ลายจำหลักที่ธรรมจักรศิลาชักพาให้ข้าพเจ้าเล่าประวัติราชวงศ์ของพระมหากษัตริย์โบราณ
ที่เคยมีพระบรมเดชานุภาพครอบครองอินเดียตอนภาคกลาง และเลยพาท่านท่องเที่ยวไปชมภาพจำหลักที่ประตูหรือโดรณของพระมหาสถูปสาญจีในประเทศอินเดีย
คราวนี้เรากลับมาช่วยกันพิจารณาภาพจำหลักที่ล้อธรรมจักร ในพิพิธภัณฑสถานฯ
พระปฐมเจดีย์ของเรา เปรีบเทียบกันดูอีกครั้ง ณ ตอนล่างของธรรมจักรศิลาล้อนั้น
จำหลักเป็นดอกบัวใหญ่ บนดอกบัวจำหลักรูปนางกษัตริย์ประทับนั่งขัดสมาธิราบ
สองหัตถ์ประคองพระอุทร มีช้างสองเชือกยืนอยู่บนกลีบบัวดอกเดียวกัน
ข้างละเชือกชูวงถือเต้าน้ำเทลงมายังนางกษัตริย์ จะเป็นไปได้ไหมที่เราจะสร้างจินตนาการของเราให้ล่องลอยไปว่า
ในสมัยโบราณประมาณสองพันปีมาแล้ว มีพุทธศาสนิกชนคนใดคนหนึ่ง หรือคณะใดคณะหนึ่ง
เดินทางจากนครปฐมโบราณไปสู่ดินแดนอินเดีย เพื่อไปนมัสการปูชนียสถานในพระพุทธศาสนา
และได้เดินทางไปจนถึงพระมหาสถูปสาญจี หรือตรงกันข้าม มีบุคคลซึ่งเป็นพ่อค้าคหบดี
ชาวเดินเรือ หรือ พระภิกษุสงฆ์ ผู้ใดผู้หนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่ง
ซึ่งเคยเห็นพระมหาสถูปสาญจี ได้เดินทางจากอินเดีย มาสู่ดินแดนแห่งนครปฐมโบราณ
มาบอกเล่าเก้าสิบให้ทราบต่อ ๆ กันมาว่า ที่พระมหาสถูปสาญจี มีประตูหรือโดรณทำด้วยศิลาและจำหลักภาพเป็นรูปล้อธรรมจักร
จำหลักภาพเป็นบัลลังก์และต้นพระศรีมหาโพธิ จำหลักเป็นรูปพระนางศิริมหามายาประทับนั่งบนดอกบัว
มีช้างสองเชือกยืนบนดอกบัวชูงวงถือเต้าน้ำเทลงมายังพระองค์ และช่างศิลปสมัยนั้นก็จดจำไว้
แล้วนำมาจำหลักลงไว้ในล้อธรรมจักรดังที่เห็นกันอยู่ในบัดนี้ แต่ช่างนำมาไม่ถนัด
ว่าที่พระมหาสถูปสาญจี เขาทำรูปพระนางศิริมหามายาประทับนั่งอยู่บนดอกบัวคนละดอกกับช้างสองเชือก
หากแต่สดับตรับฟังมาว่า ช้างสองเชือกก็ยืนอยู่บนดอกบัวด้วยเหมือนกัน
หรืออาจเป็นเพราะเนื้อที่บนล้อธรรมจักรนั้นจำกัดอยู่ ช่างสมัยนครปฐมโบราณจึงจำหลักรูปพระนางศิริมหามายา
กับช้างสองเชือกอยู่บนดอกบัวใหญ่ดอกเดียวกัน ดังท่านจะเห็นได้ที่ธรรมจักรศิลาในพิพิธภัณฑสถาน
ฯ พระปฐมเจดีย์บัดนี้ ( ดูภาพลายเส้นเขียนจากลายธรรมจักรเปรียบเทียบ
กับภาพจำหลักปางประสูติ ณ พระมหาสถูปสาญจี )
รูปที่ 30
ภาพลายเส้น
รูปที่ 30
อธิบายรูปที่
30
ภาพดินปั้น ปางประสูติ หรือ คชลักษมี สมัยทวารวดี
ในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
.........................
1.
นางกษัตริย์ประทับนั่งขัดสมาธิราบ สองหัตถ์ประคองอุทร หรือถือก้านดอกบัวตูมข้างละดอก
จะเห็นดอกบัวตูตั้งขึ้นเบื้องปฤษฎางค์เหนืออังสา
2. ช้างสองเชือกยืนเครื่องคชาธารชูงวงถือเต้าน้ำยื่นไปยังนางกษัตริย์
และคว่ำเต้าน้ำเทลงมา เห็นเป็นสายเต้าละ 4 สาย
3. แส้จามรี 2 แส้ ตั้งด้ามลง อยู่ระหว่างช้างกับนางกษัตริย์ ข้างละแส้
4. ขอช้าง 2 ขอ ปักปลายลง ด้ามตั้งขึ้น ข้างละขอ
5. วัชระ 2 อัน ตั้งอยู่ 2 ข้าง
6. พวงประคำ หรือพวงมาลัย หรือบ่วงเชือกบาศ 2 พวง หรือ 2 บ่วง
อยู่ 2 ข้าง
7. สังข์ 2 ตัว ตั้งหงายข้างละตัว
8. ปลา 2 ตัว หันหัวลงล่าง อยู่ข้างละตัว
9. ฉัตร 2 ฉัตร วางหงาย ด้ามตั้งขึ้นไปเกือบชนกับด้ามแส้จามรี
ข้างละฉัตร
10. พัดโบก หรือวาลวิชนี 2 อัน ตั้งปักตัวพัดลง ชูด้ามขึ้น ข้างละอัน
11. เต้าน้ำเบื้องล่าง รองรับดอกบัวอยู่ตรงกลาง
12. วงดอกบัวบานมีกลีบซ้อนแบบมองเห็นจากเบื้องบน อยู่ตรงกลาง รองรับอาสนะกลีบบัวของนางกษัตริย์
4
มุมของดินปั้น มีเสี้ยวกลีบบัวแบบบัวฟันยักษ์ มุมละเสี้ยว
รูปที่ 31 ภาพลายเส้น
คชลักษมี หรือปางประสูติ นายจำรัส
เกียรติก้อง
ทำด้วยดินเผา พบที่บริเวณ วาดจากรูปที่
31 และเติมเส้นจุด
เมืองเก่าอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อให้เห็นว่า
เมื่อสมบูรณ์คงจะมีรูปเช่นนี้
นอกจากภาพจำหลักที่ธรรมจักรศิลาดังกล่าวมาแล้ว
ยังได้พบภาพคล้ายคลึงกันนี้ ซึ่งทำเป็นภาพดินปั้นบ้าง หินปูนสีเขียวแก่บ้าง
อีกหลายชิ้น แต่ชิ้นที่สมบูรณ์ทำด้วยดินปั้นแผ่นสี่เหลี่ยม ยาว
21 เซนติเมตร กว้าง 14.5 เซนติเมตร เก็บไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
พระนคร มีป้ายบอกไว้ว่า "ศิลปสมัยทวารวดี ได้มาจากพระปฐมเจดีย์
จังหวัดนครปฐม" ( ดูรูปที่ 30 ) ภาพดินปั้นแผ่นนี้ นาย เจ.
เจ. โบเลส ( J. J. Boeles ) เรียกไว้ในบทความเรื่อง "กษัตริย์ศรีทวารวดี
และเครื่องราชกกุธภัณฑ์" ในจดหมายเหตุของสยามสมาคม เล่ม 42
ภาค 1 ประจำเดือนเมษายน ค.ศ. 1964 ( พ.ศ. 2507 ) ว่าเป็น "คชลักษมี"
โดยอธิบายว่าเป็นภาชนะเครื่องสำอางสำหรับใส่แป้งและน้ำมันหอม ซึ่งกษัตริย์สมัยทวารวดีโปรดให้ทำขึ้นเป็นราชูปโภค
นอกจากนี้ ยังมีภาพปั้นดินเผา ( ชำรุด ) ขนาดย่อม ๆ อีกหลายชิ้น
ซึ่งพบที่บริเวณเมืองเก่า อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ทำเป็นรูปสตรีถือดอกบัวสองมือ
และมีช้างสองเชือกอยู่สองข้างซ้ายขวา ( รูปที่ 31 ) น่าจะแสดงว่าในสมัยครั้งกระโน้น
คงจะมีผู้รู้จักความหมายของภาพลักษณะนี้กันอยู่แล้ว ช่างในสมัยนั้นจึงนิยมปั้นและแกะสลักภาพแบบนี้ขึ้นไว้
อย่างไรก็ตาม ภาพดินปั้นก็ดี ภาพปั้นดินเผาก็ดี ภาพจำหลักที่ธรรมจักรศิลาดังกล่าวมาข้างต้นก็ดี
ถ้าพิจารณาเปรียบเทียบกับภาพจำหลักที่เสาประตูหรือโดรณของพระมหาสถูปสาญจีแล้ว
เข้าใจว่าเกิดขึ้นจากความคิดแนวเดียวกัน ซึ่งนายฮาเวลล์ ได้อธิบายไว้ว่า
"บรรดาสัญญลักกษณ์ของพระพุทธศาสนานั้น มิใช่เป็นของที่ (
แรก ) บัญญัติกันขึ้นในพระพุทธศาสนา แต่เป็นสมบัติทั่วไปของศาสนาแบบอินโดอารยันทุกศาสนา
การยืมสัญญลักษณ์ของกันและกันไปใช้นี้ จะเห็นได้ เช่น ในแผ่น (
ศิลาจำหลัก ) ต่าง ๆ แสดงรูปพระนาง ( ศิริมหา ) มายา พระพุทธมารดาประทับนั่งหรือยืนบนดอกบัวซึ่งชูดอกขึ้นมาจากเต้าน้ำ
ส่วนด้านข้างมีช้างโสรจสรงพระนางจากเต้าน้ำที่ถืออยู่ในงวง เป็นการแน่นอนตาม
ม. ฟูแชร์กล่าวไว้ว่า ภาพนี้ช่างประติมากรรมเขาใช้เป็นเครื่องหมายปางประสูติพระพุทธองค์
มีกาลอุบัติอันน่ามหัศจรรย์ที่ได้เห็นกันทุก ๆ เวลาเช้า มาหลายชั่วอายุของศิลปิน
แต่สมัยก่อนพุทธกาลแล้ว เช่นแสงเงินแสงทองที่เรียกว่า อุษา โผล่ขึ้นมาจากมหาสมุทร
และดอบบัวพระหรหมา ซึ่งสมมติเป็นบัลลังก์ของพระผู้สร้าง ขยายกลีบแย้มบาน
อุษาสมมติเป็นนางฟ้าผู้เปิดประตูสวรรค์ และเธอจะได้รับการโสรจสรงจากช้างของพระอินทร์
กล่าวคือ เมฆฝน ครั้งตนมาในสมัยพุทธกาลความหมายของนิยายดังกล่าวนี้เปลี่ยนแปลงไป
พระพรหมาก็ถูกปลดออกจากบัลลังก์ นางอุษาก็กลายเป็นพระพุทธมารดาผู้มีพระนามว่า
มหามายา ตามความหมายของคำ แปลว่าความยั่วยวนใหญ่ ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์โศกที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางแห่งความรอดพ้นไว้
ในศิลปของอินเดียยุคหลัง ๆ มาสมมติว่า อุษา หรือ มหามาย นี้เป็นนางลักษมี
ว่าเป็นเทพธิดาแห่งความสว่างไสวของวัน ผู้ทำให้พระพิษณุองค์สวามีทรงชื่นบานพระทัย
เมื่อทรงมีชัยชนะการต่อสู้กับบรรดาผีร้ายแห่งความมืดของราตรี แล้วทรงน้ำอมฤตที่ทรงกวนได้จากเกษียรสมุทรมาพร้อมกับองค์ลักษมีด้วย"
ถ้าภาพดินปั้น
( ดูรูปที่ 30 ) หมายถึงปางประสูติ จะเป็นไปได้ไหม ที่มีภาพราชกกุธภัณฑ์และเครื่องราชูปโภคบางอย่าง
เช่น ฉัตร และพัดโบก กลับหงาย และห้อยลง มีคั่นฉัตรตั้งขึ้น ซึ่งสมมติเป็นนิมิตว่ากุมารที่ประสูติออกมาจะไปอยู่ครองเศวตฉัตร
คือเป็นเครื่องหมายแห่งมหาภิเนษกรมณ์
เรื่องความหมายของภาพจำหลักที่ธรรมจักรศิลา
จะเป็นสัญญลักษณ์ ปางประสูติ ในพุทธประวัติดังกล่าวมา หรือจะเป็นคชลักษมี
เช่นบทความของนายโบเลส ก็สุดแต่ผู้รู้จะวินิจฉัยลงความเห็นกันต่อไป
แต่ถ้าเป็นภาพแสดงสัญญลักษณ์ปางประสูติในพุทธประวัติ ธรรมจักรศิลาล้อนั้น
( ดูรูปที่ 26 ) ก็เป็นสมมติที่มีค่าเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในทางศิลปและโบบราณคดี
เพราะนำเอาสัญญลักษณ์ถึง 2 ปาง คือ ปางประสูติและปางประทานปฐมเทศนา
( คือตัวธรรมจักร ) มารวมไว้ในวัตถุชิ้นเดียวกัน. (จบ)