แสวงหาธรรม
รอบรั่วธรรม ในสวนธรรม ละความโกรธ กรรม การทำบุญให้ทาน ภารกิจของหิ่งห้อย
 
 กำลังอ่านอยู่ : 7 คน

อนัตตา
 

            อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน คำนี้ตรงข้ามกับคำว่าอัตตา คือ ตัวตนขอแนะนำให้รู้จักกับอัตตาไว้ตรงนี้เล็ก ๆ

            อัตตา คือ เรายึดว่า นี่เป็นตัวเรา ดังนั้น เราจึงเสิร์ฟทุกอย่างให้กับตัวเรา ด้วยความรักใคร่หลงใหล เราจะมีมานะคือถือดีทำดีอยากอวด พยายามทำดีเพียงเพื่อจะไปเกิดในสวรรค์ประการเดียว ไม่ใช่เพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏ มี 3 ก. คือ กิน กาม เกียรติ ดูแลไว้ให้ตัวเองอย่างดี ดังนี้เป็นต้น

            อนัตตา คือให้รู้ว่า ตัวเราไม่ใช่ตัวตน ( และทุกอย่างในโลกก็ไม่ใช่ตัวตนด้วย )

            ตอนนี้จะขอลอกพระสูตรมาลงไว้ให้อ่านกันบ้าง จะได้ใกล้ชิดกลิ่นอายของภาษาหนังสือธรรมะเข้าไปอีกนิด พอไปหาอ่านจะได้พอคุ้นเคย อ่านบ่อย ๆ แล้วเพลินดี ในพระสูตรมีนิทานเยอะด้วย แต่ที่เอามานี้ไม่ใช่นิทาน เป็นพระสูตรชื่อว่า จูฬสัจจกสูตร อยู่ในพระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 12 มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์หน้า 392 – 404/422-436 ท่านอาจารย์วศิน
อินทสระ คัดออกมาให้ นักศึกษาธรรมวันอาทิตย์ได้อ่านกัน มีใจความดังนี้

            ชื่อเรื่อง “ ตัวตนหรือมิใช่ตัวตน “

            คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เมืองเวสาลี คราวนั้น นิครนถ์คนหนึ่ง ชื่อ สัจจกะ อาศัยอยู่ในเมืองเวสาลี ( ชาวเมืองเวสาลี ) เป็นผู้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของประชาชนว่า เป็นผู้มีความรู้ดี ยกตนเองว่าเป็นปราชญ์ และประกาศในเมืองเวสาลีนั่นว่า เขาไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์ใดๆที่จะโต้วาทะกับเขาได้ แม้ผู้ที่ปฏิญาณตนว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ ถ้าคิดจะโต้วาทะกับตนแล้วก็ต้องหวั่นไหว ประหม่า เหงื่อตก อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้เสาก็ต้องสั่นคลอน หวั่นไหว ถ้าคิดจะโต้วาทะกับตน

            เช้าวันหนึ่ง พระอัสสชิเถระ ( รูปหนึ่งในพวกปัญญจวัคคีย์ ) เข้าไปบิณฑบาตในเมืองเวสาลี สัจจกนิครนถ์ออกมาเดินเล่น พบพระอัสสชิ จึงเข้าไปหาและถามท่านว่า

            “ พระคุณเจ้าอัสสชิ ท่านเป็นสาวกของพระสมณโคดมข้าพเจ้าอยากทราบว่า พระสมณโคดมสอนสาวกอย่างไร แนะนำสาวกอย่างไร “

            “ อัคคิเวสสนะ “ พระอัสสชิตอบ “ พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงเป็นศาสดาของพวกเราสอนว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ ( รวมเป็นขันธ์ 5 ) ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน( อนัตตา ) “

            “ ท่านอัสสชิ ท่านอาจฟังมาผิดกระมัง ถ้าพระสมณโคดมตรัสสอนเช่นนี้จริง ข้าพเจ้าจะช่วยสอนพระสมณโคดมให้มีความเห็นเสียใหม่ ให้มีความคิดที่ถูกต้องดีกว่านี้ “

            สัจจกนิครนถ์เข้าไปยังลิจฉวีสภา ซึ่งพวกเจ้าลิจฉวีกำลังประชุมกันอยู่ เล่าเรื่องที่สนทนากับพระอัสสชิให้เจ้าลิจฉวีฟัง และ

            ว่าจะไปโต้วาทะกับพระสมณโคดม จะหมุนพระสมณโคดมเสีย ให้เหมือนหมุนหม้อเปล่า ขอเจ้าลิจฉวีทั้งหลายจงไปด้วยกันเถิด

            เจ้าลิจฉวีได้ตามสัจจกนิครนถ์เข้าไปในป่ามหาวัน ถามพวกภิกษุว่า พระศาสดาประทับอยู่ที่ใด พวกภิกษุตอบว่าประทับพักกลางวันอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง สัจจกนิครนถ์เข้าไปหา แล้วทูลถามว่า ทรงสั่งสอนสาวกอย่างไร พระศาสดาตรัสตอบอย่างเดียวกับที่พระอัสสชิตอบแล้ว สัจจกะจึงว่า

            “พระโคดม ต้นไม้และพืชพันธุ์ทั้งหลายจะเจริญงอกงามต้องอาศัยพื้นดิน การงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทำก็ต้องอาศัยพื้นดินฉันใด บุคคลอาศัยรูปเป็นตัวตน มีเวทนา มีสัญญา สังขาร และวิญญาณเป็นตัวตน จึงมีบุญ มีบาปได้ ถ้ารูปเป็นต้นไม่เป็นตัวตนแล้ว บุญบาปจะมีได้อย่างไร “

            “อัคคิเวสสนะ ท่านยืนยันหรือว่า รูปเป็นตัวตนของเรา “ พระศาสดาตรัสถาม

            “ข้าพเจ้ายืนยันอย่างนั้น, พระโคดม ประชาชนทั้งหลายก็ยืนยันเช่นนี้เหมือนกัน

            “คนอื่นช่างเขาเถิด อัคคิเวสสนะ ขอเพียงแต่ท่านยืนยันคำของท่านอย่างนั้นหรือ”

            “ ข้าพเจ้ายืนยันอย่างนั้น”

            “ อัคคิเวสสนะ ถ้าอย่างนั้นเราขอถามท่านสักข้อหนึ่ง คือ กษัตริย์ที่ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล และพระเจ้าอชาตศัตรู ย่อมสามารถฆ่าคนที่ควรฆ่า เนรเทสคนที่ควรเนรเทศได้มิใช่หรือ “
            “ เป็นอย่างนั้น พระโคดม “

            “ ก็ท่านบอกว่า รูป เป็นต้น เป็นตัวตนของเรา ท่านมีอำนาจเหนือรูป เป็นต้นนั้นหรือ ท่านปรารถนาได้หรือว่า ขอรูปของเราจงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าเป็นอย่างนี้เลย

            เมื่อพระศาสดาตรัสถามดังนี้ถึง 2 ครั้ง สัจจกนิครนถ์ก็คงนิ่งอึ้งอยู่ จึงตรัสเตือนว่า เวลานี้ไม่ใช่เวลานิ่ง แต่เป็นเวลาที่จะต้องพูด ในที่สุด สัจจกนิครนถ์ก็ทูลรับว่า ไม่อาจบังคับรูปเป็นต้นได้

            พระศาสดาจึงตรัสว่า “ เปรียบเหมือนคนถือขวานเข้าไปในป่าด้วยต้องการแก่นไม้ พบต้นกล้วย จึงตัดที่โคนแล้วตัดใบออก เขาไม่พบแม้แต่กระพี้ จะพบแก่นได้อย่างไร วาจาของท่านก็หาแก่นสารอะไรไม่ได้ พอซักไซ้ไล่เลียงเข้าก็ว่างเปล่า แพ้ไปเอง ที่ท่านเคยพูดในเมืองเวสาลีไว้อย่างไร จงพิสูจน์คำพูดของท่านเถิดเหงื่อของท่านหยดลงจากหน้าผากแล้ว แต่ของเราไม่มีเลย “

            สัจจกนิครนถ์นิ่งอึ้ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ และในที่สุดก็กล่าวขอโทษพระผู้มีพระภาคเจ้า ต่อจากนั้นได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า ด้วยเหตุเพียงเท่าใด สาวกของพระสมณโคดมชื่อว่า ได้ทำตามคำสั่งสอน ทำถูกต้องตามโอวาทของพระสมณโคดม ข้ามความสงสัยเสียได้ ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนแห่งศาสนาตน ?

            พระศาสดาตรัสตอบว่า “ สาวกของเราย่อมพิจารณาเห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณว่ามิใช่ตัวตนของเรา เพียงเท่านี้ก็ชื่อว่า ได้ทำตามคำสั่งสอนของเรา…….. “

            “ ด้วยเหตุเพียงเท่าใด ภิกษุชื่อว่าเป็นอรหันต์ “ สัจจกนิครนถ์ทูลถาม

            “สาวกของเราพิจารณาเห็น เบญจขันธ์ตามเป็นจริง คือ ไม่ใช่ตัวตนของเรา หลุดพ้นแล้วเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แหละชื่อว่าเป็นอรหันต์ สิ้นอาสวะแล้ว ประกอบด้วยคุณอันยอดเยี่ยม 3 ประการ คือ ความเห็นอันยอดเยี่ยม( ทัสสนานุตตริยะ ) การปฏิบัติอันยอดเยี่ยม ( ปฏิปทานุตตริยะ ) ความหลุดพ้นอันยอดเยี่ยม ( วิมุตตานุตตริยะ ) “

            สัจจกนิครนถ์ทูลรับสารภาพและสรรเสริญว่า

            “ ข้าพเจ้าเป็นผู้มีนิสัยคอยกำจัดคุณของผู้อื่น คะนองวาจาคิดว่าจะรุกรานพระสมณโคดมด้วยถ้อยคำของตน พระสมณโคดมผู้เจริญ บุคคลเจอช้างซับมันก็ดี เจอกองไฟที่ลุกโพลงก็ดี เจออสรพิษก็ดี ยังพอเอาตัวรอดได้บ้าง แต่มาเจอพระสมณโคดมเข้าแล้ว ไม่มีทางรอดตัวไปได้เลย ( คือต้องยอมแพ้) “

            สัจจกนิครนถ์อาราธนาพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น พระศาสดาทรงรับนิมนต์โดยดุษณี วันรุ่งขึ้น พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จไปเสวยที่อารามของสัจจกนิครนถ์ เมื่อเสวยเสร็จแล้ว สัจจกนิครนถ์ทูลว่า ขอผลบุญในทานนี้จงเป็นความสุขแก่ผู้ให้เถิด พระศาสดาตรัสว่า ผลบุญในทานที่ให้แก่ผู้มีราคะ โทสะ โมหะ เช่นท่าน จงมีแก่ทายก ส่วนผลบุญในทานที่ให้แก่ผู้ปราศจากราคะ โทสะ โมหะเช่นเรา ขอจงมีแก่ท่าน

            หลวงพ่อปัญญานันทะ เคยเทศน์ว่า อะไรๆมันเป็นของประกอบกันมาเช่น รถยนต์ เราชี้ไปสิว่ารถอยู่ที่ไหน มันไม่มีรถ มีแต่ตัวถัง หลังคา ประตู ล้อ กระจก ฯลฯ ต่างๆมารวมกัน

            เมื่อไล่ไปเรื่อย ๆ เราจะพบว่า ที่ปลายทางคือความว่าง มองแบบนี้ ตามภาพอาจจะเห็น ของจริงอาจจะไม่เห็น เพราะมองเห็นด้วยตาเปล่าไม่ได้ แต่เราพอจะเข้าใจได้

            เมื่อเรามองดูสวน สวนก็จะหายไป กลายเป็นส่วนประกอบของต้นไม้ กระถาง สระน้ำ ตุ๊กตาหิน หญ้า

            เมื่อมองต้นไม้ ต้นไม้ก็จะหายไป กลายเป็นส่วนประกอบของลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ ราก ผล ดอก

            เมื่อมองต้น ก็กลายเป็น เปลือก กระพี้ สะเก็ด แก่น

            จับมาไล่ไปเรื่อย ๆ ทุกอย่างก็จะไปสุดที่การจับตัวของพลังงานคือ ความว่าง เราเหมือนกับจะมองทะลุอะไรไปได้หมด โลกจะใสเหมือนแก้ว

            เมื่อทุกอย่างเป็นของว่าง ไม่ใช่ตัวตน จึงไม่มีอะไรน่าผูกผัน เมื่อมองอย่างโลก ๆ เราก็ดูแลรักษาอย่างโลก ๆ ไปตามเหตุตามปัจจัยที่สมควรตามหน้าที่ของเรา เมื่อมองอย่างธรรม ก็ให้ใจปล่อยวางลงจากความยึดมั่นในสิ่งต่าง ๆ ทั้งมวล เรียกว่ามี 2 โลก ซ้อนกันอยู่ คือ ดลกที่เป็นไปอยู่ทุกวัน ซึ่งสร้างทุกข์ให้เรา กับโลกแบบธรรม ซึ่งปลดทุกข์ให้เรา

            ในทางทฤษฎี ท่านก็จะสอนว่า เราคือองค์ประกอบของธาตุ 6 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ

            1. ดินคือ ส่วนแข็ง เช่น กล้ามเนื้อ กระดูก ฯลฯ

            2. น้ำคือ เลือด น้ำลาย น้ำตา ฯลฯ

            3. ลมคือ ลมหายใจ ลมในท้อง ฯลฯ

            4. ไฟคือ ความร้อนในร่างกาย

            5. อากาศธาตุ คือความว่างในตัวเรา เช่น ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ช่องหลอดลม ช่องในลำไส้ หรือแม้แต่ในอณูละเอียดก็มีความว่างของแต่ละอณู ถ้าความว่างในตัวเราไม่มี เช่น จมูกตันก็หายใจไม่ได้ หลอดอาหารตัน ก็กินข้าวไม่ได้ ฉะนั้นช่องว่างหรือความว่างนี้ก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของเรา

            ความจริงชีวิตภายนอก เราก็ยังอาศัยอยู่กับความว่าง เช่นในบ้าน เราอาศัยอยู่ในที่ว่างของห้อง ในรถเราก็อยู่ในที่ว่างของรถ คือ ถ้ารถตันหมด เราก็เข้าไปในรถไม่ได้ เป็นต้น

            6. วิญญาณธาตุ คือจิตของเรา
ในที่สุด ทุกอย่างจะคืนสู่ธรรมชาติ เมื่อเราตาย ดังนั้นเราก็คือ การรวมตัวของธาตุ 6 นั่นเอง ไม่มีเราจริง

            ความทุกข์ใจเกิดจากความยึดมั่นว่า นั่นเป็นของ ‘ของเรา’ ซึ่งความจริงคือ ไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา มันเป็นธรรมชาติทั้งสิ้น เพราะถ้าเป็น’ของเรา’เราต้องสั่งได้

            สิ่งของภายใน ร่างกายของเรา เราสั่งไม่ให้แก่ ไม่ให้ตาย ก็ไม่ได้ สั่งไม่ให้ทุกข์ เศร้า ร้องไห้ สุขก็ไม่ได้ แม้แต่จะสั่งให้ลืมความทุกข์ใจเรื่องเมื่อวาน ก็ยังสั่งไม่ได้

            แต่ธรรมชาติสั่งได้ทุกอย่าง เพราะเราเป็นของธรรมชาติไม่มีอะไรเป็น “ตัวเรา” เป็น “ของเรา” ในทางธรรมะ


<< กลับหน้าที่ผ่านมา
หน้าถัดไป >>
แสวงหาธรรม
รอบรั่วธรรม ในสวนธรรม ละความโกรธ กรรม การทำบุญให้ทาน ภารกิจของหิ่งห้อย

หน้าแรกธรรมจักร l กลับเรือนธรรม