|
 |
|
กำลังอ่านอยู่ : 8 คน |
|
|
|
|

การทำสมาธิ
ทำเพื่อให้จิตสงบ หลีกเร้นจากความฟุ้งซ่าน และเป็นการเตรียมพลัง เหมือนเราชาร์ตแบตตอรี่ในเวลากลางคืนแล้วพอตอนเช้าก็เอาไปใส่โทรศัพท์มือถือ
ทำให้ใช้งานได้ไปตลอดวัน
การทำสมาธิ
ไม่ได้นั่งเพื่อจะเห็นอะไร ไม่ได้นั่งเพื่อถอดจิตไปไหน แต่นั่งเพื่อให้ใจสงบ
ให้สติกินข้าว สติจะได้มีแรง
หลวงพ่อชาบอกว่า
นั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง จะเย็นไปได้ 3 วัน เพราะฉะนั้น ถ้าเรานั่งทุกวันติดต่อกัน
ก็จะเย็นไปเป็นปี ถ้าใครนั่งไม่ได้ ก็นั่ง 10 นาที จะเย็นไปได้ 1 วัน
ตอนนั่งสมาธิ
เราจะรู้สึกว่ามีเรื่องหลายเรื่องมากกว่าตอนไม่ได้นั่ง เรื่องอะไรไม่รู้เข้ามาตีกันเต็มในหัว
แต่แม้กระนั้นก็ให้ลองสังเกตดูว่า ในท่ามกลางความยุ่งเหยิงในสมองเป็นเวลา
10 นาทีนั้น ถ้าทำทุกวัน ยังจะปรากฏความเย็นได้ 1 วัน นอกเวลานั่งสมาธิได้
คือ มันยังให้ผลอยู่ได้เหมือนกัน ก็แปลกดี แต่จริง
ทำสมาธิโดยการนั่งสมาธิ
การนั่งสมาธิ
มี 2 จุดประสงค์
1.
นั่งสมาธิเพื่อให้จิตสงบ ได้พักจิตใจ
นั่งโดยการดูลมหายใจ ตั้งจิตอยู่ที่รูจมูก สังเกตลมที่กระทบตอนเข้าและออก
บางคนบริกรรมด้วย เมื่อจิตสงบ บางทีคำบริกรรมจะหายไป ก็ให้หายไป บางทีสงบจนลมหายใจละเอียดแผ่วเบา
เหมือนไม่ได้หายใจ
การนั่งให้จิตสงบอย่างนี้
เรียกสมถะ ภาวนา
2.
วิปัสสนา เป็นการดูจิตเพื่อเจริญปัญญา
จิตจะเจริญของเขาเอง แล้วแต่เขาจะหยิบยกธรรมใดขึ้นมาพิจารณา โดยก่อนหน้านั้นผู้ปฏิบัติเพียงแต่เจริญสติสัมปชัญญะเท่านั้น
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาถึงวิธีปฏิบัติที่ละเอียดมาก จึงจะถึงขั้นนี้ได้
หลักการดูจิตขอแนะนำให้ท่านผู้อ่าน ศึกษาจากหนังสือของหลวงปู่ดูลย์
อตุโล หลักของท่านว่า อย่าส่งจิตออกนอก
มักมีผู้เล่าให้ฟังว่า
คนนั้นนั่งสมาธิแล้วเห็นอะไรต่ออะไร บางทีก็เล่าด้วยความชื่นชม บางคนเลยไปถึงว่าบรรลุแล้ว
ความจริงการได้เห็นไม่ใช่จุดประสงค์ของสมถะภาวนา เพราะสมถะภาวนาต้องการความสงบ
และไม่ใช่จุดประสงค์ของวิปัสสนา เพราะวิปัสสนาต้องการรู้ไตรลักษณ์
เพื่อให้จิตหลุดพ้น แต่การเห็นอะไร ๆ นั้น เป็นเพียงสิ่งที่ได้มาตามทาง

เหมือนกับเราจะเรียนทำกับข้าว
กว่าจะไปถึงเคล็ดลับการปรุงอันเป็นสูตรสุดยอด ก็ต้องผ่านการเป็นลูกมือ
รู้ว่าหั่นหัวหอมยังไงไม่ให้น้ำตาไหล คั้นกะทิเป็น คือได้ความรู้ตามเส้นทางที่ผ่านติดตัวมาบ้าง
การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน
สิ่งที่จะได้ติดไม้ติดมือไปก่อนจะถึงจิตขั้นสูงก็มี
เช่น รู้วาระจิตของคนอื่นได้ เป็นต้น แต่การเห็นอะไรที่ตื่นเต้นกันั้น
กลับเป็นตัวหลอกให้หยุดการเดินทาง ให้มัวเพลินอยู่กับมัน เหมือนกับจะไปดอนเมืองขึ้นเครื่องบิน
พอผ่านแดนเนรมิตก็แวะดูปราสาทเจ้าหญิงนิทราเพลิน เลยเลิกเดินทางไปดอนเมืองเสียแล้ว
เป็นตัว
หลอกให้หลงเอาไว้เพื่อไม่ให้เราไปต่อ
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล สอนว่า
เออ นิมิตบางอย่างมันก็สนุกดี น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้นมันก็เสียเวลาเปล่า
วิธีละได้ง่าย ๆ ก็คือ อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น ให้ดูผู้เห็น
แล้วสิ่งที่ไม่อยากเห็นนั้นก็จะหายไปเอง
ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง
ฉะนั้น
ใครที่อยากเห็นอะไร หรือเห็นแล้วดีใจเข้าไปเห็นอยู่เรื่อย ก็ควรรู้ว่ามันไม่ประโยชน์แก่ตัวเรา
เพราะการเห็นนั้น ไม่ได้พาตัวเราพ้นทุกข์ไปไหนเลย
ขอสรุปช่วงนี้
ด้วยคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ดังนี้
เวลาภาวนา อย่าส่งจิตออกนอก ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวงอย่าไปยึด ความรู้ที่เราเรียนกับตำรับตำรา
อย่าเอามายุ่งเลย ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วก็เวลาภาวนาไปให้มันรู้
รู้จากจิตของเรานั่นแหละ จิตของเราสงบ เราจะรู้เอง ต้องภาวนาให้มาก
ๆ เข้าเวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง ความรู้อะไร ๆ ให้มันออกจากจิตของเรา
ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละ
เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด ให้มันรู้ออกจากจิตเองนั่นแหละดี คือ
จิตมันสงบ
ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว
อย่าส่งจิตออกนอก ให้จิตอยู่ในจิต แล้วให้จิตภาวนาเอาเอง ให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธ
พุทโธอยู่นั่นแหละ แล้วพุทโธนั่นแหละจะผุดขึ้นในจิตของเรา เราจะได้รู้จักว่า
พุทโธนั้นเป็นอย่างไร แล้วรู้เอง
..เท่านั้นแหละไม่มีอะไรมากมาย

|