หน้าหลัก l กระดานสนทนา l สมุดเยี่ยม l รวมเว็บ 
 
หน้า 2 หน้า 1 l 2 l 3 l 4 l 5 l 6 l 7 l 8 l 9  


                  ที่ข้าพเจ้านำเอาเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิ และจักกรัตนะหรือจักรแก้ว หรือล้อแก้ว มากล่าวนำไว้ยืดยาว ก็โดยประสงค์จะให้เป็นที่กำหนดหมายรู้ไว้ ว่าพระเจ้าจักรพรรดินั้นทรงมีจักกรัตนะเป็นเครื่องมือแผ่พระบรมเดชานุภาพ ส่วนพระพุทธเจ้า เมื่อตรัสเทศนาครั้งแรก ก็ทรงใช้ธรรมจักรเป็นเครื่องมือแผ่พระธรรม เป็นตัวอย่างเปรียบเทียบกันจักกรัตนะนั้นได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า พระราชาจักรพรรดิทรงทำให้หมุน สัตว์มนุษย์ไร ๆ ที่เป็นปรปักษ์ (ต่อพระราชาจักรพรรดิ) จะหมุนไม่ได้ ธรรมจักรก็เช่นเดียวกัน พระพุทธเจ้าทรงมนุนใครอื่นหมุนไม่ได้ เช่นที่กล่าวไว้ในตอนท้ายธรรมจักกัปปวัตนสูตร มีเรื่องพวกเทวดาประกาศก้องได้ยินเสียงตั้งแต่ภาพพื้นดินต่อ ๆ ขึ้นไปถึงพรหมโลกว่า "ธรรมจักรประเสริฐ ยิ่ง ที่สมณะ หรือพราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือพรหม หรือใคร ๆ ในโลก หมุนกันไม่ได้นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมนุนได้แล้ว ณ อิสิปตนะมิคทายวัน ในนครพาราณสี" ตามที่กล่าวนี้ ก็คงเห็นกันได้แล้วว่า พระพุทธเจ้า แม้จะได้ทรงสละความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เสด็จออกทรงผนวชและตรัสรู้แล้ว ก็ยังนำเอาลักษณะกิริยาหมุนจักรของจักรพรรดิมาใช้ในการประกาศพระธรรม แสดงให้เห็นว่า ในครั้งกระนั้น ความเชื่อในเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิหมุนจักกรัตนะมีอยู่ในหมู่ประชาชนชาวอินเดียโดยทั่วไป หรืออย่างน้อย ก็มีอยู่ในหมู่ชนชาวอินเดียตอนกลาง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมจักร จึงมีข่าวเล่าลือกระฉ่อนไปโดยกว้างขวางอย่างรวดเร็ว เรียกจักรของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมจักร มิใช่จักกรัตนะอย่างของพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าจะตั้งเป็นปัญหาว่า พระพุทธเจ้าทรงหมุนธรรมจักร อย่างไร ? เป็นเรื่องต้องพูดกันต่างหาก หวังว่าบรรดาท่านนักธรรมะทั้งหลาย ย่อมทราบกันดีอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะขอนำไปกล่าวในโอกาสอื่น จะไม่นำมากล่าวในที่นี้ และจะพิจารณาธรรมจักรเฉพาะทางวิชาโบราณคดีและศิลปต่อไป


รูปที่ 1
ภาพสิงโตรองรับธรรมจักร เหนือบัวหัวเสา  บนเสาศิลาอโศก  ขุดพบที่ตำบลสารนาถ  เมืองพาราณสี

                 ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจักกัปปวัตนสูตรนี้ บรรดาพุทธศาสนิกชนทุกสมัยถือเป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างยิ่งตอนหนึ่งในพุทธประวัติ ซึ่งเรียกกันว่า"ปาง" เช่นเดียวกับอีก 3 ตอน คือ ปางประสูติ ปางตรัสรู้ และปางปรินิพพาน ครั้งภายหลังพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว จึงได้มีผู้สร้างรูปแสดงเรื่องตามปางเหล่านี้กันขึ้น แต่การที่จะสร้างพระรูปพระพุทธองค์ซึ่งเป็นที่เคารพขึ้นในประเทศอินเดียสมัยนั้น เป็นของต้องห้าม บรรดาศิลปินของอินเดียจึงคิดหาวิธีสร้างเป็นรูปภาพแสดงเรื่องราวตามปางเหล่านั้นขึ้นแทน โดยไมทำเป็นพระรูปพระพุทธองค์ ในเรื่องนี้สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงนำเอาแนวความคิดของนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสมาอธิบายไว้ว่า "มูลเหตุของรูปภาพในพระพุทธศาสนา ศาสตราจารย์ฟูแชร์ตรวจหลักฐานที่มีอยู่เห็นว่า เดิมจะเกิดขึ้น ณ ที่บริโภคเจดีย์ 4 แห่ง คือ ที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน ก่อนที่อื่น ด้วยมีเงินตอกตราเป็นรูปดอกบัวเป็นเครื่องหมายที่ประสูติ รูปต้นโพธิ์เป็นเครื่องหมายที่ตรัสรู้ รูปธรรมจักรเป็นเครื่องหมายที่ปฐมเทศนา และรูปสถูปเป็นเครื่องหมายที่ปรินิพพาน ปรากฎว่าเป็นของเก่าก่อนเจดีย์วัตถุของพระเจ้าอโศกมหาราช ช้านาน......ครั้นต่อมาตั้งแต่พระเจ้าอโศกมหาราชยกพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นศาสนาสำหรับประเทศ และสร้างเจดีย์วัตถุใหญ่โตต่าง ๆ อันประกอบด้วยฝีมือช่าง พวกช่างเอาเครื่องหมายในเงินตรานั้นมาคิดประกอบเป็นลวดลายของเจดียสถาน ในสมัยนั้นยังห้ามมิให้ทำพระพุทธรูปจึงทำดอกบัวเป็นเครื่องหมายปางประสูติ บัลลังก์กับต้นโพธิ์เป็นเครื่องหมายปางตรัสรู้ ธรรมจักรกับกวางเป็นเครื่องหมายปางปฐมเทศนา พระสถูปเป็นเครื่องหมายปางปรินิพพาน" ล้อธรรมจักรที่นักปราชน์ทางโบราณคดีได้พบว่ามีอายุเก่าที่สุด เข้าใจว่า ธรรมจักร เครื่องหมายพระสัทธรรม ทำลอยตัว ซึ่งประดิษฐานอยู่เหนือสิงโต 4 ตัวหันหน้าออกสู่ทิศทั้งสี่ บนฐานกลมเหนือบัวหัวเสาศิลาของพระเจ้าอโศกมหาราช สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอโศก เมื่อราวปลายพุทธศตวรรษที่ 3 (ดูรูปที่ 1)

รูปที่ 2  แผนผังพระมหาสถูปที่สาญจี
อัณฑะ เดิมก่ออิฐ ต่อมาก่อแผ่นหินหุ้ม เมื่อ พ.ศ. 493

                  แต่ต่อมาได้หักพังตกจมดินอยู่ที่ตำบลสารนาถ ใกล้เมืองพาราณสี เพิ่งขุดค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2447 แต่วงล้อธรรมจักรหักเสียหาย ที่ฐานกลมรองรับเหนือบัวหัวเสา ตรงเท้าสิงโตทั้งสี่ลงมานั้น มีวงล้อจำหลักอีก 4 วง ประจำทั้งสี่ด้าน ระหว่างวงล้อ จำหลักเป็นรูปสัตว์คั่นช่วงล้อละตัว รวม 4 ตัว คือ รูปช้าง รูปวัว รูปม้า และสิงโต*  ภาพของสัตว์ทั้งสี่นี้มองเห็นว่ามิได้ยืนนิ่ง แต่มีท่าวิ่งหรือเดินทุกตัว อันแสดงให้เห็นว่าวงล้อเหล่านั้นกำลังหมุน มิได้หยุดเฉย ซึ่งรัฐบาลอินเดียสมัยนี้ ได้นำรูปบัวหัวเสามีสิงโต 4 ตัวนี้มาใช้เป็นสัญญลักษณ์ของประเทศอินเดียในปัจจุบัน กับมีเสาสิงโตทรงธรรมจักร เรียกว่า สิงหสตัมภะ ตั้งอยู่ริมประตูหรือโดรณด้านใต้ของพระมหาสถูปสาญจี อีกเสาหนึ่ง (ดูรูปที่ 2 ) ต่อจากสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชมาก็มีล้อธรรมจักรซึ่งนำหลักอยู่เหนือเสาประต ูหรือโดรณของพระมหาสถูปสาญจี มีอายุอยู่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 4 - 5 คือ ราว 2000 กว่าปีมาแล้ว

 


หน้า 1 l 2 l 3 l 4 l 5 l 6 l 7 l 8 l 9  หน้าถัดไป >>