สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิคมของชาวโกฬิยะ
ชื่อว่ากักกรปัตตะ ในครั้งนั้น มีชายคนหนึ่งชื่อทีฆชาณุ
หรืออีกนามหนึ่งว่าพยัคฆปัชชะ ได้เข้าไปเฝ้า แล้วกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์เจ้าผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นคฤหัสถ์ ยังบริโภคกาม
อยู่ครองเรือน
ยังยินดีทองและเงินอยู่
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรม ที่เหมาะแก่ข้าพระองค์
อันจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบัน
เพื่อประโยชน์และความสุขในภายหน้าเถิด พระเจ้าข้า
พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า
พยัคฆปัชชะ
! ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ และเพื่อความสุขในปัจจุบันแก่กุลบุตร
คือ
๑. อุฏฐานสัมปทา ๒. อารักขสัมปทา ๓. กัลยาณมิตตตา ๔.
สมชีวิตา
(ทีฆชาณุสูตร ๒๓/๒๕๖)
ลายแทง ๔ ข้อนี้ จัดว่าเป็น หัวใจเศรษฐี
ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานแก่ทีฆชาณุ ที่เราเอามาย่อว่า
อุ อา กะ สะ มีคำอธิบายโดยย่อ ดังนี้
อุ ย่อมาจาก อุฏฐานสัมปทา
คือ การถึงพร้อมด้วยความหมั่น คือ ขยันหมั่นเพียร ในการประกอบอาชีพที่สุจริต
ว่ากันตรง ๆ ก็คือ การไม่เกียจคร้านนั่นเอง
อา ย่อมาจาก อารักขสัมปทา
คือ การถึงพร้อมด้วยการรักษา คือ รักษาทรัพย์ที่หามาได้
ด้วยความหมั่น ไม่ให้เป็นอันตราย หรือหมดไปในทางที่ไม่เป็นประโยชน์
กะ ย่อมาจาก กัลยาณมิตตตา
คือ การมีเพื่อนเป็นคนดี ไม่คบคนชั่ว
สะ ย่อมาจาก สมชีวิตา
คือ การมีความเป็นอยู่ที่พอเหมาะพอดี ได้แก่การเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์
ที่หามาได้ ไม่ให้ฝืดเคืองนัก และไม่ให้ฟูมฟายนัก
ขอให้ศึกษาให้เข้าใจความุ่งหมาย และนำไปปฏิบัติให้จริงจังสม่ำเสมอ
ย่อมจะไม่อดอยากยากจนแน่นอน ขอแต่เพียงว่า อย่าเลือกงาน
ก็แล้วกัน
ขอให้ระลึกว่า มีคนที่ไหน ? งานต้องมีที่นั่น เพราะคนต้องกินต้องใช้
คนขาย คนบริการ และคนซื้อจึงต้องมี เป็นสิ่งที่คู่กัน
แม้เงินจะน้อยก็ควรทำไปก่อน เมื่อมีโอกาส จึงค่อยเปลี่ยนแปลงงานต่อไป
ก็จะไม่รู้จักกับคำว่า ตกงาน เลย
เมื่อเงินเดือน หรือรายได้ประจำไม่พอใช้จริง ๆ ก็ควรจะหารายได้เพิ่มเติม
เป็นประเภทงานอดิเรก ที่พอจะมีเวลาทำได้ ซึ่งแต่ละคนอาจะไม่เหมือนกัน
นอกจากนี้ แม่บ้านหรือลูก ๆ ทุกคน ก็ควรหัดให้ทำงานในบ้าน
หรือหารายได้อื่นๆ ที่พอสมควรแก่กำลัง และความสามารถของเด็ก
ทำให้เด็กมีประสบการณ์ และเป็นการสอนให้เรียนรู้ถึงค่าของเงินด้วย
มะเร็งร้ายในสังคมปัจจุบัน คือการใช้ของเงินผ่อน หรือใช้สิ่งที่ไม่ควรจะใช้
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้ แต่เพราะเห็นว่า เพื่อนบ้านเขามีหรือเขาใช้
เกรงว่าจะน้อยหน้าเขา ก็จำจะต้องมีต้องใช้ตามเขาไป
การประหยัด ก็เป็นสิ่งจำเป็น ที่จะต้องทำให้ได้ และปลูกฝังให้ลูกๆ
เกิดค่านิยมให้ได้ ควรจะแนะนำและทำให้ดู เสียแต่เล็กๆ
เพราะไม้อ่อนย่อมดัดง่ายอยู่แล้ว
ผู้เขียน มีความตั้งใจว่า ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
อย่างถูกต้องและจริงจัง ย่อมไม่ยากจนถึงขนาดอดอยาก หรือต้องเป็นหนี้สินเขาแน่นอน
อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีกินมีใช้ ไม่ถึงกับต้องอดอยากปากแห้งแน่
ทั้งนี้เพราะ ผู้เขียนได้พิสูจน์ จนประสบความสำเร็จมาแล้วเล่าอย่างไม่อาย
เพื่อเป็นบทเรียนแก่หลายๆ ว่า
ผู้เขียนไม่จบป.๔ ความรู้อี่นใดก็ไม่มี ทำเป็นแต่นาอย่างเดียว
เมื่อเข้ามาอยู่ในกรุง ก็ไม่พ้นการเป็นกุลี หรือกรรมกรขายแรงงาน
แต่ก็นับว่าเป็นบุญตัว ที่ได้มีโอกาสบวชเมื่ออายุครบ
จึงได้อานิสงส์จากการเรียนนักธรรม สึกออกมาจึงได้เข้าทำงานไปรษณีย์
(ตอนนั้นยังเป็นราชการอยู่)
แต่เงินเดือน ๆ ละ ๔๕๐ บาท มีเมีย ๑ ลูก ๑ มันจะพอกินอะไรจึงต้องขับสามล้อบ้าง
ตระเวนตัดผมเด็ก ในกะที่ไม่ถูกเวรบ้าง แม่บ้านก็ออกช่วยอีกแรงหนึ่ง
ชั่วเวลาไม่ถึง ๑๐ ปี โดยไม่มีทุนหรือมรดกเลย จากการเช่าบ้านและย้ายจนนับไม่ถ้วน
ก็มีโอกาสปลูกบ้านเล็กๆ อยู่เอง และได้มีที่ดินแปลงเล็กๆ
เป็นกรรมสิทธิ์ด้วย
จากการปฏิบัติตามพุทธวจนะ ด้วยการเว้นอบายมุขทุกชนิดไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงไปเปล่า
เราก็พอมีกินมีใช้ ไม่ต้องเป็นหนี้ใคร
ทุกวันนี้สินค้า ส่วนเกิน ของชีวิตมีมาก
ถ้าไม่ควบคุมตัณหาตาก็จะหันไปซื้อเอามาใช้เต็มบ้าน กลายเป็น
ทาสวัตถุ ไปจนตลอดชีวิต ชนิด ถมไม่รู้จักเต็ม
สักที
อยากจะขอถาม ผุ้ที่ตกอยู่ในฐานะ ชักหน้า ไม่ถึงหลัง
หรือ ชักหลัง ไม่ถึงหน้า ว่า ท่านมีสิ่งเหล่านี้หรือไม่
? ถ้ามีอยู่บ้านก็พอจะ ลืมตาอ้าปาก
ได้บ้าง แต่ถ้ามีอยู่มาก ก็อย่าหวังเลยที่จะ พอกิน
พอใช้ หรือ เหลือเกิน เหลือใช้
คือ
๑. ดื่มน้ำนรก หรือน้ำเปลี่ยนนิสัย เป็นประจำหรือเปล่า
?
๒.
หมกมุ่นอยู่กับผีการพนัน เป็นประจำหรือเปล่า ?
๓.
สันหลังยาย คือขี้เกียจหรือเปล่า ?
๔.
เป็นคนมือห่างตีนห่าง หรือประหยัดหรือเปล่า ?
๕.
หางานอดิเรกทำ เพื่อเพิ่มรายได้หรือเปล่า ?
๖.
เป็นคน รสนิยมสูง แต่รายได้ต่ำ หรือเปล่า ?
๗.
ติดค่านิยม สินค้าผ่อนส่ง หรือเปล่า ?
๘.
เป็นคน จมไม่ลง ใน วัตถุส่วนเกิน หรือเปล่า ?
๙
. เป็นคน ซื้อง่าย จ่ายคล่อง คือ ซื้อก่อนคิด หรือเปล่า
?
๑๐.
มีความคิดว่า งานสุจริตทุกชนิด เป็นงานมีเกียรติ หรือเปล่า
?
๑๑.
มีความกระตืนรือร้น ที่จะยกระดับฐานะ ของตนบ้างหรือไม่
?
ประการสุดท้าย ที่ถือว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายที่สุด ในบรรดาความจนทั้งหลาย
คือ จนใจ หรือ จนความคิด
อันเป็นเหตุให้ จนปัญญา ตามมาด้วย
ดังนั้น จงหมั่น เคาะความคิด คือ
ใช้ความคิดว่า ที่เรายากจน หรือรายได้ไม่พอรายจ่ายนั้น
เกิดจากอะไร ? คนที่มีรายได้เท่ากับเรา เขาจนอย่างเราทุกคนหรือ
?
ในโลกนี้มีงานต่าง ๆ จนนับไม่ถ้วน เราจะไม่สามารถเปลี่ยนงาน
หรือหารายได้พิเศษ จากงานเหล่านั้นบ้างเลยหรือ ?
ถ้าคนเรา จนความคิด หรือ จนใจ
เสียเพียงอย่างเดียว แม้แต่งานที่ทำอยู่ ก็จะไม่ก้าวหน้า
อย่างเก่งก็จะ ย่ำเท้าอยู่กับที่
และกำลังรอคอยวันที่จะถอยหลัง
แต่ถ้าไม่จนใจเพียงประการเดียว ก็อาจสามารถที่จะสร้างงานขึ้นมาใหม่
ๆ ที่ไม่ซ้ำกับคนอื่น หรืองานอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วด้วย
จงรีบสร้าง ความคิด เสียก่อนเถิด
แล้วงานมันจะมารอให้ท่านทำเอง ยังเกรงอยู่แต่ว่า ท่านจะทำไม่ไหว
หรือทำไม่ทันเท่านั้นแหละ ?.