น หมุนลมปลิว
ท้าวคชินทร์ ยินคำ ดำรีว่า
ไม่รอรา ยาตรา นำหน้าลิ่ว
เหล่าบริวาร ตามชิด ติดเป็นทิว
แลลิบลิ่ว ริ้วขบวน ชวนเพลินมอง
ขวามหา สุภัททา สง่าสาง
ซ้ายไม่ห่าง จุลลภัททา ภรรยาสอง
บาทบริจา ชายา เจ้ากุญชร
คู่สมร สองกรินี ศรีวารณ
ดูแฉล้ม แช่มช้อย หยดย้อยยิ่ง
เกินกรินทร์ ถิ่นใด ในไพรสณฑ์
ย่างอิงแอบ แนบข้าง ไม่ห่างองค์
ช่างงามสม องค์ท้าว เจ้าพังคา

ถึงมณฑล ดงรัง อันใหญ่กว้าง
ดอกรังลาน ตาว่อน ล่องเวหา
ต้องลมหนุน หมุนติ้ว พลิ้วไปมา
ร่อนถลา พาเพลิน เจริญใจ
เหล่ามาตงค์ ดมไร ใคร่ผลุนผลัน
พุ่งชนรัง ดันโคน ต้นโอนไหว
ดอกหลุดพวง ร่วงร่อน ว่อนพฤกษ์ไพร
แล้ววิ่งไล่ ให้สนุก สุขอุรา
โพธิสัตว์ ฉัททันต์ ครั้นแลเห็น
เหล่ากเรนทร์ นาเคศ ชายเนตรหา
จึงย่างเท้า ก้าวล้ำ ภรรยา
เดินเข้าหา พฤกษาแกร่ง เจ้าแห่งรัง
ครั้นถึงหน้า พญาไม้ รายใบตก
ราชาคช วกพักตร์ มองกลับหลัง
เหล่าพลายสาร พลางพยัก หน้ารับพลัน
เจ้าไพรหัน ถลันมุ่ง พุ่งเข้าชน
เสียงลั่นดัง รังไกว ใบกิ่งร่วง
ช่อดอกพวง ควงว่อน ร่อนสับสน
ดอกหมุนติ้ว ลิ่วหา เหล่ามาตงค์
เกิดสับสน พงไพร ไปทั่วพลัน
หลังเบิกฤกษ์ เปิดงาน การละเล่น
เหล่ากเรนทร์ นาเคนทร์สาง ต่างหฤหรรษ์
เที่ยวพุ่งชน ต้นไม้ รายรอบกัน
ร้องสนั่น ลั่นป่า น่าเพลินใจ
แต่คราที่ กรีท้าว เจ้าไพรสัณฑ์
พุ่งชนรัง มดแดงพลัน ระส่ำระสาย
ตกกายา ชายารอง หมองระคาย
เนื่องอยู่เหนือ ลมไพร ร่วงใส่พอดี
ส่วนเกสร ละอองไม้ กระจายพลิ้ว
ลอยละลิ่ว ปลิวลม พรมโฉมศรี
ชายาใหญ่ ให้อร่าม งามเหลือดี
เหล่าหัตถี กรีผอง ร้องก้องไพร
อนุรอง มองเห็น เข่นเขี้ยวโกรธ
ลืมตัวโทษ โกรธา ไอยราใหญ่
รักเมียหลวง ห่วงหา เฝ้าอาลัย
เมียรองไม่ สนใจ ไยดีกัน
จึงจดจำ ฝังแค้น แน่นดวงจิต
มากทิฐิ ปิดตา พาหุนหัน
ไม่ไต่ถาม ความนัย อย่างไรกัน
ด่วนสะบั้น ไมตรี ที่มีมา

ล่วงเดือนห้า หน้าแล้ง ป่าแห้งหมด
ไม่สวยสด ซบเซา เหล่าพฤกษา
ต้องแดดเผา เฉาไหม้ ไร้ชีวา
มวลช้างป่า พาฝูงเปลี่ยน เวียนสระงาม
บ้างหลบแดด แทรกก่าย ใต้เงากร่าง
บ้างเบิกบาน สนานชล ลงเล่นน้ำ
บ้างหมอบจ้อง ภมรดอม ดอกพลองงาม
บ้างเกียจคร้าน พานซุก คลุกโคลนตม
ท้าวฉัททันต์ ดำองค์ ลงสรงว่าย
ธารน้ำไหล ใสงาม กลางไพรสณฑ์
เคียงดมไร ใหญ่รอง ทั้งสององค์
เพลินสุขสม จนควร ชวนขึ้นกัน
ยืนโขดหิน ผินมอง ผองพวกหมู่
มีโฉมตรู คู่กาย ใจสุขสันต์
เห็นบริวาร สนานสุข สนุกกัน
จึงสรวลสันหรรษา หาใดเกิน
ฝ่ายสองพัง ภรรยา คชาเจ้า
ต่างคอยเฝ้า ก้าวตาม ไม่ห่างเหิน
คลอแนบชิด ติดข้าง ทุกย่างเดิน
ยิ่งขับเสริม เพิ่มศักดิ์ เจ้าฉัททันต์
ครานั้นมี ดำรี ที่ใจหาญ
ดำสระงาม หว่างพง ดงบุหงัน
โผล่ทะลึ่ง ขึ้นปะ สัตตบรรณ
บานสีสัน ประชันแข่ง แกว่งลมไกว
ดอกหนึ่งเห็น เด่นงาม หวาบหวามจิต
เจ็ดกลีบผลิ ปริบาน งามสดใส
เจิดจรัส วับสี มีประกาย
กชทั้งหลาย กลายหมอง รองอุบล
เจ้าพลายเห็น เผ่นพุ่ง มุ่งเข้าหา
ว่ายธารา ฝ่าไป ใจสุขสม
ตั้งใจเด็ด เก็บให้ เจ้าไพรชม
ถึงเหนี่ยวโน้ม งวงถอน ประคองมา
แล้วขึ้นฝั่ง ตรงยัง ฉัททันต์เจ้า
พังคาเข้า เฝ้าหมอบ มอบบุปผา
นาเคศวร ยื่นงวงรับ ปัทมา
คชปรีดา หน้าใส ไกลจากจร
หลังรับดอก บัวบาน พลายสารเจ้า
ยกเหนือเกล้า งวงยาวชู พรูเกสร
ร่วงโปรยพรม บนตัว หัวกระพอง
เหลือดอกหอม กุญชรให้ เมียใหญ่เชย
อนุรอง มองพลาง ร้าวรานจิต
ครุ่นดำริ คิดแค้น แสร้งทำเฉย
รักเมียใหญ่ ไม่เหลือ เผื่อตนเลย
ปากไม่เผย เอ่ยไป ใจจดจำ

แล้ววันหนึ่ง ถึงครา บรรดาสัตว์
จะได้สะ สมทาน สร้างทางสวรรค์
มีหมู่สงฆ์ ธุดงค์ชัฏ พักแรมกัน
ปักกลดข้าง สระใหญ่ ใกล้นที
ท้าวฉัททันต์ ครั้นทราบ เอิบอาบจิต
หวังคติ ปิดอบาย ตายสุขี
หากถวาย ผลไม้ ให้มุนี
จึงป่าวร้อง ชวนน้องพี่ ทำดีกัน
เหล่าพหล พลช้าง เบิกบานยิ่ง
พากันวิ่ง เข้าไพร ใจสุขสันต์
เก็บผลหมาก รากไม้ รายรอบพลัน
อึกทึก คึกลั่น สนั่นไกล
ทั้งกล้วยหอม งอมเหลือ เนื้ออร่าม
อ้อยมะปราง ลางสาด มากเหลือหลาย
ทั้งเผือกมัน ฝรั่งหม่อน กองเรียงราย
แตงลูกหวาย มะไฟหวาน บานพะเนิน
ท้าวพารณ คนมะซาง ด้วยน้ำผึ้ง
เคล้าผิวคลึง ซึมผ่าน รสหวานเพิ่ม
แล้วกอบใส่ ใบบัว ทูนหัวเดิน
สองนางเสริม ผลาผล ขนตามไป
ฝูงดมไร ไอยรา พากันรุด
ไม่ซนซุก หลุกหลิก ผิดวิสัย
มุ่งพำนัก ที่พักสงฆ์ ธุดงค์ไพร
ดูยิ่งใหญ่ โอฬาร ตระการตา
ถึงสระใหญ่ ใจพอง มองภิกษุ
เจ้าไพรหยุด ทรุดยอบ นอบเกศา
เหล่าบริวาร ผสานตาม สารราชา
ต่างก้มหน้า น้อมเศียร เตียนติดดิน
เจ้าจุลล สุภัททา ภรรยาสอง
ตั้งจิตปอง น้อมตรง องค์ทรงศีล
ขออานิสงส์ ผลทาน เป็นตามจินต์
ชีพแดดิ้น สิ้นใจ ครรไลลา
แม้นเกิดใหม่ ให้จง สมความคิด
หลังจุติ ปิดอบาย ไกลทุกขา
เกิดในพงศ์ วงศ์ศักดิ์ กษัตรา
มีชื่อว่า สุภัททา กัลยาณี
ครั้นเติบใหญ่ ให้งาม ตระการโฉม
ใครยินยล ชมคำ โจษจันศรี
เป็นที่รัก ประทับใจ ไพร่ผู้ดี
เจ้ากาสี ธานีใหญ่ ให้โปรดปราน
นับแต่นั้น พังเจ้า ไม่เฝ้าติด
ตามสนิท ชิดเคล้า เจ้าช้างสาร
ไม่ดื่มกิน ไม่สุงสิง บริวาร
วันคืนผ่าน สังขารรูป ซูบซีดไป
จนวันหนึ่ง ฟ้าครึ้ม ซึมผิดแปลก
วังเวงแทรก แนบเศร้า เหงาไฉน
เหมือนเป็นลาง บันดาลเหตุ แห่งเภทภัย
ผืนป่าใหญ่ เงียบเหลือใจ ไปทั่วกัน
กรินีนิ่ง สิ้นใจ ในที่สุด
ล้มหมอบทรุด ฟุบดิน สิ้นอาสัญ
ชีพสลาย แตกตาย วายชีวัน
ไร้คู่ขวัญ ลำพังตน ในดงแดน
ร่างทับถม จมดิน สิ้นภพชาติ
ตัดไม่ขาด อาฆาตจิต คิดขุ่นแค้น
แม้นเกิดใหม่ ฉันใด ไม่เปลี่ยนแปลง
ขอตามแค้น ตามอาฆาต ทุกชาติไป

ปีวันเลื่อน เคลื่อนผ่าน กาลหมุนเปลี่ยน
สุขทุกข์เรียง เวียนกลับ เกิดดับสลาย
เคยทุกข์ทน พลันพ้นทุกข์ สุขสบาย
เคยเฉิดฉาย กลายพลาด ยากฝืนกรรม
สิ้นจุลล สุภัททา ภรรยาสอง
เจ้ากุญชร นองน้ำตา พาโศกศัลย์
เฝ้าคำนึง ถึงคู่ เคยอยู่กัน
ตรมชอกช้ำ วันผ่าน ก็สร่างไป
ณ ธานี บุรีเขต ประเทศราช
ดารดาษ หลากชน ปนหลั่งไหล
สู่สรุก สุขแสน แดนอำไพ
พราหมณ์ศูทรไพร่ ไร้ทุกข์ สุขสำราญ
กิจการ ร้านค้า แน่นหนายิ่ง
ทั้งของกิน ของใช้ ให้ล้นหลาม
ทั้งภูษา อาภรณ์ มองละลาน
เครื่องจักสาน ลายครามเงิน เกินจำนรรจ์
เจ้ามัททะ กษัตรา ราชาใหญ่
ทรงเห็นใจ ผองไพร่ ได้สุขสันต์
ไม่ตึงเคร่ง เค้นส่วย เอื้ออวยกัน
ทั่วเขตขัณฑ์ ร่ำลือ ระบือไกล
ยิ่งใกล้ครบ ทศมาส คาดครรภ์คลอด
ทรงประกอบ ครอบคลุม บุญมากหลาย
ตั้งโรงทาน ประทานทรัพย์ สลับไป
ไพร่หน้าใส ชื่นใจ ไปทั่วกัน
ครั้นถึงฤกษ์ เบิกฟ้า ชายาประสูติ
ธิดาผุด ผ่องงาม ดังนางสวรรค์
ทั่วนคร โห่ร้อง แซ่ซ้องกัน
นามลือลั่น สุภัททา กุมารี
เมื่อเติบใหญ่ วัยสาว ราวสิบห้า
พระบิดา พาเฝ้า เจ้ากาสี
ถวายตน ปรนนิบัติ คอยพัดวี
องค์ภูมี ปรีดิ์ปลื้ม ชื่นฤทัย
นั่งเคียงคู่ ภูวดล สนมเอก
ใต้เศวต ฉัตรงาม เคียงข้างไท้
มีอำนาจ มากล้น สนมใด
หมื่นหกพัน นางใน ใต้บัญชา
ซ้ำแรงคิด อธิษฐาน วายปราณจิต
ก็สัมฤทธิ์ นิมิตเห็น เด่นนักหนา
อดีตชาติ มากเศร้า ร้าวอุรา
องค์ชายา พาโกรธ โทษฉัททันต์

จึงวันหนึ่ง ให้ถึง ซึ่งโอกาส
โฉมพิลาส มากแสร้ง แกล้งโศกศัลย์
อ้างเป็นไข้ ใจรุ่ม กลุ้มจาบัลย์
เอาน้ำมัน ทากาย หมายหลอกไท
องค์ราชัน ฟังคำ กำนัลกล่าว
อกร้อนราว ไฟลน ทนไม่ไหว
รีบย่างองค์ ตรงหา ยอดยาใจ
หวังเฝ้าไข้ ใกล้พธู ดูอนงค์
ถึงตำหนัก ตรัสถาม อาการสมร
ไยบังอร นอนไข้ ไม่สุขสม
ผิวเหลืองแปลก แผกไป คนละคน
ให้ฉงน นงพะงา ล้าอ่อนแรง
ท้าวสนม บรรทม บนไสยาสน์
แค่เอ่ยปาก ยากยิ่ง ประวิงแกล้ง
พูดสำเนียง เสียงกระเส่า เล่าสำแดง
บอกแถลง แจ้งเหตุ อาเพศไป
เมื่อคืนน้อง นอนฝัน อัศจรรย์เหลือ
ยากคนเชื่อ เมื่อฟัง คำบอกไข
เกิดความอยาก มากประมาณ เกินห้ามใจ
ถ้าไม่ได้ ใคร่ตาย วายชีวี
แถมเจ้าครรภ์ พลันกำเริบเสิบสานซ้ำ
แพ้ประดัง จำเพาะ เหมาะเหลือที่
ช่วยกันรุม สุมน้อง รุ่มร้อนทวี
อยากจักลี้ หนีหน้า ลาจากไกล
แม้ไม่สม อารมณ์ ระทมคิด
น้องคงจิต ปลิดดับ ชีพตักษัย
ใจคับข้อง หมองเหงา เฉาแห้งตาย
แหลกสลาย อย่าหมายคืน ฟื้นชีวี

ธรณินทร์ ยินคำ รำพันกล่าว
ให้ตาวาว เฝ้าจำ คำมารศรี
แพ้ครรภ์ท้อง ร้อนรุ่ม กลุ่มฤดี
จึงยินดี ปรีดา หน้าบานครัน
โอ้นงเยาว์ เจ้าแพ้ท้อง หรือน้องพี่
ยุพดี ศรีไผท ไอศวรรย์
เจ้ามีเชื้อ หน่อเนื้อพงศ์ วงศ์เทวัญ
ในกายนั้น ช่างดีเลิศ ประเสริฐจริง
จึงตรัสถาม อาการแพ้ แลความฝัน
เกี่ยวข้องกัน ฉันใด ไยโฉมฉิน
จึงนอนซม อมไข้ ไม่ยอมกิน
ขอยุพิน ผินหน้า บอกมาที

โฉมนงราม ฟังความ ภูบาลตรัส
ทำกระสับกระส่าย บ่ายหน้าหนี
ให้ลำบาก ยากเอ่ย เผยวจี
แพ้ครรภ์นี้ มีประหลาด หากบอกไป
ก่อนเล่าขาน น้องใคร่ถาม ถึงพรานป่า
ทั่วอาณา กาสี มีเพียงไหน
ขอทรงสั่ง บัญชา มาเร็วไว
จึงจักได้ เผยไป ให้ทราบกัน
ภูวไนย ได้ฟัง พลันสงสัย
แต่เร่งไป เพราะใจ ใคร่ทราบฝัน
ตรัสบัญชา ข้าไท้ ให้รวมกัน
บอกแถลง แจ้งคำ กัลยาณี
เหล่าข้าบาท ประหลาดฟัง พระบรรหาร
รีบสั่งการ ตามบัญชา เจ้ากาสี
ทั่วแว่นแคว้น แดนวัน อารัญมี
แจ้งวจี ภูบดี มีบัญชา
ให้ผองพราน ชำนาญดง พงไพรศรี
ทั่วธาษตรี บุรีครอบ รอบทิศา
ทุกชนเผ่า รีบเข้า เฝ้าราชา
กันพร้อมหน้า เจ็ดวันมี จากนี้ไป
ผู้ใดขืน ฝืนขัด ดำรัสสั่ง
ให้โบยหลัง ขังรวม ตีตรวนใส่
ทรมาน งานโยธา เป็นข้าไท
ขออย่าได้ เนิ่นช้าไป ให้รีบมา
หลังแถลง แจ้งราช โองการ
เหล่าผองพราน ชำนาญไพร ใจผวา
จัดเสบียง เตรียมการ ตามบัญชา
มารวมกัน ยังหน้า ศาลาลาน
แล้วเคลื่อนพล ตรงมา พาราหลวง
หลากขบวน รวมวัย ให้ล้นหลาม
ทั้งหนุ่มอ่อน ค่อนแก่ แต่ชำนาญ
เรื่องอารัญ วันพนา ป่าพนอง
ถึงกำหนด ครบกาล พรานพร้อมพรั่ง
แออัดนั่ง ลานเต็ม เห็นสลอน
บรรณารักษ์ นับแถว ทุกแนวตอน
อำมาตย์พร้อม น้อมบอก ยอดพรานไพร
หลังรวบรวม จำนวนพราน ตามดำรัส
ยอดประจักษ์ นับยาก มากเหลือหลาย
หกหมื่นพร้อม น้อมฟัง รับสั่งไท
ขอทรงได้ ทัศนา หน้าบัญชร
องค์ราชัน ครั้นทราบ เอิบอาบนัก
เสด็จตำหนัก เทวี ศรีสมร
เข้าตระกอง ประคองนำ ยังบัญชร
เชิญเนื้ออ่อน มองพราน ตามสบาย

เมื่อนั้น….ท้าวสนม สมจิต พิศพรานเถื่อน
ชายตาเลื่อน เอื้อนความ ยามหลับใหล
ฝันเห็นช้าง งามสง่า เจ้าป่าไพร
งางอนใหญ่ ไร้คราบ ปราศมลทิน
เรืองรองวาว พราวประกาย เลื่อมพรายพิศ
หกชนิด พิสดาร เกินช้างถิ่น
ทั่วไผท ไร้เทียบ เปรียบคชินทร์
เหล่าทรัพย์สิน สิ้นหล้า ไร้ค่ายล
แม้ไม่ได้ ครอบครอง สองงาคู่
ใจหดหู่ อยู่ไป ไม่สุขสม
ยากจักขืน ฝืนขันธ์ ตั้งดำรง
คงไม่พ้น ตรมตาย วายชีวา
องค์ภูมินทร์ ยินคำ รำพันไห้
ให้ร้อนใจ ใคร่ปลอบ ถอดสีหน้า
มองโฉมฉิน ผินพักตร์ หันกลับมา
ประกาศกล้า หน้าพราน ชำนาญไพร
เจ้าทั้งมวล ล้วนฟัง คำสั่งข้า
ใครได้งา มอบภรรยา ของข้าได้
จักประทาน รางวัล ตามดังใจ
อยากจักได้ สิ่งใด ให้บอกมา
กามสมบัติ อัครค่า ทั่วหล้านั้น
ข้ากำนัล ปันให้ ไม่กังขา
ทั้งแก้วแหวน แดงปลั่ง สุวรรณา
ทาสช้างม้า นาสวน ล้วนเลือกเอา
เหล่าพรานไพร ได้ฟัง พลันฝันหวาน
วาดวิมาน มีบ้านโต โอ่คนเขา
มีเงินทอง กองเรือน เกลื่อนวับวาว
ช่างยั่วเย้า ใจยิ่ง กว่าสิ่งใด
จึงเอ่ยถาม นามกรินทร์ ถิ่นพำนัก
ว่าอยู่ชัฏ พนัสภู คูหาไหน
แคว้นกาสี หามีสาร ดั่งคำไท
ขอจอมไท้ วานบอก ทรงตอบที

เมื่อนั้น โฉมงามฟังพราน เอ่ยถามถิ่น
เจ้าคชินทร์ มิ่งคชา พนาศรี
จึงเพ่งมอง ผองพราน เบื้องล่างมี
หาผู้ที่ มีพักตร์ ดูขัดตา
เนื่องเจ้าชั่ว ทั่วร่าง กลางพรานหมู่
เคยเป็นผู้ คู่เวร จ้องเข่นฆ่า
เจ้ากุญชร คล้องกรรม ผูกพันมา
จักอาสา ราชัน บุกบั่นดง
แล้วนงเยาว์ สะดุดเข้า เจ้าพรานหนึ่ง
จ้องถมึง ขึงตา ท่าฉงน
เท้าใหญ่งุ้ม ตะปุ่มตะป่ำ ช่างพิกล
เคราแดงล้น พ้นหน้า ตาเหลือกโปน
ท้าวสนม สมจิต พิศอยู่ครู่
จ้องมองดู ศัตรูสาร พลางสุขสม
แล้วชี้หัตถ์ ตรัสพา มาชั้นบน
ยังตำหนัก บรรทม องค์ชายา
ฝ่ายพรานเถื่อน เบือนมอง จ้องเปะปะ
เห็นนางตรัส หัตถ์ชี้ ที่ไหนหวา
ไอ้คนไหน พรานใด ให้สงกา
ทั่วผืนป่า ข้าก็แน่ ไม่แพ้ใคร
ครั้นเห็นยาม ยืนทวาร เยื้องย่างหา
มองสบตา กายา พาสั่นไหว
เกิดหวาดหวั่น พรั่นจิต ผิดกระไร
พอยามไข หายข้อง ต้องอุรา
ให้พาเขา เข้าวัง ฟังรับสั่ง
อย่างงงัน ทำซื่อ ทึ่มทื่อหนา
ลุกเร็วไว รีบกราย ย้ายย่างมา
ขืนชักช้า จักหาเศียร เปลี่ยนไม่ทัน
เจ้าพรานไพร ใจชื้น ระรื่นยิ้ม
ลุกขึ้นวิ่ง ตามยาม อย่างสุขสันต์
หัวบานเถิก เบิกตามอง ผองเพื่อนกัน
แบะปากหยัน พลันห้อ หัวร่อไป

ถึงทวาร มีนงราม ตามเสด็จ
บอกชั้นเจ็ด ภูเบศรอ พ่ออย่าสาย
พรานงกเงิ่น เดินตาม นางขึ้นไป
พบห้องใหญ่ ไหวหวั่น สั่นฤดี
เห็นธเรศ เนตรมอง จ้องเขม็ง
ตาวาวเด่น เปล่งอำนาจ ราชสีห์
ครั้นสบพักตร์ ธ ตรัส ทักทันที
เจ้าผู้นี้ นี่ฤาพราน ชำนาญไพร
ข้าขอถาม นามระบือ ชื่อออเจ้า
เรียกใดเล่า เผ่าประยูร ตระกูลไหน
จึงอัปลักษณ์ ขัดตา กว่าผู้ใด
เหตุไฉน ดูแผก แปลกนัยน์ตา
พรานรูปชั่ว กลัวก้ม บังคมกราบ
แทบสองบาท ปากตอบ บอกพงศา
โสณุดร น้อมไหว้ ไท้ราชา
คือนามข้าพระพทุธเจ้า เผ่าพรานไพร
ขอพระองค์ ทรงเปรย เผยหลักแหล่ง
เจ้าพลายแกร่ง แข็งกล้า อยู่ป่าไหน
เกล้าจักบุก รุกฝ่า ตามล่าไป
ตัดงาใหญ่ ให้เทวี ศรีสุดา
ภูวไนย ได้ฟัง พลันผินพักตร์
เอ่ยโอษฐ์ตรัส กับยาจิต ขนิษฐา
ขอแม่บอก ตอบแหล่ง แห่งคชา
ว่าอยู่ป่า พนาใด ในธาษตรี
พี่จะใช้ ให้พราน ชำนาญดง
ออกดั้นด้น ค้นหา ทั่วกาสี
ทุกพนา คูหา ภูผามี
เพียงบอกพี่ เทวี ศรีสุดา

องค์โฉมฉิน ยินคำ พลันเยื้องย่าง
ยืนหน้าต่าง หว่างช่อง จ้องภูผา
แล้วตรัสให้ ไพร่พราน คลานเข้ามา
ชี้เบื้องหน้า สุดตาลิบ ทิศอุดร
ถัดเขตแดน แคว้นนี้ มีดงป่า
ใต้อาณา พารณะ อดิศร
เป็นสถาน ตระการตา น่าเพลินมอง
เจ็ดเขาห้อม ล้อมมิด ปิดนัยน์ตา
เทือกสุดท้าย พรรณราย เลื่อมพรายส่อง
แววเรืองรอง ทองประกาย บนไหล่ผา
สวยอร่าม งามตรึง ซึ้งอุรา
นามภูผา สุวรรณ ปัสสคิรี
สูงใหญ่ล้ำ ค้ำฟ้า ท้าเวหน
กว่าพนม หนใด ในกาสี
มีกินนร มกรม้า สัมพาที
คชสีห์ อินทรีย์หงส์ ปะปนกัน
สัตว์หลายหลาก มากล้น พิกลแปลก
แฝงตัวแยก แทรกกาย ในไพรสัณฑ์
ต่างสดใส ไร้ทุกข์ สนุกกัน
เพลินสุขสันต์ หรรษา ท่องป่าไพร
มวลหมู่ไม้ หลายหลาก มากชนิด
ดูวิจิตร ผลิงาม อร่ามไสว
ชูช่อดอก ออกผล เกลื่อนกล่นไป
กลิ่นรสไซร้ ให้ไกล ไปจากเรา
ณ ยอดผา คูหาทอง กินนรพัก
ถ้ำพำนัก กระจัดกระจาย รายยอดเขา
สูงเสียดจน ชนฟ้า นภาพราว
เหนือยอดเขา วาวรุ้ง รุ่งโรจน์เรือง
ใต้เชิงผา สง่าเด่น เห็นไทรใหญ่
ใบประกาย เลื่อมคราม งามใดเหมือน
แผ่กิ่งก้าน ย่านพราง ดูลางเลือน
เปรียบเสมือน เครื่องคั่น กั้นนัยน์ตา
เจ้าพารณ ดมไร ผู้ใหญ่ยิ่ง
ครอบครองถิ่น หิมพานต์ งามใดหา
พาโขลงเที่ยว เทียวไพร สบายอุรา
เหนื่อยก็พา ฝูงพัก พำนักไทร
มีทันติน คชินทร์สาง ล้นหลามเฝ้า
งาใหญ่ยาว ขาวอ่อน เท่างอนไถ
แปดพันเป็น เช่นยาม ไม่ห่างไทร
กันมิให้ ผู้ใด ใกล้ฉัททันต์
เหล่ามาตงค์ วนเปลี่ยน เยี่ยงทหาร
ป้องภัยพาล พรางแอบ แทรกไพรสัณฑ์
ก้องเกรี้ยวกราด ตวาดขู่ จู่โจมพลัน
เหยียบขย้ำ ตามขยี้ ไพรีกราย
ขรัวพรานไพร ได้ฟัง พลันเหงื่อท่วม
คิดทบทวน ถ้วนที ฤดีหาย
เหมือนเลาะผา ตาบอด ใคร่ถอดใจ
คงลับหาย ตายเดียว เปลี่ยวเอกา
จึงร่ำไห้ พิไรวอน องค์อ่อนไท้
เหตุอันใด เงินทอง ไม่ปองหา
เพชรมณี สีงาม ไม่นำพา
กลับใฝ่หา แต่งานาค ยากสมใจ

ลำดับนั้น เทวี มีดำรัส
เล่าตามสัตย์ ตรัสความ พรานสงสัย
ย้อนภพชาติ มากแค้น ฝังแน่นใจ
ครั้งคชใหญ่ ทำลาย น้ำใจนาง
ในครานั้น ฉัททันต์ ทำช้ำเหลือ
ไม่จุนเจือ เบื่อเรา เคล้านางสาง
เพียงมหา สุภัททา คชาธาร
ทิ้งเราคว้าง เคว้งเศร้า เฝ้าตรอมใจ
จนโชคหนุน บุญพา วาสนาส่ง
มีเหล่าพงศ์ วงศ์พุทธะ คณะใหญ่
เที่ยวแรมรอน นอนค้าง ไม่ห่างไทร
กรีน้อยใหญ่ ดีใจ ได้ทำบุญ
แลครั้งนั้น เราตั้ง มุ่งมั่นจิต
หน้าอามิส อุทิศทาน อภิบาลหนุน
ขอบุญนำ อำนวย ช่วยเจือจุน
แก้แค้นสุม รุมใจ ให้ได้เทอญ
เหตุฉะนั้น พรานท่าน อย่าพรั่นจิต
ปลุกความคิด พลิกใจ ให้ฮึกเหิม
ออกดั้นด้น ดงป่า ฝ่าดำเนิน
อย่าช้าเนิ่น เร่งเดินทาง ตามคชินทร์
หากพิฆาต นาคสาร ล้มช้างได้
ข้าจักให้ ไพร่ทาส มากทรัพย์สิน
เรือกสวนไหน ใจชอบ มอบทำกิน
พร้อมส่วยสินไหมนา ห้าตำบล
พรานเถื่อนฟัง ดำรัส ตรัสบอกกล่าว
ให้ตาวาว ขาวเหลือก เกือบถลน
ปากอ้าหวอ ฟันหลอโผล่ โอ่อวดคน
รีบผสมผเสตาม นางบัญชา
จึงถามองค์ นงราม งามเลิศลักษณ์
กิจวัตร ดำรี มีใดหนา
เช้าสายเป็น เช่นไร วานไขมา
เกล้าจักหา เวลา ฆ่าปลิดปลง
ท้าวสนม สมจินต์ ยินพรานถาม
กำหนดการ ยามท่อง ล่องไพรสณฑ์
แลยามหลับ พักบ่าย คลายร้อนรน
ของเจ้าโขลง มาตงค์ เป็นกลใด
จึงบอกพราน ชำนาญดง พงพนัส
ถึงข้อวัตร หัสดี มีไฉน
สายท่องหา อาหาร สำราญใจ
ลงสระใหญ่ บ่ายอ่อน คลายร้อนรน
หลังขึ้นสระ พักไทร จวนใกล้พลบ
ราชาคช หลบเลี่ยง เสียงสับสน
ยืนเดียวดาย ไกลหมู่ อยู่เพียงตน
ไร้พหล พลพรรค พิทักษ์กาย
เพลานั้น ท่านจึง ถึงโอกาส
เข้าพิฆาต ปลาตลี้ หนีหลบหาย
พ้นนี้หมด สบโอกาส ยากกล้ำกราย
จักอุบาย ลวดลายใด ให้คิดเอา

เมื่อนั้น..พรานไพร ไตร่ตรอง ตาพองคิด
ครุ่นดำริ เหลี่ยมคู ดูไม่เขลา
ต้องขุดหลุม ซุ่มดิน ลอบยิงเอา
ใกล้ลานท้าว เจ้าคชา คราผึ่งกาย
ครั้นนาเคศ ผู้เอกหนึ่ง ยืนผึ่งน้ำ
น้ำเป็นทาง ลามดิน แผ่รินไหล
ร่วงจากกาย พลายตก หยดดินไป
หล่นใส่หัว ข้าเมื่อไร ได้ตายพลัน
จึงยิ้มร่า หน้าบาน ลนลานหมอบ
คุกเข่าตอบ บอกเจ้านาง จางโศกศัลย์
เกล้าสัญญา ได้งา มากำนัล
โปรดสรวลสันหรรษา ตั้งท่าคอย
พระเทวี ดีใจ ให้คลายเศร้า
กระปรี้กระเปร่า ทุเลาขึ้น ไม่ซึมหงอย
ประทานทรัพย์ นัดพราน เตรียมการคอย
เจ็ดวันคล้อย ค่อยเข้า เฝ้าอีกครา

หลังส่งพราน เจ้านาง พลางรับสั่ง
ให้เหล่าช่าง หนังเหล็ก หลอมเหล็กกล้า
เป็นอาวุธ ยุทธภัณฑ์ พร้อมนำพา
เลื่อยขวานพร้า คมกล้า ฝ่าป่าไพร
ถุงหนังใหญ่ ใส่สัมภาระหนัก
วางแถวจัด มัดจุก กันหลุดไหล
ถุงมือหนัง เชือกหนัง ตั้งเรียงราย
เสบียงพร้อม กองไว้ ให้ลานตา
ได้กำหนด ครบกาล พรานเข้าเฝ้า
โกนผมเผ้า เคราจอน พร้อมอาสา
ดูแข็งแกร่ง แรงเหลือ เมื่อสบตา
องค์ชายา พาชื่น รื่นเริงใจ
แล้วตรัสให้ นางใน ไปนำผ้า
เหลืองจับตา สง่าชม ชนหลงใหล
กาสาวพัสตร์ ตัดเสื้อ เพื่อพรานไพร
ไว้สวมใส่ ในครา ฆ่าฉัททันต์
ซ้ำตรัสย้ำ กำชับ กับพรานเถื่อน
อย่าลืมเลือน เตือนพลาด อาจอาสัญ
ใส่เสื้อพร้อม ก่อนเจ้า เข้าประจัน
รำลึกมั่น จำไว้ ให้สังวร
พรานบังคม ก้มกราบ ถอยจากลุก
พร้อมจะบุก รุกฝ่า ป่าสิงขร
ยกถุงหนัง หันกาย ชายตามอง
รายเรียงล้อม บริวาร ชำนาญไพร
ได้ฤกษ์พลัน ปากลั่น จรัลเคลื่อน
เหล่าชาวเมือง เลื่องลือ อื้ออึงใหญ่
ขบวนเกวียน รายเรียง เสียงเอ็ดไป
ผ่านนิคม น้อยใหญ่ ให้โจษจัน
จนสุดถิ่น ดินแดน แคว้นกาสี
เห็นคิรี มีประหลาด มากสีสัน
จึงหยุดเกวียน เสบียงลง คนแบกกัน
สู่ราวไพร ไม่พรั่น ดั้นด้นไป

ผ่านทุ่งใหญ่ ไผ่แฝก แพรกป่าแขม
ป่าไม้แก่น ไม้เปลือก แทรกเสือกไส
ผ่านป่าชัฏ ลัดใต้ หนามหวายไป
ถึงเขาใหญ่ ไต่ทอย ขึ้นดอยพลัน
(ภูเขาจุลลกาฬ) ข้ามจุลล มหากาฬ นามบรรพต (ภูเขามหากาฬ)
(ภูเขาอุทกปัสส) ข้ามอุทก ปัสสได้ ให้ใกล้ฝัน
(ภูเขาจันทปัสส) ข้ามจันท สุริยภู สู้ทนกัน (ภูเขาสุริยปัสส)
ข้ามมณี ปัสสกั้น ไม่พรั่นใด (ภูเขามณีปัสส)
ผ่านหกเขา เหล่าพราน ไม่คร้ามเข็ด
ถึงเทือกเจ็ด เจ็ดโยชน์วัด นับสูงได้
นามสุวรรณ ปัสส สลักใจ (ภูเขาสุวรรณปัสส)
เจ้านางให้ ตั้งใจหา ทอดตามอง
บนยอดสิงค์ ศิขริน กินนรพัก
ถ้ำพำนัก เกินนับได้ ให้สลอน
สูงเทียมรุ้ง รุ่งสว่าง กระจ่างมอง
เชิงสิงขร มองไสว ไทรใหญ่พราย
เจ้าพรานเถื่อน เคลื่อนตา เพ่งหายอด
กินนรลอด เข้าออกถ้ำ พลันลับหาย
พอแลเห็น ใจเต้น เร่งเผ่นกาย
มุ่งที่หมาย ตะกายขึ้น ทะลึ่งปีน
เหล่าบริวาร ลนลาน ติดตามลุก
บ้างสะดุด ฟุบหมอบ หน้าตอกหิน
บ้างถลำ คะมำ ทิ่มตำดิน
ลุกได้วิ่ง กลัวทิ้งเดียว เปลี่ยวเอกา
พรานฉกาจ อาบเหงื่อ เนื้อถลอก
แขนขายอก ไม่มอดไฟ ให้หรรษา
นึกถึงลาภ มากมาย หากได้งา
ฉีกยิ้มร่า อุราเปล่ง เร่งรีบปีน
พอถึงยอด ทอดตา พาตื่นเต้น
ไทรใหญ่เด่น เห็นไกล ใต้เงื้อมหิน
ลึกจากผา สง่าสูง เกินยูงบิน
ดูใหญ่ยิ่ง มิ่งแคว้น แดนหิมพานต์
เขียวระรื่น ตื่นตา พาเคลิ้มฝัน
ใบสะพรั่ง บดบัง ตะวันฉาน
กิ่งสยาย รายรอบ ครอบทุกทาง
วัดจากกลาง สิบสองโยชน์ โอบจดกัน
มีม่านไทร ใหญ่น้อย ห้อยระย้า
ทอนประภา คราพัก พลายหลับฝัน
แปดพันย่าน พร่างตา เพลาวัน
ดุจสวรรค์ สรรค์สร้าง ช่างสบาย
ห่างร่มไทร สระใหญ่ ใสกระจ่าง
แลตระการ ยามแดด แผดแสงฉาย
ระลอกพลิ้ว งามริ้ววาว พราวประกาย
เห็นเหนื่อยหาย คลายฟื้น คืนเรี่ยวแรง
ทันใดนั้น พื้นเลื่อนลั่น ฉับพลันสว่าง
ระยับวาม งามสี มีหกแสง
แผ่จากงา คชาเผือก ไม่เคลือบแคลง
แข่งพันแสง แรงเด่น เปล่งประกาย
เจ้าคชใหญ่ ย่างกราย ไปยังสระ
เคียงพารณะ พธู ดูสดใส
ฝูงบริวาร ตามห้อม ล้อมมากมาย
ยาวเป็นสาย รายลิบ ติดตามมา
ขรัวพรานไพร ใจตรอง พิศมองสาร
ครุ่นคิดวาง ทางลง กลใดหนา
ให้อึดอัด ขัดใจ ไร้มรรคา
ไต่ลงผา หาไทร ให้เงียบงัน
จึงทุกข์หนัก นักหนา ปัญหาใหญ่
จักลงไทร อย่างไร ใคร่สิ้นหวัง
หลบแอบกิ่ง ไม้นอน ซ่อนกายบัง
รอกระทั่ง ช้างจากหมด ปรากฏกาย
พอเห็นนก ผกผิน บินถลา
ร่อนทาบหล้า ปัญญาผุด ทุกข์หลุดหาย
คว้าร่มหนัง สั่งลูกมือ มาเร็วไว
ส่งถุงใส่ จอบคราด แลศาสตรา
บอกลูกน้อง ผองเจ้า เฝ้าสิงขร
แล้วคอยหย่อน ผ่อนเชือก จากเทือกผา
กองบนดิน สองวันสิ้น ข้าลับตา
พร้อมรอท่า ยื้อฉุด เมื่อพลุดัง
หลังกำชับ ซักซ้อม พร้อมเสร็จสรรพ
เจ้าพรานตัด ใจพลัน กลับหันหลัง
เดินหาผา ตามองไทร ไม่อินัง
กางร่มหนัง ถลันโดด โลดลงไป
เสียงลมสี ฉวีกาย ให้ไหวจิต
ตั้งสติ ดำริมุ่ง พุ่งที่หมาย
แม้นถึงฆาต ยากหลบ ต้องตกตาย
แม้นไม่วาย ชีวาตม์ ยากปลิดปลง
แรงลมพา ถลาไป ไกลที่มั่น
พรานรีบดัน ร่มเบี่ยง เปลี่ยนสับสน
เอียงร่มซ้าย ย้ายขวา หน้าหลังจน
ปรับผสม ตรงแน่ว เข้าแนวไทร
มองเห็นไทร ใกล้กาย คลายอึดอัด
ค่อยขยับ ปรับตรง ลงที่หมาย
ถึงยอดไทร ไหวพรั่น กลั้นหายใจ
มองข้างใต้ ไร้เงา ผองเหล่ากรี
จึงถอนใจ เฮือกใหญ่ คลายหืดหอบ
หยิบกระบอก สอดร่มพับ กลับเข้าที่
นั่งพักกาย คลายล้า หาวิธี
มองหาที่ ขัดห้าง นั่งซ่อนกาย
ตกบ่ายแก่ แลไกล ให้ใจหวั่น
เห็นฉัททันต์ ขึ้นน้ำมา กายาใส
งาแพรวพราว วาววับ จับประกาย
เดินเฉียดใกล้ ไทรงาม ไปลานเตียน
ปล่อยพลพรรค พักไทร ไม่พบปะ
ปลีกตนผละ ละไป ให้คลายเสียง
ย่างเดียวดาย สบายนัก ลมพัดเวียน
ไกลจากเสียง สำเนียงร้อง ผองเหล่ากรี
ถึงลานเตียน เลี่ยนโล่ง เจ้าโขลงหยุด
ไร้โคบุตร ซุกซน องค์หัตถี
สายลมไพร ไหวระรื่น ชื่นฤดี
ฟ้าอาบสี แดงเรื่อ สุขเหลือใจ
ท้าวฉัททันต์ เข้าภวังค์ ดื่มด่ำจิต
พริ้มตาปิด สนิทเห็น เช่นหลับใหล
น้ำเกาะกาย รายริน ซึมดินไป
เจ้าพรานให้ ไตร่ตรอง จ้องมองพลัน
ไหลเป็นทาง ลามดิน ซึมสิ้นหาย
พรานเถื่อนชาย ตาจ้อง ต้องสรวลสันต์
แสยะยิ้ม ฉัททันต์สิ้น ไม่นานครัน
ปลงใจมั่น นั่งคบ หลับนกไป

ครั้นรุ่งสาย พลายพล มาตงค์เผ่า
พาฝูงเข้า ราวป่า ลับตาหาย
เจ้าพรานเห็น เผ่นห้าง ลงล่างไว้
เลือกต้นไม้ ใช้ขวาน จามโดยพลัน
ตัดเป็นเสา ราววา ห้าหกท่อน
เลื่อยตัดทอน รอนกระดาน ตามทีหลัง
ไว้ประกับ กับเสา ยาวเท่ากัน
ถากเถาวัลย์ ฟั่นเปลือก เป็นเชือกตรึง
แล้วขุดหลุม รุนดิน ทิ้งในป่า
ลึกหนึ่งวา หน้าจตุรัส ปักเสาขึง
ผูกคานรัด มัดเสา สี่เส้าตรึง
กระดานขึง ทับคาน ต่างหลังคา
เจาะกระดาน กลางโหว่ โผล่หัวได้
เลื่อยแผ่นไม้ ไว้ปิดรู ดูเหมือนฝา
ทายางไม้ ผิวบน ขนดินมา
โรยทับฝา ติดหน้าแข็ง แกร่งเหมือนดิน
หยิบผ้ากา สาวพัสตร์ มาผลัดเปลี่ยน
แกะข้าวเกรียม เสบียงตาก สากดั่งหิน
แช่น้ำชุ่ม จนนุ่มจับ ค่อยตักกิน
เสร็จลงนิ่ง ในหลุม ซุ่มพักกาย

ผ่านโมงยาม ทรมาน ช่างนานเหลือ
นั่งนอนเบื่อ เหงื่อไหล ไคลเหนอะหลาย
เสื้อเปียกชุ่ม กลิ่นคลุ้ง ฟุ้งกระจาย
ยิ่งนานสาย กระวายกระวน จนรำคาญ
หยิบศรใหญ่ ยืดดึง ตึงสุดแขน
หน้าไม่แดง แรงพอ รอสังหาร
เจ้าคชินทร์ ให้ดิ้น สิ้นชีพปราณ
แต่ช้างสาร ช่างนานมา พาร้อนรน
นั่งกลัดกลุ้ม ซุ่มฟัง สองวันผ่าน
เข้าวันสาม นรการ ลงธารสรง
หลังขึ้นสระ ฉัททันต์ พลันปลีกองค์
มุ่งหน้าตรง มาลาน สำราญใจ
ยืนโดดเดี่ยว เดียวดาย รอกายแห้ง
ตรงตำแหน่ง แห่งเดิม เพลินลมไหว
หลับตาปิด จิตภวังค์ ช่างสบาย
เย็นพระพาย ชายชื่น รื่นสราญ
น้ำเกาะองค์ ดมไร ไหลลงหล้า
หล่นกายา มาหลุม ซุ่มสังหาร
ซึมดินหยด ตกตัว หัวกบาล
พรานพุ่งพล่าน ดันฝาโหว่ โผล่มายิง
เสียงศรขวับ ปักท้อง สารร้องลั่น
ขรัวพรานพรั่น พลันหลบ กบดานสิง
เสียงกรีดดัง กังวาน จากลานดิน
เหล่าพลายสิ้น ยกโขลง พุ่งตรงมา
ถึงลานใหญ่ ใจเต้น เห็นเจ้าสาร
ทรมาน อาการหนัก เป็นนักหนา
เลือดไหลหลาก จากท้อง นองพสุธา
ต่างโกรธา กราดเกรี้ยว เหลียวรอบกาย
เพ่งตาหา ปัจจามิตร คิดขยี้
ไม่เห็นมี ที่เร้น คงเผ่นหาย
จึงแผดเสียง เจียนคลั่ง ลือลั่นไพร
ออกตามไล่ ใคร่กระชาก พรากชีวา
อึกทึก ครึกโครม โจนสับสน
เหล่ามาตงค์ ลนลาน เที่ยวตามหา
เจ้าคนชั่ว ทั่วพนัส ชัฏพนา
หมายเข่นฆ่า พร่าดิ้น ให้สิ้นใจ

ฝ่ายมหา สุภัททา ชายาสาร
เห็นนรการ นั่งทรุด ลุกไม่ไหว
จึงไม่ห่าง ข้างชู้ คู่ฤทัย
คอยชิดใกล้ ห่วงใย เจ้าฉัททันต์
ท้าวคเชนทร์ เห็นชายา หน้าเศร้าสร้อย
จึงเอ่ยถ้อย ปลอบนาง จางโศกศัลย์
บอกบาดแผล แม้ใหญ่ ไม่ฉกรรจ์
ของามขำ ทำใจ ให้ผ่อนคลาย
เหล่าบริวาร ควานหา ปัจจามิตร
ทั่วทุกทิศ ติดตาม ไม่ห่างหาย
ไฉนเจ้า เฝ้าข้าง ไม่ห่างกาย
ไม่ละอาย พวกพ้อง ฤาน้องยา
เลิกเคล้าคลุก รุดตาม บริวารเถิด
อย่าให้เกิด เล็ดลอด ออกนอกผา
ขืนช้าอยู่ ศัตรูไป ไกลลับตา
ผองคชา จักพาโกรธ โทษนงราม
ท้าวชายา น้ำตาไหล จำใจจาก
เจ้าโขลงนาค ยากขัด หักสงสาร
ละล้าละลัง รังรอ ท้อดวงมาน
แต่เกรงขาม สางไท้ ตัดใจลา
พอลับตา ชายา คชาเจ้า
ย่างเท้าก้าว หาหลุม กรุ่นนาสา
กลิ่นเหม็นแตก ต่างที่ เคยมีมา
ไอยรา ใช้งาคุ้ย ตะกุยดิน
เห็นกระดาน คชาธาร บันดาลโกรธ
คนใจโฉด โหดร้าย ซ่อนกายสิง
อยู่ใต้ไม้ นิ่งซุ่ม ในหลุมดิน
ท้าวคชินทร์ สิ้นกลั้น พลันเหยียบลง
ไม้ลั่นเปรี้ยง เสียงดัง ลั่นหักแตก
ขรัวพรานแอบ แถกดิ้น กลิ้งสับสน
เศษไม้หัก ปักดิน เกือบทิ่มตน
กระเสือกกระสน ลนลาน สะท้านอุรา
ท้าวคชา หน้าแดง แรงโทสะ
ไม่ปล่อยปละ ละเว้น เผ่นเข้าหา
พอเห็นผ้า กาสาวะ งามจับตา
โกรธบังตา พาเดือด เหือดมลาย
เห็นภาพได้ ถวายภัตร พระปัจเจก
ผู้เป็นเอก อเนกบุญ คุณมากหลาย
เกิดแรงฉุด หยุดทัน พลันอภัย
โมโหหาย คลายโกรธ ไม่โทษพราน
ท้าวมาตงค์ ปลงใจ ไม่เข่นฆ่า
เอ่ยวาจา ปราศรัย ให้สงสาร
บอกคนเขลา เมากิเลส ซ่องเสพกาม
ไม่ควรหาญ ห่มกาสาว์ น่าอับอาย
แล้วเอื้อนถาม พรานไพร ใจฉกาจ
ท่านพยาบาท อาฆาตเรา แต่คราวไหน
จึงพิฆาต เข่นฆ่า พร่าถึงตาย
หรือมีใคร ใช้ท่าน ดั้นด้นมา

โสณุดร อ่อนล้า หน้าสลด
ยืนคอตก ไม่ปดตอบ บอกอาสา
องค์เทวี มเหสี สุภัททา
ในราชา กาสิกราช ราษฎร์แซ่ไกล
อรนุช ทุกข์ตรอม ปองงาท่าน
ด้วยนางฝัน จำติด จิตหลงใหล
มีกุญชร ครองป่า พนาไพร
แสนยิ่งใหญ่ ไร้เปรียบ เรียกฉัททันต์
ไม่ได้ครอง สองงา อุราขม
อกระทม ตรมเศร้า เฝ้าโศกศัลย์
มีชีพไป เหมือนไร้ ซึ่งชีวัน
ยืนนอนนั่ง พร่ำปาก อยากจักตาย
องค์ภูธร ร้อนใจ ในสนม
สั่งระดม พลตาม พรานทั้งหลาย
ทั่วเขตแดน แคว้นด้าว มีเท่าใด
ใกล้และไกล ให้เข้า เฝ้าราชินทร์
ใครพิฆาต พรากงา คชาได้
เหนือหัวให้ ส่วยทาส มากทรัพย์สิน
เรือกสวนไร่ ใกล้ไกล ให้ทำกิน
แลกสองกิ่ง งาวาว เจ้าฉัททันต์
หกหมื่นพราน ตามมา เบื้องหน้าไท้
ตัวข้าให้ ต้องใจ เหมือนในฝัน
จึงส่งมา ฆ่าสาร ผลาญชีวัน
ตัดงาท่าน นำมอบ ยอดเทวี

เมื่อนั้น…มหาสัตว์ สดับพราน พลุ่งพล่านนัก
เจ้าจุลล สุภัททา มารศรี
น้องกล่าวอ้าง พี่จาง ร้างไมตรี
จึงแค้นพี่ ข้ามชาติ พิฆาตกัน
แสร้งมุสา หาความ งางามพี่
สวยกว่ากรี หัตถีใด ในไพรสัณฑ์
สูงค่ายิ่ง สินทรัพย์ นับอนันต์
หลับยังฝัน จำติด จิตฝังตรึง
แม้ไม่ได้ สองงา อุราขม
จิตระทม ตรมเศร้า เฝ้าคิดถึง
ทำอย่างไร ไม่คลาย หายคำนึง
ร่ำนึกถึง แต่งา พาหม่นใจ
แท้ในใจ เจ้ามาก อาฆาตพี่
แสร้งทำมี น้ำตา อุราสลาย
หวังไท้โทษ โกรธฆ่า พี่ยาไป
อรไท จึงคลาย หายจองเวร
ผิเยี่ยงนั้น ชีวัน พี่นำให้
เจ้าจักได้ สุขใจ คลายทุกข์เข็ญ
สิ้นอาฆาต มาดร้าย หายจองเวร
สิ้นเยื่อใย อาลัยเห็น เป็นสามี
จึงบัดนั้น ฉัททันต์ เจ้าพังสาร
เอ่ยเรียกพราน วางใจ อย่าไกลหนี
เข้ามาตัด งาไป ให้เทวี
เราน้อมพลี ชีวัน กำนัลนาง
บอกชายา อ่าองค์ ทรงอย่าโกรธ
จงได้โปรด อภัย ในช้างสาร
ที่ยังรัก ภักดี มีให้นาง
แม้ว่ากาล ผ่านไป ไม่เปลี่ยนแปลง
พรานได้ฟัง รันทด สลดยิ่ง
เจ้าคชินทร์ กรินทร์กล่าว เศร้าเหลือแสน
มือจับเลื่อย ล้าเหนื่อย เนือยอ่อนแรง
ซ้ำเข่าแข้ง อ่อนโรย ระโหยไป
เขย่งขา เอื้อมคว้า งาไม่ถึง
หวังจักดึง งาต่ำ ช่างยากหลาย
ท้าวคเชนทร์ เห็นยื้อยุด จึงทรุดกาย
พรานสบาย คลายเกร็ง เขย่งยืน
คชาธาร วางพักตร์ ลงทับหล้า
พรานเถื่อนอาดูรไห้ จำใจฝืน
ขึ้นเหยียบโคน งวงใหญ่ ไต่ไปยืน
ช้างไม่ขืน ฝืนขัด ยอมตัดใจ
ถึงกระพอง นรการ เจ้าพรานหยุด
นั่งเข่าซุก ดันต้อน ก้อนเนื้อไหล
ย้อยข้างปาก ยากผลัก กลับเข้าไป
กว่าจักได้ ใคร่ยอม ถอนเลิกรา
หมดเนื้อย้อย ห้อยบัง จึงพลันเห็น
โคนงาเด่น อร่าม งามนักหนา
ลงกระพอง พร้อมจับ เลื่อยตัดงา
สอดหน้าขา กรรไกร ไสขึ้นลง
เสียงเลื่อยไส ไอยรา น้ำตารื้น
จำกล้ำกลืน ฝืนทน ตรมขื่นขม
ปวดกายใจ ไม่โกรธ โทษอนงค์
หวังเพียงสม ใจนาง แค้นจางไป

พรานไสเข้า ไสออก หอบพะงาบ
เหงื่อรินอาบ หยาดตก หมดแรงไส
เจ้ากุญชร มองดู หดหู่ใจ
บอกพรานไป ให้ตน ผ่อนปรนแรง
พรานได้ฟัง คำสาร ร้าวรานจิต
นึกตำหนิ ติตัว ชั่วเหลือแสน
ก่อแต่บาป หาบนรก หมกไฟแดง
ระบายแค้น แทนเขา เรารับกรรม
แต่ตนโรย ระโหยนัก ยากจักไส
ทนฝืนใจ ไร้แรง ไม่แข็งขัน
คงยากตัด งาไป ให้ทรงธรรม
มอบของขวัญ ล้ำค่า หน้าเทวี
จึงเอ่ยปาก หากสาร ไม่พานช่วย
เกล้าคงม้วย อาญา เจ้ากาสี
มีชีพกลับ ก็ดับ สิ้นชีวี
ต้องเป็นผี หัวขาด อนาถใจ
ท้าวฉัททันต์ ฟังคำ จำเอ่ยตอบ
บอกตนบอบ ช้ำเพลีย เปลี้ยเหลือหลาย
ขอพรานงัด งวงทับเลื่อย เหนื่อยคงคลาย
จึงจักได้ คลายหนัก ผลัดกันดึง
พรานเถื่อนฟัง ทำตาม คำสารกล่าว
เลื่อยงาวาว ขาวนวล ร่วงขาดผึง
เลือดพลายแกร่ง แดงไหล ให้ตะลึง
เจ้าคชดึงดันเปรย เผยความนัย
สหายพราน เราประทาน งางามท่าน
ใช่เพราะชัง มันหนัก จึงผลักไส
ใช่ไม่รัก ไม่หวง ห่วงอาลัย
หรืออยากใหญ่ ในสงสาร โลกมารพรหม
แต่เรารัก พระสัพพัญญุตญาณ
กว่าสังขาร ร่างกาย ตายทับถม
ดินกลบหลุม บุญกรรม นำวกวน
เวียนสุขสม ตรมเศร้า คละเคล้ากัน
ขออานิสงส์ ผลทาน ในการนี้
จงเกิดมี อานุภาพ มากเสกสรร
ให้สงบ หมดทุกข์ สุขนิรันดร์
ข้ามสงสาร โอฆะ ละโลกไป
แล้วเอ่ยถาม พรานไพร ในสามารถ
ผู้เก่งกาจ ยากฝ่า พนาไศล
ท่านบุกดง พนมสิงค์ สิ้นเท่าใด
นานแค่ไหน วานบอก จงตอบที

พรานหน้าเศร้า เล่าตอบ บอกพลเคลื่อน
เจ็ดปีเดือน เจ็ดวัน ดั้นถึงนี่
กรินทร์คิด อธิษฐาน บารมี
ที่ยอมพลี ชีพให้ ไม่นำพา
แม้ศรปัก ชนักติด ไม่ปริโอษฐ์
ไม่ถือโทษ โกรธคน ห่มกาสาว์
ขอกุศล ผลบุญ หนุนนำพา
ให้พรานป่า ฝ่าไพร ไร้กังวล
ให้กลับถึง กาสี ธานีแก้ว
โดยคลาดแคล้ว แผ้วภัย ในไพรสณฑ์
เจ็ดวันถึง กรุงไกร ได้บังคม
สัมฤทธิ์สม จำนง องค์เทวี
เสร็จกำหนด จดจิต อธิษฐาน
จึงบอกพราน เร่งการ เดินทางหนี
พาลมฤค พฤกษ์พราย อย่ากรายมี
ถึงกาสี กรุงไกร ในเจ็ดวัน
ให้ประสพ ยศถา บรรดาศักดิ์
มากสมบัติ ทรัพย์สิน ทุกสิ่งหวัง
ชนเลื่องชื่อ ลือก้อง แซ่ซ้องกัน
สบสุขสันต์ วันคืน ชื่นสราญ
ทันใดนั้น ธาษตรี อยู่ดีสั่น
กระเพื่อมลั่น ประดังเสียง สำเนียงสาง
โกลาหล อึงอล ตรงมาลาน
พรานพลุ่งพล่าน เหงื่อกาฬตก อกร้อนรน

ท้าวฉัททันต์ ฟังดู ก็รู้ว่า
เหล่าพังคา หาตลบ หมดแห่งหน
ตามไม่พบ วกมา พากังวล
บอกพรานจง เร่งปลีก รีบเดินทาง
ให้นิราศ จากไป ในบัดนี้
ก่อนดำรี กรีนาค มากช้างสาร
ยกพลกลับ มาพร้อม ล้อมทั่วลาน
ต้องถูกผลาญ ลาญสิ้น นิ่งอยู่ไย
โสณุดร สะท้อนใจ อาลัยแสน
เนตรรื้นแดง แสนสะทก อกใจหาย
ยากจักหัก ตัดจิต ทิ้งมิตรไป
จำจากไกล ไอยรา พาเศร้าตรม
รีบแบกงา แล่นหา ผาหน้าตั้ง
เห็นเชือกพลัน จาบัลย์จาง พลางสุขสม
เร่งฉวยจับ มัดงา ท่าลุกลน
แล้วผูกตน วนรัด เชือกมัดกาย
เสร็จหยิบพลุ จุดไฟ มือไม้สั่น
ชูมือพลัน ดังบึ้ม ขึ้นฟ้าใส
แตกสว่าง กลางหาว พราวพร่างพราย
เหล่าดำไร ให้ประหลาด กวาดตามอง
เห็นพรานบาป หยาบช้า หน้าตาเหลือก
ให้แค้นเดือด เลือดพล่าน ซ่านทั้งผอง
ต่างวิ่งหา โกรธาพุ่ง ตะลุมบอน
แผดเสียงก้อง จ้องฆ่า พร่าชีวัน
ฝ่ายลูกน้อง พร้อมรอ พอยินเสียง
สนั่นเปรี้ยง เสียงพลุ ผุดผลุนผลัน
ให้ตระหนก ตกใจ รีบไวพลัน
ต่างแข็งขัน เกรียวกราว สาวเชือกดึง
เหล่าทันตี กรีนาค เกรี้ยวกราดยิ่ง
ตามโกยวิ่ง ทิ่มงา ตาขมึง
พรานครั่นคร้าม สัญญาณไป ให้รีบดึง
กระตุกเชือก เกือบขาดผึง ดึงขึ้นไว
เหล่าสมุน ชุลมุน รุมกันชัก
พรานขยับ ระดับลอย เหงื่อย้อยไหล
คชบ้าคลั่ง ประดังเบียด แทงเฉียดไป
พรานงอเข่า สาวเชือกใหญ่ ไวเหมือนลิง
งาแทงถาก บาดทวาร พรานตระหนก
หนังถลก หยดสาด เลือดอาบหิน
รีบสาวเชือก เสือกหนี กรีกรินทร์
ทั่วตัวสิ้น ถูกหินขูด ครูดรอบกาย
พอถึงยอด รอดพ้น ล้มนอนแผ่
ร่างเกลื่อนแผล แม้ฉกรรจ์ นานวันหาย
แต่แผลลึก สำนึกผิด ติดจนตาย
ไม่เหือดหาย คลายระบม ต้องทนตรอม

เจ้าคชา พญาสาร เห็นพรานรอด
ฟุบกายหมอบ รอบข้าง ร้างพลผอง
นอนโดดเดี่ยว เปลี่ยวใจ ในพนอง
ตรมหม่นหมอง แหงนมองฟ้า ตาพร่าเลือน
เสียงเหล่าสงฆ์ ธุดงค์ชัฏ ทำวัตรแว่ว
ลอยมาแผ่ว แผ้วใจ เศร้าคลายเหมือน
เมฆบังจันทร์ พลันคลาย ประกายเดือน
จิตฟูเฟื่อง เรืองรุ่ง พุ่งออกกาย

ฝ่ายพรานไพร ใจครวญ ชวนพลกลับ
ไม่เปะปะ ตัดดง ตรงที่หมาย
เจ็ดวันถึง ธานี ศรีไผท
ปลอดโพยภัย ไร้ข้องขัด อัศจรรย์
เข้าหมอบกราน ผ่านเผ้า เล่าถวาย
เรื่องมากมาย รายผ่าน อย่างแข็งขัน
ยื่นงาสอง น้อมให้ ไท้ราชัน
เป็นของขวัญ กันยา ชายาไท
แล้วเล่าความ ตามคำ ฉัททันต์สาง
แด่จอมนาง สารพารณ ยังหลงใหล
มั่นในรัก ภักดี มีไม่คลาย
ไม่แหนงหน่าย กลายกลับ ซื่อสัตย์นาง
หวังเทวี มีสวัสดิ์ คอยรักษา
บุญหนุนพา สถาพร อย่าหมองหมาง
กายผ่องใส ไร้ทุกข์ สุขสราญ
ตลอดกาล นานปี อย่ามีคลาย
จงอโห สิกรรม สารพลั้งผิด
คลายทิฐิ จิตปล่อยวาง โกรธจางหาย
ละอาฆาต นาคสาร เรื่องหมางคลาย
ใจสบาย ไกลทุกข์ สุขนิรันด์
กรีขอน้อม สองงา ชายาเจ้า
เพื่อบรรเทา เบาแค้น แม้นอาสัญ
ถึงตายยอม พร้อมให้ ไม่อินัง
หวังผ่องพรรณ งามชื่น รื่นเริงใจ

เมื่อนั้น.... โฉมนงราม งามจิต ขนิษฐา
ฟังพรานป่า เล่ามา อุราไหว
โศกอาดูร พูนเทวษ สังเวชใจ
ให้อาลัย ในทันตี สามีตน
หวนรำลึก นึกไป ในชาติผ่าน
มีเจ้าสาร ข้างกาย ใจสุขสม
ท่องเที่ยวป่า พนาไพร ไร้กังวล
ยลพพม ชมอฆ คคนางค์
สายเหนื่อยนัก พักนิโครธ ลมโกรกรื่น
บ่ายแก่ตื่น ชื่นกมล ลงสนาน
ธารน้ำไหล ใสสะอาด อาบสำราญ
ค่ำเหล่าสาร พากันละ ผละกลับไทร
ทุกวันคืน ดื่มสุข ทุกข์นิราศ
แนบขนาบ ไม่จากลา เร้นหน้าหาย
เคล้าพะนอ คลอคู่ อยู่เคียงกาย
ให้ใจหาย ไม่วายคิด จิตระกำ
ยิ่งตรองตรึก นึกไป ในความผิด
เป็นบาปติด ฝังตรึง จึงโศกศัลย์
ถอนสะอื้น รื้นน้ำตา นองหน้าพลัน
ยิ่งหวนหลัง ประดังเศร้า เผาข้างใน
กอดงาใหญ่ ไห้ครวญ กำสรวลพร่ำ
ร่ำรำพัน ระกำหม่น เกินข่มสลาย
สุดจักยั้ง รั้งจิต คิดผ่อนคลาย
องค์โฉมฉาย ทรุดกายพับ ชีพดับพลัน

บัดนั้น....ท้าวกาสี ฤดีหาย ทรามวัยจาก
ครวญพิลาป ยากทน ตรมโศกศัลย์
โสณุดร มองนาง พลางจาบัลย์
บังคมทาบ บาทราชัน หันจากลา
องค์มุนินทร์ สิ้นดำรัส ตรัสเท่านี้
หยุดวจี พาทีหมด จบเนื้อหา
ในชาดก คชสาร แต่นานมา
เหล่าเถรานุเถระ คับข้องใจ
เห็นเมธี มีแสดง แย้มพระโอษฐ์
ไม่ตรัสโปรด โจษเอ่ย เฉลยไข
จึงอาราธน์ จอมปราชญ์เอ่ย เผยความนัย
เหตุไฉน ไยไม่ตรัส กลับยิ้มพราย
พระทศพล ทรงฟัง ซึ่งคำถาม
จึงประทาน ความอรรถ ข้องขัดหาย
บอกบริษัท จับจ้อง มองหันไป
ยังเถรี ที่ร้องไห้ ไม่อายคน
องค์ชายา สุภัททา มารศรี
คือเถรี มีน้ำตา หน้าหมู่สงฆ์
ส่วนพรานไพร รับใช้นาง ผลาญพารณ
คือเทวทัต ผู้หลงตน จนงมงาย
ท้าวฉัททันต์ ดำรี ที่สละ
ยอมให้ตัด งาไป ให้โฉมฉาย
จนร่างตน ถมดิน สิ้นชีพวาย
คือตถาคต ผู้ยอมตาย ไม่คลายธรรม
จบชาดก สุคตกล่าว เหล่าวงศ์สงฆ์
แต่ละองค์ ทรงธรรม สมดังหวัง
ละสังโยชน์ ลดโกรธได้ ไม่อินัง
ต่างได้โสดาบัน กันหลายองค์
ฝ่ายอนงค์ องค์เถรี ที่ปรารภ
ฟังชาดก กำหนดใจ ไม่ใหลหลง
ครุ่นดำริ ทิฐิคลาย หายกังวล
จิตหลุดพ้น ทรงอรหันต์.....ในทันใด

  

สืบ ธรรมไทย
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๓


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร