ที่นี้
ทำอย่างไรจึงจะเป็นคนดีได้ตลอดไป
ประการแรกก็คือ
ต้องฝึกตนเองให้เป็นคนมีเมตตา
ไม่ข่มเหงรังแกสัตว์ ไม่ทรมานสัตว์ ไม่กักขังหน่วงเหนี่ยวให้หมดอิสรภาพ
ไม่ยกย่องสรรเสริญคนที่ประทุษร้ายสัตว์ เมื่อจิตเราพัฒนาขึ้นจนเกิดเมตตาในสรรพสัตว์หวังความสุขความเจริญแก่คนและสัตว์ทั้งหลาย
จนเคยชินเป็นปกตินิสัยแล้ว จะทำให้เรามีจิตใจสูงขึ้น
จนไม่คิดอยากจะข่มเหงรังแกเพื่อนหรือผู้ที่อ่อนแอกว่าเรา
ประการที่
2 คือ เว้นจากการลักขโมยทรัพย์ สิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้
ไม่ว่าทรัพย์นั้นจะอยู่ในที่ใดก็ตาม
คิดเตือนใจเตือนตนไว้เสมอว่า เราหวงแหนในทรัพย์สิ่งของ
ๆ เราอย่างไร คนอื่นเขาก็หวงแหนในทรัพย์สิ่งของ ๆ เขาเหมือนเราเช่นกัน
ตั้งใจไว้ให้มั่นคงตลอดไปว่า เราจะไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้ให้
และจะไม่ใช้ให้ผู้อื่นทำแทนเราด้วย และจะไม่ยกย่องสรรเสริญคนที่ทำเช่นนั้นด้วย
3.
มีความซื่อสัตย์จริงใจ โอบอ้อมอารี
ต่อเพื่อนร่วมชั้น ร่วมโรงเรียน หรือเพื่อนนักเรียน
นักศึกษาต่างโรงเรียน ต่างสถาบันทุกคน และไม่ยกย่องสนับสนุนผู้ที่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต
ผู้ที่คิดทรยศหักหลังเพื่อนฝูง
ถ้าหากได้ฝึกตนให้มีปกตินิสัยได้ดังกล่าวมานี้แล้ว
เมื่อผ่านวัยเด็กจบการศึกษาเล่าเรียนเจริญเติบโตจนถึงวัยมีเหย้าเรือน
ก็จะเป็นคนดีมีนิสัยที่ซื่อสัตย์ต่อคู่ครองของตน วิถีชีวิตก็จะพบแต่ความสันติสุขตลอดไป
4.
งดเว้นจากการพูดเท็จ คำไม่จริงโกหก หลอกลวง
พูดเฉพาะคำสัตย์คำจริง พูดไปตามที่ได้เห็น ได้ยิน ได้ทราบ
ได้รู้มาอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น หากไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน
ไม่ได้ทราบ ไม่รู้ ก็ปฏิเสธไป โดยไม่พูดขยายเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
เรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก นอกจากจะไม่พูดปดด้วยตนเองแล้ว
จะต้องไม่สนับสนุนหรือยกย่องสรรเสริญให้คนอื่นพูดปดด้วย
ฝึกฝนให้มีปกตินิสัยติดตัวก็จะสามารถดำรงตนอยู่ในสัจจะวาจาอย่างมั่นคง
5.
งดเว้นจากการพูดส่อเสียด คำส่อเสียด
คือการนำความข้างนี้ไปบอกข้างโน้นนำความข้างโน้มมาบอกข้างนี้
เพื่อต้องการให้คนสองฝ่ายแตกแยกกัน ทะเลาะกัน การมีเจตนาเช่นนี้
อาจจะเกิดจากความโลภในผลประโยชน์ที่ตนจะได้จากคนทั้งสองฝ่าย
หรือความโกรธต้องการทำลายคนทั้งสองฝ่าย หรือมีความต้องการให้สะใจ
ต้องการดูคนแตกแยกกัน มีลักษณะเป็นสัญชาตญาณดิบในใจของสัตว์โลก
คือชอบดูความเดือดร้อนของคนอื่น สัตว์อื่น ในทางปฏิบัตินอกจากจะงดเว้นไม่พูดลักษณะนั้นแล้ว
จะต้องไม่ส่งเสริมให้คนอื่นพูด และไม่ยกย่องคนที่พูดเช่นนั้นด้วย
จะพูดเฉพาะในทางที่ส่งเสริมความสามัคคี ด้วยความรักความเมตตา
หวังดีต่อคนอื่นเป็นสำคัญ
6.
งดเว้นจากการพูดคำหยาบ คำหยาบ คือคำพูดที่พูดด้วยความโกรธ
ความริษยา ความเบียดเบียน มุ่งให้เกิดความวิบัติเสื่อมเสียไม่สบายกายใจแก่คนที่ตนพูดด้วย
เช่น คำด่าในลักษณะต่าง ๆ แต่ในเรื่องคำหยาบนั้นบางกรณีถ้อยคำอาจจะหยาบ
แต่เจตนาแล้วมุ่งในธรรม มุ่งสั่งสอน เพื่อกระตุ้นเตือนให้คนอื่นที่ตนพูดด้วยเป็นคนดี
เช่น มารดา บิดา ครู อาจารย์ กัลยาณมิตร ตำหนิด่าว่าคนอันเป็นที่รักของตน
เมื่อคนเหล่านั้นทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร ท่านไม่จัดเป็นคำหยาบ
เพราะเป็นคำพูดที่เกิดจากความเมตตา ความหวังดี การงดเว้นวาจาหยาบนั้น
นอกจากไม่พูดด้วยตนเองแล้ว ต้องไม่แนะนำให้คนอื่นพูด
ไม่ยกย่องชมเชยคนที่พูดคำหยาบด้วย และฝึกฝนตนเองให้เป็นคนพูดวาจาที่ไพเราะอ่อนหวานเป็นปกตินิสัย
7.
งดเว้นการพูดเพ้อเจ้อ เหลวไหลไร้สาระ
คำเพ้อเจ้อนั้น คือคำพูดที่ไม่มีเหตุผลไม่เป็นอรรถเป็นธรรม
ทั้งคนพูดคนฟังเสียเวลาไปโดยไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่คนทั่วไปจะนิยมคำพูดในลักษณะนี้มาก
คนดีนั้นนอกจากจะไม่พูดเพ้อเจ้อด้วยตนเอง ยังไม่สนับสนุนคนอื่นให้พูดเพ้อเจ้อด้วย
ทั้งไม่ยกย่องชมเชยให้ความสำคัญแก่คนที่พูดในลักษณะนี้ด้วย
เมื่อถึงคราวที่ตนจะพูดก็พูดเฉพาะเรื่องที่มีประโยชน์แก่ผู้ฟัง
ที่ท่านเรียกว่า มีวาจาเป็นสุภาษิต
8.
ไม่เพ่งเล็งโลภอยากได้ของเขาในทางทุจริต
ต้องฝึกฝนอบรมปรับสภาพจิตของเราให้สามารถควบคุมความโลภไว้ได้
อย่าให้ถึงกับโลภอยากได้ของ ๆ คนอื่นในทางที่ไม่ชอบไม่ควร
มีคนเป็นส่วนมากที่เข้าใจผิดในคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าสอนไม่ให้โลภ
เมื่อไม่โลภแล้วจะรวยได้อย่างไร จริงอยู่พระพุทธองค์ทองสอนให้ละความโลภ
ความโกรธ ความหลง แต่ถ้าผู้ใดยังละไม่ได้ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของบุคคลผู้นั้นเอง
มิใช่เป็นเรื่องเสียหาย ถ้าหากว่าผู้นั้นรู้จักควบคุมความโลภของตนให้อยู่ในขอบเขตที่ชอบที่ควร
ไม่ถึงกับโลภอยากได้ของ ๆ คนอื่นในทางที่ผิด หรือโลภมากเกินขอบเขต
คิดรวยทางลัดถึงกับค้าขายของเถื่อน ของเสพติดที่ผิดกฎหมาย
เป็นต้น ก็ต้องเดือดร้อนแน่นอน
อย่าลืมว่า
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้คนทั้งหลายหมั่นขยันในการประกอบอาชีพในทางสุจริต
ทรงชี้ให้เห็นโทษของความเกียจคร้านทำการงาน หากต้องการจะได้ทรัพย์สิน
เงินทอง ลาภ ยศ ก็ใช้ความพยายามแสวงหาเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมาในทางสุจริตชอบด้วยกฎหมาย
จะได้ว่ากี่ร้อยล้าน กี่พ้นล้าน ก็ไม่เสียหายไม่ผิดศีลผิดธรรมแต่ประการใด
เพราะได้มาในทางสุจริต ทรงสอนให้พัฒนาจิตของตนให้อยู่ในศีลในธรรม
มีความพร้อมที่จะเสียสละ บริจาค สงเคราะห์คนทั้งหลายด้วยความเมตตากรุณา
มีอัธยาศัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่โอบอ้อมอารีต่อคนทั้งหลาย
ที่เรียกว่าเป็นคนมีน้ำใจงามนั่นเอง
9.
ไม่คิดพยาบาทปองร้ายใคร แน่นอนในขั้นมิได้หมายความว่าสามารถละความโกรธได้เด็ดขาด
แต่ว่าแม้จะโกรธ ไม่พอใจ ไม่ยินดี หรือหงุดหงิดไปบ้าง
ก็ไม่ถึงกับเก็บเรื่องเหล่านั้นมาเป็นเรื่องที่ต้องอาฆาต
พยาบาท คิดจองล้างจองผลาญ ทำลายล้างกัน สามารถควบคุมอารมณ์ข่มใจได้
มีความพร้อมที่จะอดทนให้อภัย รอคอย และพิจารณาเห็นความจริงตามกฎของกรรม
จนถึงสามารถมองเห็นความจริงว่า เวรย่อมไม่สงบระงับไปเพราะการจองเวร
แต่จะสามารถสงบไปได้เพราะการไม่จองเวร แม้คนอื่น จะจองเวรกับเรา
ก็ไม่สนใจที่จะจองเวรตอบ จนสามารถพัฒนาจิตใจให้เปี่ยมด้วยเมตตาในคนในสัตว์ทั้งหลายเป็นปกตินิสัย