Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ความดีมีจริงหรือเปล่า อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
หาคำตอบ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 ส.ค. 2006, 6:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากทราบว่าที่ทุกท่านปฎิบัติอยู่ทั้งหลายนั้นจริงหรือเปล่า เพราะทุกวันนี้เกิดความไม่เชื่อมั่นในการทำความดีแล้ว ร้สึกว่าความดีมีที่ไหน ทำดีไปเพื่ออะไร ชีวิตก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย ตรงข้ามบางครั้งคนที่ทำไม่ดีทำไมยังได้ดีอยู่อีก จิตไม่นับถือไม่เกิดความศรัทธากับความดี ใครพอจะมีอะไรแนะนำบ้างช่วยตอบหน่อย
 
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 26 ส.ค. 2006, 10:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สิ่งต่างๆ เกี่ยวกับความดี-ความชั่ว นั้นเป็นเรื่องของ เหตุ-ปัจจัย และผล

ถ้าการกระทำ ทาง กาย วาจา ใจ เป็นเหตุ-ปัจจัยของความดี(บุญ) วิบากที่จะตามสิ่งที่ทำมาก็เป็นวิบากที่ดี

ถ้าการกระทำ ทาง กาย วาจา ใจ เป็นเหตุ-ปัจจัยของความไม่ดี(บาป) วิบากที่จะตามสิ่งที่ทำมาก็เป็นวิบากที่ไม่ดี

ทีนี้เรื่องของการให้ผลของกรรมนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นเรื่องอจิณไตย..... กล่าวคือว่าจะใช้การคิดคาดเดาด้วยความคิด(สังขาร)ระดับธรรมดาไม่ได้..... ถ้าขืนพยายามจะคิดให้เข้าใจทะลุปรุโปร่งในเรื่องเหล่านี้ด้วยความคิดระดับธรรมดา ผู้ที่คิดอาจจะถึงขั้นวิปลาศ เพราะไม่ว่าจะคิดอย่างไร ก็ไม่อาจจะเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งได้......

ป่วยการจะกล่าวไปถึงว่า คนธรรมดาที่นั่งๆนอนๆ คิดเดาในเรื่องวิบากการให้ผลของกรรมนั้น จะคิดไม่ออกเลย...... มีพระสูตรที่ตรัสถึงขนาดที่ว่า ผู้ที่เจริญณานสมาบัติจนมีตาทิพย์ สามารถเห็นคนที่ตายแล้วไปเกิดภพภูมิต่างๆได้โดยตนเอง ยังเข้าใจผิดในเรื่องการให้ผลของกรรมได้......

ลองอ่านกระทู้เก่า เหตุที่คนทำชั่วบ่อย ตายแล้วไปสรรค์ได้ !!!

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6532

เรื่องของการให้ผลของกรรม ถึงเป็นเรื่องอจิณไตย คือว่า ถ้าไม่มีญาณการประจักษ์รู้โดยตรงแล้ว จะไม่มีวันเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่ง.......

แต่ก็ อย่าไปแปลความเพี้ยนเป็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องกรรม หรือ พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้เชื่อเรื่องกรรม ไม่ให้ศึกษาเรื่องกรรม เข้าน่ะครับ...... เดี๋ยวจะยุ่งเป็นยุงตีกัน

ทีนี้ ประเด็นที่ว่า ทำไมบางคนทำดีแล้วไม่ได้ดี...... แต่ว่าคนทำชั่วกลับได้ดี!!!

ตรงนี้มันก็ขึ้นกับ การให้ผลของกรรม ต่างหาก ว่ากรรมใดจะมาให้ผลก่อน-หลัง... กรรมนั้น มีลำดับการให้ผลตามประเภทของกรรม
๑. ครุกรรม
(กรรมที่หนัก ต้องส่งให้ได้รับผลก่อนกรรมอื่น ๆ)
๒. อาสันนกรรม
(กรรมที่ได้กระทำในเวลาใกล้จะตาย กระชั้นชิดกับเวลาตาย )
๓. อาจิณณกรรม
(กรรมที่กระทำเสมอเป็นเนืองนิจ )
๔. กฏัตตากรรม
( กรรมเล็กน้อย )



ดูจาก กรรมสูตรที่๑

กรรมสูตรที่ ๑
[๑๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่รู้แล้ว ย่อมไม่กล่าวความสิ้นสุดแห่งกรรมที่สัตว์ตั้งใจ กระทำสั่งสมขึ้น
ก็วิบากนั้นแล อันสัตว์ผู้ทำพึงได้เสวยในปัจจุบัน(ทิฏฐธรรมเวทนียะ) ในอัตภาพถัดไป (อุปปัชชเวทนียะ) หรือในอัตภาพต่อๆ ไป(อปราปรเวทนียะ)

(อัตภาพถัดไป คือ ภพ-ชาติหน้า..... อัตภาพต่อๆไป คือ ภพ-ชาติถัดไปโน้น)


ทีนี้ ถ้ากรรมดี(หรือชั่ว)ที่เราทำในปัจจุบัน มันอาจจะไม่ให้ผลในปัจจุบันนี้เลยก็ไม่แปลก เพราะธรรมชาติการให้ผลของกรรมนั้น เขาเป็นของเขาอย่างนั้น...... เรา-ท่าน ไม่เข้าใจเองต่างหาก เลยพาลทะโรไปเข้าใจว่ากฏแห่งกรรมไม่มี....... ความจริงแล้ว ไม่มีกฏใดๆในจักรวาลนี้ยุติธรรมเท่ากฏแห่งกรรมอีกแล้ว!!!

ทำดี ต้องได้ดีแน่นอน ..... และทำชั่ว ต้องได้ชั่วแน่นอน..... เพียงแต่ว่าวิบากจะมาสนองผู้กระทำตอนไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

มาถึง คำถามสำคัญที่ว่า " ก็ในเมื่อ ข้าพเจ้า ไม่สามารถเห็นได้ทะลุปรุโปร่งในเรื่องการให้ผลของกรรมต้วยตนเอง..... แล้วข้าพเจ้าจะทำเช่นไร จึงจะเห็นได้ชัดเจนด้วยตนเองในเรื่องการให้ผลของกรรมนี้?"
ผมขอเสนออย่างนี้ครับ
1.ถ้าต้องการ สามารถเห็นได้ทะลุปรุโปร่งในเรื่องการให้ผลของกรรมต้วยตนเอง..... ก็ต้องประกอบเหตุที่สมควรขึ้นมาสิครับ...... พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้แล้วครับ คือ จุตูปปาตญาณ วิชชาที่สองในวิชชาสามประการ นั้นสามารถทำให้เห็นหมู่สัตว์จุติ และอุปบัติไปตามอำนาจของกรรม. ท่านคงนึกเถียงว่า จะบ้าเหรอ การได้ตาทิพย์ชั้นสูงสุดอย่างนั้น ไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆ ใช่ไหมครับ..... ถ้าเช่นนั้น ลองดูวิธีที่สองสิครับ
2.เลือกเชื่อตามพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก ที่ท่านเห็นอย่างชัดเจนแล้วในเรื่องเหล่านี้..... หรือ ถ้าข้อสองนี้ก็ยังไม่ โอ เค ก็ลองพิจารณาข้อต่อไปคือ
3.โดยถือว่า แม้นเรื่องโลกนี้-โลกหน้า มีจริง ฉันทำความดีไว้ ฉันก็ต้องไปสู่ภพภูมิที่ดี..... แม้นเรื่องโลกนี้-โลกหน้า ไม่มีมีจริง ฉันทำความดีไว้ ฉันก็จะเป็นมนุษย์ชั้นเลิศในปัจจุบัน(อ่านจาก อปัณณกสูตร)

แต่ถ้าบอกว่า
ฉันเห็นแจ้งเองก็ไม่ได้ และฉันจะไม่ยอมเชื่อตามใครอีก!!! และก็ไม่สามารถที่จะดำเนินตามอปัณณกสูตร(ธรรมที่ไม่มีทางผิด)....... จะทำอย่างไร

คำตอบคือ...... คุณก็ต้องมีชีวิตที่ดำเนินไปตามทิฏฐิที่คุณมีอยู่นั้นล่ะครับ..... สวัสดี
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 ส.ค. 2006, 1:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การที่เราจะทำความดี ทำเพื่ออะไร คุณลองคิดดูว่าสภาพจิตขณะที่มีอารมณ์โลภ โกรธ และหลง อาฆาต ฟุ้งซ่าน หดหู่ เป็นสภาพที่มีความสุขจริงหรือ เปรียบเทียบกับสภาพจิตที่มีแต่ความเมตตา มุทิตา อุเบกขา ความสงบ สภาพจิตขณะใดมีความสุขที่สุด
การปฏิบัติธรรมก็เพื่อให้จิตมีสภาพที่ดี มีความสุข (จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมนำสุขมาให้)
แต่ถ้าบางคนคิดว่าอารมณ์โกรธ ฯลฯ เป็นอารมณ์ที่มีความสุข ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม
ขอศีล สมาธิ และปัญญาจงมีแด่คุณอย่างสมบูรณ์
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 27 ส.ค. 2006, 3:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความดีหรือกุศลจิตเป็นนามธรรม เป็นคุณธรรมภายในของบุคคล
ใครสร้างได้ก็เป็นของคนๆ นั้น ผู้นั้นจะมีสุขภาพจิตดี เมื่อสุขภาพจิตดี ก็ส่งผลมาถึงสุขภาพกายด้วย

ความดีหรือกุศลจิตประเภทนี้ เป็นทรัพย์ภายในโจรลักไปไม่ได้ ไฟไม่ไหม้ จะไปสถานที่ใดๆ
ได้รับคำยกย่องสรรเสริญจากบัณฑิต ว่าลูกคนนั้นหลานคนนี้เป็นคนดี เป็นศรีสังคม เข้าสังคมหมู่มากอย่างเปิดเผย ไม่ต้องปิดบังซ่อนเร้น ฯลฯ
 
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 30 ส.ค. 2006, 12:49 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุค่ะ
คุณตรงประเด็น
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 30 ส.ค. 2006, 2:13 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทำความดี อย่างน้อยที่สุดเราก็ได้ รับความสุขใจ นี่ก็เป็นผลของความดีแล้วครับ
เช่นเรา ช่วยเหลือสัตว์ต่างๆให้พ้นจากการถูกฆ่า ให้ทานแก่คนยากไร้ เมื่อเราให้เขาก็จะแสดง
อาการปลื้มปีติ ให้เราเห็นแค่นี้เราก็สุขใจ แล้วครับ บัณฑิตชนทั้งหลายรู้ว่าเราทำความดี เขาก็ย่อมชื่นชมยิน ดี อยากที่จะคบค้าสมาคมด้วย สังคมก็ยกย่อม ตรงข้ามกับคนไม่ดี ที่ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย สังคมก็พากันติเตียน นี้คือผลของความดีที่เห็นทันตาครับ
อยากให้คุณ หาคำตอบ ฝึกเจริญเมตตาให้มากๆจะขึ้นรถลงเรือ ก็แผ่เมตตา ทำจิตอยู่กับเมตตาไว้บ่อยๆ จิตใจจะได้อ่อน โยน ย่อมเป็นเหตุกุศลต่างๆเจริญขึ้นมา ครับ ต่อไปทำความดีตะได้ไม่แคลงใจ มีแต่ความสุขใจ สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
ชยชัย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 ส.ค. 2006, 7:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ ขอทำความเข้าใจให้ทราบก่อนนะครับว่า พุทธดำรัส ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่มีผิด ไม่มีการเบี่ยงเบนเป็นอื่นได้
ก็ขอแสดงความคิดเห็นในคำถามของคุณหาคำตอบครับ การทำอะไรก็ตามที่เป็นไปในทางดีเป็นบุญเป็นกุศล เรียกว่า การทำความดี เคยมีคนพูดว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป หรือคุณพยายามทำดีเพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง แต่พอทำไปแล้วไม่เห็นผลตามที่ได้พยายามทำคุณก็เลยหมดกำลังใจที่จะทำต่อไปไช่หรือไม่ครับ
ขอเรียนว่าคุณกำลังเข้าใจผิด การทำความดีคือการฝากบุญไว้ให้กับตัวเอง อย่าพยายามทำความเห็นของคุณให้เป็นมิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิด
บางคนทำความชั่วสารพัดอย่าง ขายม้า ขายยาบ้า เล่นการพนัน โกงกินบ้านเมือง แต่เค้ากลับรวยเอา ๆ แต่เราทำทุกอย่างที่ขวางหน้าที่สุจริตแต่กลับติดๆ ขัดๆ อับจน ทนทุกข์ ยากจนอยู่เช่นเดิมหรือตกต่ำกว่าเดิมเสียอีก ให้คุณเข้าใจกฏแห่งกรรมนะครับ ที่เขายังรวยอยู่ได้ มีความสุขอยู่ได้ก็เพราะกรรมดีที่เขามีอยู่กำลังสนองหรือกำลังให้ผล ต่อเมื่อหมดกรรมดีที่ให้ผลอยู่นี้เมื่อไหร่ กรรมชั่วที่เขากำลังทำอยู่ขณะนี้จึงจะให้ผลต่อไปได้ เปรียบเหมือนคุณมีน้ำอยู่ 2 แก้วสมมติว่าน้ำนั้นเป็นกรรมดี 1 แก้ว กรรมชั่ว 1 แก้ว คุณดื่มน้ำดีไปดื่มไปไม่หาน้ำดีมาเพิ่มอีกจนน้ำนั้นหมดแก้ว ทีนี้ก็จะเหลือแต่น้ำไม่ดีที่คุณจะต้องดื่มต่อไปได้ หรือว่าคุณสามารถดื่มน้ำพร้อมกัน 2 แก้วในเวลาเดียวกันได้ หวังว่าคุณหาคำตอบคงพอจะเข้าใจในคำอธิบายของผมนะครับ
ถ้ายังไม่ชัดเจนกรุณาถามไปที่ c-hayachai@hotmail.com นะครับ
ขออนุโมทนาสาธุครับ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง