ปรารภธรรม ๓
บันทึก วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘
วันนี้จะได้แสดงธรรมอันเป็นการหารือกัน คำสอนของพระพุทธองค์มีมาว่าอย่างไร
ส่วนมากก็รู้กันดีอยู่แล้วถ้าจะให้รู้ความจริงว่าดีแล้วในตัวของเราเองเราจะต้องพิจารณาว่าตัวธรรมแท้ๆ
นั้น มีอย่างไร ถ้าไม่พิจารณาก็ไม่รู้ว่าดีอย่างไร รู้ก็เพียงว่ามีดีเฉยๆ
ไม่ใช่ดับทุกข์ดับกิเลส
เวลาทุกข์เกิดจะต้องกำหนดรู้ทุกข์ เพราะรู้ว่าเป็นของทนยาก
เราจะต้องอดทนโดยกำหนดให้รู้ ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าเป็นทุกข์ของใครแน่
เราจะต้องกำหนดให้รู้ว่า มันเป็นเองตามสภาพของรูปนาม ถ้าไม่เห็นเช่นนี้
ก็ทำให้จิตยังต้องวิ่งไปหาสิ่งอื่น การกำหนดทุกข์ที่มีขึ้นเป็นของยาก
มันมักไม่ยอมให้พิจารณา มักให้ตรึกอยู่อย่างเดียว แต่ถ้าเราอดทนสักหน่อย
กำหนดดูว่ามันเป็นทุกข์ของใครแน่ มันแก้ได้หรือไม่ สอดส่องพิจารณาดู
เราก็จะรู้ได้ว่าแก้ไขไม่ให้มี ไม่ได้ การแก้ไขจะแก้ได้ก็ชั่วคราว
มันเป็นสภาพที่ไม่มีที่สิ้นสุด จงกำหนดใจรู้อยู่กับทุกข์
พิจารณาทุกข์จะมีผลดีกว่าวิธีอื่น
วิธีนี้เป็นวิธีตรง จะรู้สึกผลได้ภายในจิตใจว่า การไม่รับทุกข์เข้ามา
จิตใจมันจะทรงตัวรู้ทุกข์อยู่ที่กาย พิจารณาค้นคว้าหาเหตุผล
จนปลงตกว่าเป็นทุกข์ของกาย จนปล่อยวางได้ ก็จะเป็นผลดี
ไม่ควรหาวิธีแก้ไขด้วยการกลบเกลื่อนและวิธีที่สุขสบาย
ผลของการกำหนดและปล่อยวางได้ มันจะเห็นทุกข์ว่าไม่ใช่ของเรา
เป็นการเห็นชัดว่า รูปนามไม่ได้เป็นของเราจริงๆ จึงต้องกำหนดให้รู้
ถ้าไม่กำหนดให้รู้และพิจารณาก็ไม่รู้ได้การรู้จริงเห็นแจ้งต้องพิจารณาค้นคว้าสอดส่องจริงๆ
ถึงต้นเหตุแล้วทำลายเสียไม่ใช่สักแต่ว่าพูดเอาว่า รูปัง
อนิจจัง เวทนา อนิจจา ฯลฯ แล้วก็จะรู้ ต้องพิจารณาให้ละเอียด
เริ่มแต่ รูปประกอบไปด้วยธาตุสี่ และนามมีอะไรบ้าง ทุกสิ่งเป็นอย่างไรไปจนละเอียด
การรู้กายก็ต้องรู้ เวทนาสุขทุกข์อะไร ก็เนื่องจากจิต
พิจารณาให้เห็นชัดด้วยปัญญา แล้วก็จะได้ไม่ยึดถือ รู้ตามเป็นจริง
การพ้นทุกข์ พ้นกิเลสมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ จะเป็นการู้ถึงว่าพระธรรมให้คุณอย่างไร
จงซักซ้อมสิ่งเหล่านี้ให้เข้าใจแล้ว จะเห็นผลว่าดีอย่างไม่มีอะไรเท่า
ความไม่ยึดทุกข์นั่นแหละเป็นความรู้แจ้ง ได้รับผลคือมีจิตใจรู้ตามเป็นจริง
แม้จะมีการเปลี่ยนอิริยาบถ ความรู้เช่นนั้นก็จะรู้ตามเป็นจริงว่า
กลุ่มก้อนนี้ไม่ใช่บุคคลตัวตนเราเขา เป็นทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
พิจารณาด้วยปัญญาความรู้จริงเห็นแจ้ง ก็จะเป็นธรรมะที่ดี
เกิดความสว่างไสว สิ่งที่เคยยึดมาแต่ก่อนเป็นความรู้ผิดเห็นผิด
ทำให้ไม่ยึดถืออีกต่อไป ถ้าไม่เด็ดขาดมันก็จะมีการกำเริบขึ้นอีก
จึงต้องให้มีหลักรักษาให้ชัดใจ เท่ากับจุดไฟคอยเติมน้ำมันไว้ไม่ให้ดับ
ความรู้ชัดใจแจ่มแจ้งเป็นการดับทุกข์ดับกิเลสได้ในตัว
ถ้ามันจางหรือมีอะไรหวั่นไหวขึ้นมา ต้องกำหนดให้รู้ชัดใจเสียใหม่
พยายามย้อนเข้ามารู้ให้ชัดใจมากๆ จะเป็นการตั้งหลักได้ง่ายกว่าวิธีอื่นๆ
ถ้าพลาดจากการเข้ามารู้ในความชัดใจนั้นไม่ได้ ต้องมีการใช้อุบายบางสิ่งบางอย่าง
ค้นคิดเข้าไปใหม่ว่า เคยมี ทำไมไม่มี จงค้นเข้าไปให้ลึกๆ
มันจะต้องมีแน่ๆ เมื่อคิดค้นหาเหตุผลของมันเอง มันก็จะรู้ได้ว่ามันเป็นอิสระของมันเอง
ต้องมีอุบายหลายๆ อย่าง ถ้าเผลอไปก็ต้องค้นคิดย้อนเข้ามารู้ต้นเหตุ
จะเป็นเครื่องทำลายให้ดับไป การฝึกบางคราวทำได้ติดต่อไปนานๆ
บางคราวก็หาย ต้องพยายามในคราวที่หายให้ติดต่ออีกซ้ำๆ
ไว้ ต่อไปก็จะก้าวหน้าเรื่อยไป
ถ้าไม่มีความพยายาม ปล่อยปละละเลย หรือเรื่อยเปื่อยไป
ก็จะเป็นการไหลตามเกลียว ย้อนรู้เข้ามาลึกๆ สิ่งที่เคยทำได้
สงบได้ ยังมีอยู่ไม่หายไปไหน อย่าเพิ่งท้อถอยใจ ความปรุงความคิด
เป็นมายา มันคอยหลอกใจเราเสมอ ต้องระวังอย่าเพิ่งไปเชื่อถือมัน
รู้ซ้ำๆ ถึงความรู้ที่เป็นอิสระ ความคิดเรื่อยเปื่อยและมายามันก็หายไป
เหมือนเราจุดไฟขึ้น ความมืดก็หายไป ความสว่างเข้ามาแทนที่
เวลาไหวไปกับอะไรก็ให้ทำความรู้ประจำไว้ ในที่สุดมันก็ไม่ตามไปกับอะไร
จะมีการวางเฉยมากขึ้น หนักเข้า ความวางเฉยก็จะสอดส่องเข้าด้านใน
ยิ่งมองทะลุเข้าไปในส่วนลึกมากเท่าใด ก็ยิ่งพบความว่างมากเท่านั้น
การมองทะลุในด้านนี้เป็นการมองยาก ต้องทวนกระแสของความรู้สึกนึกคิดที่หลอกๆ
ภายนอก ต้องคิดค้นคว้าหาเหตุผล หาให้ถูกเงื่อนแล้วก็จะรู้ขึ้นได้
การปรุงความคิดหยุดได้ เพราะมีความรู้ ต่อไปจะไม่ต้องทำอะไรมาก
กำหนดรู้อยู่ให้ใจว่างๆ วางเฉย รู้อยู่เฉพาะความรู้ว่ามันไหวหรือเปล่า
ถ้ามันไหวอย่างไรก็ต้องพิจารณารู้ซ้ำๆ แล้วมันก็จะไม่มีไปเอง
เป็นของน่าดู
ที่เรียกว่ามีความรู้เท่าทันนั้น เท่าทันอย่างไร เท่าทันคือ
จิตมันมีลักษณะไหว เมื่อจิตไหวตัว ก็รู้ว่าไหว ที่รู้สึกนั้นเป็นความรู้สึกที่ถูกต้อง
จิตจะง่ายต่อความสงบ ถ้ามันทรงตัว มันก็ไม่ไหวไปกับอะไร
พอทรงตัวอยู่ได้ในภาวะที่ไม่ต้องทรมาน มันก็จะเป็นอิสระอย่างเป็นเอง
จงให้มันอยู่อย่างเป็นเองให้สม่ำเสมอ
ความรู้อยู่กับจิตเสมอไม่ไปไหนเป็นสมาธิ ความรอบรู้ว่ามันเป็นอิสระ
มีอยู่อย่างเป็นเอง เป็นปัญญา มันก็จะสว่างไสวขึ้นมาว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ
ไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยอะไร นี้เป็นลักษณะของธรรมะ ที่ดีอย่างเยี่ยม
เมื่อมารู้อยู่กับธรรมะอันเป็นอิสระภายใน ความรู้ว่าง
ที่ว่าไม่มีอะไรไหวตัว ก็รู้ว่าเป็นเอง มันเป็นปัจจัตตังที่ปรากฏตัวของมัน
เพียงแต่ให้มันหยุดปรุง หยุดรู้ ให้ได้อย่างเดียว ตั้งแต่กำหนดพิจารณารู้ทุกข์
ละทุกข์ ได้จนอิสระ ธรรมะที่ว่าดีเยี่ยม ดีเยี่ยมตรงนี้
ถ้าผู้ปฏิบัติได้ปฏิบัติให้ยืนตัวปรกติ สอดส่องจนรู้ว่าไม่เกี่ยวเกาะอะไร
อยู่อย่างว่างเปล่าๆ ก็จะสบาย ภาวะอย่างนี้ไม่เป็นการสุดวิสัย
มีอยู่ด้วยกันทุกคน มันมีอิสระอยู่ในตัวของมันเอง เราไปเที่ยววอกแวก
หวั่นไหว แล้วเมื่อไรเราจะพบกันเล่า
ขอให้กำหนดรู้ภาวะที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ขอให้ไฟที่จุดไว้ในดวงจิต
จงมีการส่งรัศมีให้รุ่งเรืองสว่างไสวทุกผู้ทุกคนเถิด.
- จบ - |