Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เหตุที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิด อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
poivang
บัวตูม
บัวตูม


เข้าร่วม: 18 มิ.ย. 2005
ตอบ: 224

ตอบตอบเมื่อ: 19 ธ.ค.2006, 1:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เหตุที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิด

กิเลสเป็นตัวเหตุให้สัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิด ตราบใดที่มนุษย์เรายังมีกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะอยู่ในจิตใจ ทุกข์ก็ต้องมีอยู่และทำให้เราต้องทำบาปอกุศลอยู่ร่ำไป เมื่อทำบาปอกุศลแล้วก็ต้องรับวิบากกรรมนั้น ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย เวียนว่ายอยู่อย่างนี้เป็นวัฏฏทุกข์อันหาที่สุดมิได้ ต้องเจ็บปวด ต้องสูญเสีย ต้องพลัดพราก สับสน คับแค้นและสิ้นหวัง ไม่ว่าจะเกิดมาเป็นอะไรก็ตาม ทั้งอบายสัตว์ สามัญสัตว์ทั้งหลายล้วนต้องสูญเสีย แก่ เจ็บ ตายไปในที่สุด และหมุนเวียนเช่นนี้ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

เรามาพิจารณาดูว่าในวันหนึ่งๆ เราทำกรรมอะไรบ้างยกเว้นขณะหลับสนิท เพราะเวลาที่หลับสนิทนั้นไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน จิตจะเป็นภวังค์ ถามว่าจิตที่เป็นภวังค์นี้มีอารมณ์หรือไม่? จิตที่เป็นภวังค์ทุกดวงทุกขณะต้องมีอารมณ์ทั้งนั้น จิตจะไม่ว่างจากอารมณ์เลย เพราะจิตจะเกิดได้ต้องอาศัยอารมณ์ มีอารมณ์เป็นปัจจัย แต่ภวังคจิตมีอารมณ์เป็นอดีตภพ

คนเราที่นอนหลับนั้นคือจิตตกลงสู่ภวังค์ จึงไม่รับรู้อารมณ์ปัจจุบันเลยอยู่ในภาวะที่ไม่รู้สึกตัว ไม่มีความยึดถือใดๆทั้งสิ้นแม้แต่ตัวของตัวเอง ในขณะที่นอนหลับจึงรู้สึกว่าเป็นสุขไปชั่วขณะหนึ่ง ทั้งนี้เป็นเพราะจิตของเราในขณะที่หลับนั้นไม่รับอารมณ์ปัจจุบันจากทวารทั้งหกนั่นเอง คือไม่รับอารมณ์จากทางตา หู จมูก ลิ้น กายจากการสัมผัส และทางใจคือการนึกคิด ความเศร้าหมองต่างๆก็ไม่เกิด กิเลสจึงไม่เกิดในขณะนอนหลับ แต่จิตก็ยังทำงานอยู่ คือ เกิด- ดับ ฯ อยู่ตลอดเวลา และมีอารมณ์ที่เป็นอดีตภพ

ในชีวิตประจำวันเราต้องแสวงหาอารมณ์ต่างๆทางทวารทั้ง ๖ อยู่ตลอดเวลา เช่นต้องการเห็นสิ่งดีๆสวยๆงามๆ ไม่อยากเห็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าขยะแขยง ต้องการได้ยินเสียงดีๆที่ไพเราะอ่อนหวาน ไม่ต้องการได้ยินเสียงรบกวนหนวกหู เสียงบ่นเสียงด่าว่าร้าย ต้องการได้กลิ่นหอมๆ ไม่ต้องการกลิ่นเหม็น ต้องการลิ้มรสของที่อร่อย ต้องการอยู่ในอิริยาบถที่สบาย เป็นต้น ความต้องที่ว่ามานี้เมื่อได้มาแล้วก็หาได้หยุดอยู่แค่นั้นไม่ ต้องการที่จะเพิ่มมากขึ้นอีกไปเรื่อยๆ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการสมปรารถนาแล้วก็ยังต้องการสิ่งอื่นๆต่อไปอีก โดยไม่มีความเพียงพอหรือไม่จบไม่สิ้นความต้องการเลยตลอดเวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่

ถ้าเราได้สิ่งที่ดีๆก็พอใจในสิ่งนั้นเสมอ เมื่อได้อารมณ์อันเป็นที่พอใจแล้ว ก็ติดใจในอารมณ์นั้นๆอย่างมั่นคง แล้วจะพยายามให้ได้อารมณ์นั้นๆเพิ่มมากขึ้นไปอีก ความพอใจติดใจในอารมณ์ต่างๆเหล่านี้จะฝังแน่นอยู่ในจิตใจอย่างไม่รู้ลืม (เพราะจิตมีอำนาจในการเก็บสะสมกรรมต่างๆ ที่ได้ทำเอาไว้แล้ว และรักษาเอาไว้ไม่ให้สูญหายไปไหน) ซึ่งเราเรียกความพอใจติดใจในอารมณ์เหล่านี้ว่าโลภะกิเลส หรือโลภะตัณหา

ความอยากได้ ความพอใจ ความติดใจ ยินดีในอารมณ์ต่างๆเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้ทุกๆวัน แต่ละวันมีไม่น้อยที่จิตได้สั่งสมเอาไว้ดังนั้นตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งตายไปจะมีมากสักเพียงใด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกรรมที่มีกำลัง มีพลังมีอำนาจมากที่ทุกคนคิดไม่ถึง แม้แต่ทำบุญกุศล ต่างก็ตั้งความปรารถนาหรืออธิษฐานไปถึงชาติหน้าอีกด้วย เช่นอธิษฐานเกิดชาติหน้าให้ร่ำรวย ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง อย่ามีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ขอให้มีหน้าตาสวยงามไม่พิกลพิการ เป็นต้น

ความปรารถนาหรือคำอธิษฐานนี้มีพลัง มีกำลังมาก ถึงแม้เราจะมองไม่เห็นตัวความปรารถนาตรงนี้ หรือจะสัมผัสมันไม่ได้ก็ตาม เพราะเป็นพลังให้เราต้องทำกรรมตามที่ตั้งความปรารถนาเอาไว้เป็นการทำบุญด้วยกิเลสที่จะให้เวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีกนั่นเอง

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า กิเลสนั่นแหละเป็นตัวทุกข์ กิเลสเกิดทุกข์ก็เกิด มนุษย์เราตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ กิเลสตัวนี้แหละไม่ว่าจะเป็นความโลภ ความโกรธ หรือความหลงเกิดขึ้นกับผู้ใดทำให้ผู้นั้นต้องทำกรรมอีก แม้จะเป็นกุศลกรรมให้ผลเป็นความสุขก็จริง แต่ก็มีความทุกข์แอบแฝงอยู่ด้วย เพราะกุศลกรรมที่มีตัณหาอุปาทานเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันอยู่นั้น ทำให้เกิดภพใหม่ชาติใหม่

เมื่อมีชาติหมายถึงการมีเกิดคือ รูปนามขันธ์๕เกิด ก็มีความแก่ชรา มรณะความตาย ความโศกเศร้าเสียใจ ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ความต้องประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก หวังสิ่งใดแล้วไม่ได้สมหวัง ตามมาอีกเป็นขบวนทีเดียว ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ทั้งหมดเพราะความยึดมั่นถือมั่นในชีวิตในกายและใจ ที่เรียกว่ารูปนามขันธ์ ๕ (อุปทานขันธ์) เพราะมีกายและใจ(รูปนามขันธ์๕) เกิดขึ้นมาแล้ว ความทุกข์ดังกล่าวทั้งปวงก็เกิดขึ้นตามมา

เมื่อทำกรรมอีก ผลของกรรมที่ทำนั่นแหละก็นำเกิดอีกในภพภูมิใหม่ คือรูปนามหรือขันธ์๕ มาเกิดอีก มีความแก่ชรา มรณะ ตามมาอีก จะเวียนวนอย่างนี้ไม่มีที่สุด ที่เรียกว่าวัฏสงสาร คือการเวียนว่ายตายเกิด และตัวที่ทำให้มีการเวียนว่ายตายเกิดก็คือตัวกิเลสนั่นเอง

แต่ถ้าได้ศึกษามีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน มีบารมีในทางธรรมจนเกิดมีปัญญาเห็นรูปนามขันธ์๕ หรือกายกับใจตามความเป็นจริง เห็นความเกิดเป็นทุกข์ เห็นสมุทัยคือตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เห็นทางดับทุกข์ และปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ ก็สามารถชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด ปราศจากกิเลส จึงละกิเลสได้ พอสิ้นกิเลสกรรมก็หมด เมื่อกรรมหมดวิบากก็หมด ทุกข์ก็หมด วัฏฏะก็สิ้นสุดลง นั่นแหละจึงพ้นจากสังสารวัฏนี้ได้

บทธรรมะนี้มาจากหนังสือที่เผยแผ่เป็นธรรมทาน ซึ่ง พ.ต.อ. ประยูร ดิษฐานพงศ์ เป็นผู้รวบรวมเรียบเรียง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 20 ธ.ค.2006, 8:19 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โมทนานะครับ สาธุ.. สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
poivang
บัวตูม
บัวตูม


เข้าร่วม: 18 มิ.ย. 2005
ตอบ: 224

ตอบตอบเมื่อ: 20 ธ.ค.2006, 4:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เจริญในธรรมค่ะคุณ I am
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 21 ธ.ค.2006, 1:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุค่ะ...คุณ poivang

ธรรมะสวัสดีค่ะ

ยิ้ม ปรบมือ ยิ้ม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ธ.ค.2006, 9:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

poivang พิมพ์ว่า:

เมื่อมีชาติหมายถึงการมีเกิดคือ รูปนามขันธ์๕เกิด ก็มีความแก่ชรา มรณะความตาย ความโศกเศร้าเสียใจ ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ความต้องประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก หวังสิ่งใดแล้วไม่ได้สมหวัง ตามมาอีกเป็นขบวนทีเดียว ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ทั้งหมดเพราะความยึดมั่นถือมั่นในชีวิตในกายและใจ ที่เรียกว่ารูปนามขันธ์ ๕ (อุปทานขันธ์) เพราะมีกายและใจ(รูปนามขันธ์๕) เกิดขึ้นมาแล้ว ความทุกข์ดังกล่าวทั้งปวงก็เกิดขึ้นตามมา



ขออนุญาต พูดคุยด้วยน่ะครับ

เกี่ยวกับกระทู้นี้......

มีหลายพระสูตรมาก (เช่น อัตตทีปสูตร) ที่กล่าวว่า การยึดมั่นว่า ขันธ์๕ เป็นเรา-ของเรานี้ทำให้เกิดทุกข์ในปัจจุบันได้โดยตรงเลย..... โดยอาจจะไม่ต้องไปเกี่ยวข้องโดยตรงกับ ชาติ ชรา มรณะ
(แต่ดูดีๆน่ะครับ ว่าอาจจะเกี่ยวข้องโดยอ้อม เพราะถ้าไม่เกิดมาก็ไม่มีขันธ์๕..... และถ้าไม่มีขันธ์๕ อุปาทานขันธ์๕จะมีมาแต่ไหน.....ตรงกับพระพุทธดำรัสที่ตรัสว่า อุปาทานอื่นจะนอกจากขันธ์๕ไม่มี)
เพราะถ้าเรายึดมั่นว่า ขันธ์๕ เป็นเรา-ของเราแล้ว...... เมื่อ ขันธ์๕แปรไปเป็นอื่นไป ทุกข์ใจจึงเกิด เดี๋ยวนี้ เวลานี้เลย

และในธาตุสูตร ที่กล่าวว่า พระอรหันต์ที่ถึงซึ่งสอุปาทิเสสนิพพานธาตุนั้น(เพราะถอนตัณหา เครื่องนำไปสู่ภพ....อันมีในปัจจุบัน....อุปาทานนั้นดับหมด)ท่านสิ้นทุกข์ทางใจแล้ว โดยที่ภพยังไม่ดับสนิทโดยประการทั้งปวงเสียด้วยซ้ำ(ท่านยังไม่ดับขันธปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ....ซึ่งเป็นที่ดับสนิทของภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวงอันมีในเบื้องหน้า)

นั่นแสดงว่า อุปาทานนี้เป็นจุดสำคัญ ที่นอกจากจะทำให้เป็นทุกข์ใจในปัจจุบันแล้ว..... อุปาทานยังเป็นปัจจัยให้มีการเกิดใหม่ด้วย(เช่น ในกุตุหลสาลาสูตร)

พระพุทธองค์ไม่ทรงบัญญัติการเกิดกับผู้หมดอุปาทาน
จาก กุตุหลสาลาสูตร

"……..แม้พระสมณโคดมนั้น ก็ทรงพยากรณ์สาวกผู้ กระทำกาลกิริยาล่วงไปแล้วในอุปบัติทั้งหลายว่า ท่านโน่นบังเกิดในภพโน้น ท่าน โน่นบังเกิดในภพโน้น ดังนี้ และสาวกของพระสมณโคดมนั้น รูปใดเป็นบุรุษ สูงสุด เป็นบุรุษยอดเยี่ยม ได้บรรลุความปฏิบัติอันยอดเยี่ยมแล้ว พระสมณโคดม ก็ทรงพยากรณ์สาวกรูปนั้น ผู้กระทำกาลกิริยาล่วงไปแล้วในอุปบัติทั้งหลายว่า ท่าน โน่นเกิดในภพโน้น ท่านโน่นบังเกิดในภพโน้น ดังนี้เหมือนกัน

……..ยิ่งกว่านั้น พระสมณโคดมนั้นยังทรงพยากรณ์สาวกรูปนั้นอย่างนี้ว่า รูปโน้นตัดตัณหาขาดแล้ว ถอนสังโยชน์ทิ้งเสียแล้ว ทำที่สุดแห่งทุกข์แล้วเพราะได้บรรลุเหตุที่ละมานะได้ โดยชอบ ดังนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้านั้น มีความเคลือบแคลงสงสัย แท้ว่า อย่างไรๆ พระสมณโคดมก็ต้องทรงรู้ธรรมอันบุคคลพึงรู้ยิ่ง ฯ ……”

"……. ดูกรวัจฉะ เราย่อมบัญญัติความเกิดขึ้นแก่คนที่ยังมีอุปาทานเท่านั้น หาบัญญัติแก่ คนที่หาอุปาทานมิได้ไม่
…….ดูกรวัจฉะ ไฟมีเชื้อจึงลุกโพลง ไม่มีเชื้อหาลุกโพลงไม่ แม้ฉันใด ดูกรวัจฉะ เราก็ย่อมบัญญัติความเกิดขึ้นแก่คนที่ยังมีอุปาทาน หาบัญญัติแก่คนที่หาอุปาทานมิได้ไม่ ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ…….”


ทีนี้ อุปาทาน ทำให้เกิดใหม่(โดยผ่านภพ)ได้อย่างไร
ลองพิจารณาพระพุทธวจนะนี้น่ะครับ

" เมื่ออุปาทาน ยังเป็นสิ่งที่ตัณหา และ ทิฏฐิอาศัยอยู่ได้
ความหวั่นไหวได้ก็ยังมีอยู่
เมื่ออุปาทานเป็นสิ่งที่ตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ได้
ความหวั่นไหวก็ไม่อาจมี
เมื่อความหวั่นไหวไม่มี ความระงับแห่งจิตย่อมมี
เมื่อความระงับแห่งจิตมี ความน้อมไปในทางใดทางหนึ่งของจิตย่อมไม่มี
เมื่อความน้อมไปทางใดทางหนึ่งของจิตไม่มี การมาการไปก็ไม่มี
เมื่อการมาการไปไม่มี การจุติและการเกิดใหม่ก็ไม่มี
เมื่อการจุติและการปรากฎในโลกไม่มี การปรากฎในระหว่างโลกทั้งสองก็ไม่มี
นั่นแหละคือ ที่สุดแห่งทุกข์ล่ะ "
จตุตถสูตร, ปาฏลิคานิยวรรค, อุทาน


จึงเป็นที่ชัดเจนมากว่า มีพระสูตรที่ยืนยันว่า อุปาทานนั้นมีผลได้ทั้ง
1.ทุกข์ใจในปัจจุบันเลย
2.การเกิดใหม่(เกิดจริงๆแบบเป็นคนเป็นสัตว์.....ไม่ใช่สำนวนโวหาร)

และเมื่ออุปาทานดับ
1.ทุกข์ใจในปัจจุบันดับหมดสิ้นเลย
2.ไม่มีการเกิดใหม่ ไม่ว่าจะในภพใดๆ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ธ.ค.2006, 9:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จาก ธาตุสูตร

นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้
พระตถาคต ผู้มีจักษุผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้ว ผู้คงที่ประกาศไว้แล้ว
อันนิพพานธาตุอย่างหนึ่งมีในปัจจุบันนี้ ชื่อว่า สอุปาทิเสส เพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ

ส่วนนิพพานธาตุ (อีกอย่างหนึ่ง) เป็นที่ดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง อันมีในเบื้องหน้าชื่อว่า อนุปาทิเสส

ชนเหล่าใดรู้บทอันปัจจัยไม่ปรุงแต่งแล้วนี้มีจิตหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ ชนเหล่านั้นยินดีแล้วในนิพพานเป็นที่สิ้นกิเลสเพราะบรรลุธรรมอันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ ละภพได้ทั้งหมด ฯ


ผมขอแยกแยะตรงนี้ให้อ่านง่ายๆดังนี้

สอุปาทิเสส นั้นมีลักษณะ
1.มีในปัจจุบัน
2เพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ


อนุปาทิเสสนั้นมีลักษณะดังนี้
1.มีในเบื้องหน้า
2.เป็นที่ดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง



ลองดูนิพาน2ประเภทของพระอรหันต์ตามที่ท่านผู้รู้ท่านประมวลไว้น่ะครับ

จาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)


สอุปาทิเสสนิพพาน นิพพานยังมีอุปาทิเหลือ,
ดับกิเลสแต่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ คือ นิพพานของพระอรหันต์ผู้ยังมีชีวิตอยู่,
นิพพานในแง่ที่เป็นภาวะดับกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ;
เทียบ อนุปาทิเสสนิพพาน

http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=สอุปาทิเสสนิพพาน

อนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานไม่มีอุปาทิเหลือ,
ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ คือ สิ้นทั้งกิเลสและชีวิต หมายถึง พระอรหันต์สิ้นชีวิต,
นิพพานในแง่ที่เป็นภาวะดับภพ;
เทียบ สอุปาทิเสสนิพพาน

http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=อนุปาทิเสสนิพพาน


การถึงซึ่ง สอุปาทิเสสนิพพาน(ธาตุ) และ อนุปาทิเสสนิพพาน(ธาตุ) นั้น ก็เป็นปฏิจจสมุปบาทสายนิโรธวารนั่นเอง.....

เริ่มตั้งแต่ เพราะอวิชาดับ สังขารจึงดับ.....
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ.....
ไล่ไปเรื่อยๆ จนถึง เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ......
ตรงดับอุปาทานนี้ล่ะครับสำคัญ!!! เพราะอุปาทานนี้(เน้นอัตตวาทุปาทานหรือข้อ4ของ อุปาทาน4)เป็นปัจจัย ที่ทำให้เป็นทุกข์ทางใจที่พบได้ทุกเมื่อเชื่อวัน.....
ถ้าสิ้นอัตตวาทุปาทาน (หรือมีความสำคัญมั่นหมายว่า นี่เป็นเรา นี่เป็นของเรา) ทุกข์ทางใจ(โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส)ก็จะดับสนิท เช่น ตามนัยยะของอัตตทีปสูตร
ซึ่งก็คือถึงซึ่งสอุปาทิเสสนิพพาน(ธาตุ)นั้นเอง!!!.

หรือถ้าพิจารณาจากพระพุทธวจนะที่ตรัสถึง สอุปาทิเสสนิพพาน(ธาตุ)ที่ว่า
".....อันนิพพานธาตุอย่างหนึ่งมีในปัจจุบันนี้ ชื่อว่าสอุปาทิเสส เพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ....."
ควรให้ความสำคัญกับคำว่า มีในปัจจุบัน และคำว่า สิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ ให้ดีๆ. เพราะนี่บ่งบอกว่า
1."มีในปัจจุบัน" นั้นหมายถึง นับตั้งแต่วินาทีที่อวิชาสิ้นจากใจ ทุกข์ทางใจก็จะหมดสิ้น เพราะอุปาทาน(อัตตวาทุปาทาน)ก็จะดับตามโดยปริยาย และทุกข์ทางใจทั้งหมดก็จะไม่เกิดอีกเลย...... ตรงกับที่มีคำกล่าวว่า พระอรหันต์ที่ยังไม่ดับขันธ์นั้นเปรียบเสมือนผู้ถูกลูกศรดอกเดียว(มีแต่ทุกข์ทางกายเท่านั้น) แต่ที่เหลือนั้นเปรียบเสมือนผู้ถูกลูกศรสองดอก (มีทั้งทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ)
2.สิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ นั้น หมายถึงว่า สิ้นตัณหา และอุปาทาน(อุปาทานคือเครื่องนำไปสู่ภพนั่นเอง เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยของภพ)รวมทั้งสิ้นทุกข์ทางใจหมดแล้ว......แต่ยังไม่ถึง ซึ่งการดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง(เพราะการดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวงนี่คือ อนุปาทิเสสนิพพาน(ธาตุ)ซึ่งจะตามสอุปาทิเสสนิพพาน(ธาตุ)มาเองโดยอัตโนมัติในภายหลัง หรือพร้อมๆกันในบางกรณี)
แต่นับตั้งแต่วินาทีที่อุปาทานดับสนิทนั้น ถึงจะยังคงมีภพ-ชาติสุดท้ายอยู่(ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระปัญจวัคคีย์ว่า .....ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราแล้ว) แต่พระพุทธองค์ท่านก็ทรงเห็นชัดเจนซึ่งอนุปาทิเสสนิพพานธาตุแล้ว(ถึงแม้นในขณะนั้น พระองค์จะยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุก็ตาม)
โดยพระองค์ทรงเห็นชัดเจนว่า "ปัจจัยที่จะทำให้เกิดอีก"ซึ่งก็คืออุปาทานที่เป็นปัจจัยของภพนั้นไม่มีอีกแล้ว ภพใหม่จึงไม่มี


จึงตรงกับที่ตรัสว่า"........เราจึงบัญญัติความเพิกถอนชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส ในปัจจุบัน....." ซึ่งก็คือ ดับอุปาทานในปัจจุบันนั้น นั่นเอง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ธ.ค.2006, 9:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไหนๆ ก็คุยกันเรื่องเกิดๆ ตายๆ แล้ว.....

เลยขอนำธรรมโอวาท เรื่อง ที่พ้นเกิด-พ้นตาย ของครูบาอาจารย์ผู้ล่วงลับมาลง
อาจจะเกิดประโยชน์บ้างต่อเพื่อนสมาชิก


---------------------------------------------------------------



จิตที่พ้นเกิด-พ้นตาย


โอวาท ธรรม หลวงปู่ชา สุภ้ทโท


".........พระศาสดาเห็นอาการจิตของท่านเป็นอย่างนี้
นี่แหละท่านว่า ภพยังอยู่ ชาติยังอยู่ พรหมจรรย์ยังไม่จบ
ท่านจึงยกสังขารขึ้นพิจารณาตามธรรมชาติ
เพราะมีปัจจัยอยู่นี่ จึงมีเกิดอยู่นี่ ตายอยู่นี่ มีอาการที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่นี่
ท่านจึงยกสิ่งนี้พิจารณาไปให้รู้เท่าตามเป็นจริงของขันธ์ห้า ทั้งรูปทั้งนาม.....

สิ่งทั้งหลายที่จิตคิดไป ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ ล้วนเป็นสังขารทั้งหมด
เมื่อรู้แล้วท่านให้วาง เมื่อรู้แล้วท่านให้ละ ให้รู้สิ่งเหล่านี้ตามเป็นจริง
ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงก็ทุกข์ ก็ไม่วางสิ่งเหล่านี้ได้
เมื่อรู้ตามความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านี้ก็เป็นของหลอกลวง


สมกับที่พระศาสดาตรัสว่า

จิตนี้ไม่มีอะไร
ไม่เกิดตามใคร ไม่ตายกับใคร
จิตเป็นเสรีรุ่งโรจน์โชติการ
ไม่มีเรื่องราวต่างๆเข้าไปอยู่ในที่นั้น
ที่จะมีเรื่องราวก็เพราะมันหลงสังขารนี่เองหลงอัตตานี่เอง
....."
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง