ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ซัน
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 มิ.ย.2006, 7:37 pm |
  |
ดิฉันได้คบกับแฟนคนนี้มาตั้งแต่ตอนเรียน พอเรียนจบได้พักนึงก็ได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยา โดยไม่ได้แต่งงานและจดทะเบียน แต่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้ จนถึงวันนี้นับจากวันที่เริ่มคบหากันเป็นเวลา 11 ปีกว่าแล้ว 4 ปีหลังมานี่ สามีของดิฉันมีผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย แต่มีที่จริงจังจนมาขอเลิกกับดิฉันเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุใด ยังไม่ได้เลิกกันทางฝ่ายโน้นก็เลิกกับเขาก่อน
จนมาปีนี้ สามีก็ได้ไปคบกับผู้หญิงอีกคน โดยที่คนนี้เป็นเพื่อนของดิฉัน เรารู้จักกันและเคยปรับทุกข์ให้ฟังเกี่ยวกับสามีและผู้หญิงคนก่อน เธอคนนั้นให้คำแนะนำที่ดีจนดิฉันวางใจเล่าให้ฟังหมดทุกอย่าง แล้วในที่สุดเธอก็เลิกกับแฟนของเธอมาคบกับสามีของดิฉันอย่างจริงจัง โดยไม่ยอมให้สามีของดิฉันรู้จักบ้าน และไม่เคยพาไปที่บ้านเธอ ด้วยสาเหตุที่ว่าสามียังไม่เลิกกับดิฉัน
ดังนั้นสามีจึงกลับมาเก็บของไปอยู่บ้านตัวเอง (เมื่อก่อนอยู่ที่บ้านของดิฉัน) แล้วบอกกับดิฉันว่า เรายังไม่ได้เลิกกัน แค่เก็บของไปอยู่บ้านเฉย ๆ ดิฉันฟังแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อ ตอนนี้ผ่านไป 2 อาทิตย์แล้วที่แยกกันอยู่ ปรากฏว่าดิฉันได้ทราบมาว่าผู้หญิงคนนั้นได้พาสามีดิฉันไปแนะนำกับทางบ้านแล้ว และกันไปไหนมาไหนด้วยกันอย่างเปิดเผย ทุกวันนี้ดิฉันเสียใจมาก และยังทำใจไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะพยายามสวดมนต์ ทำบุญทำทานแล้วก็ตาม
ดิฉันอยากทราบว่า การที่เค้าสองคนมีความสุขแล้วทำให้ดิฉันเป็นทุกข์ เสียใจเช่นนี้เค้าจะเป็นบาปหรือไม่ แล้วตัวดิฉันเอง ถ้าเก็บของย้ายไปอยู่ที่บ้านสามี จะเป็นการไปขัดขวางคู่เขาหรือไม่ แล้วดิฉันจะเป็นบาปรึไม่คะ ตอนนี้ทุกข์ใจมาก อยากได้คำแนะนำและทางออกดี ๆ ให้กับชีวิตด้วยค่ะ
ผู้หญิงคนนั้นเค้าเรียนสูงด้วยนะคะ จบตั้งปริญญาโท หน้าที่การงานก็ดี เป็นถึงเลขาอธิการบดีมหาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง หน้าตาก็สะสวย แต่ทั้งการศึกษาและหน้าที่การงานไม่ได้ทำให้มีความคิดที่จะไม่แย่งสามีคนอื่นเลยค่ะ |
|
|
|
|
 |
จ๋า
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 มิ.ย.2006, 7:38 pm |
  |
ดิฉันเคยประสบปัญหาเหมือนคุณนะ อยากบอกว่าเห็นใจมาก ๆ อยากจะแนะนำคุณว่า สามีคุณเขาคงไม่รักคุณอย่างจริงใจ (ฟังที่คุณได้เขียนเล่ามา) อยากให้คุณตั้งสติให้มั่น ลองทบทวนสิ่งที่ผ่านไป สิ่งที่ดิฉันได้หาทางออกคือ ดิฉันได้เลิกกับสามี และดูแลตนเองให้มีสุขภาพกายและใจให้ดีขึ้น มีสังคมใหม่ ๆ ในระหว่างที่ตัดใจก็เสียใจมาก แต่ก็ต้องคิดว่าเราจะไปบังคับเขาไม่ได้ให้มาอยู่กับเราสักวันเขาต้องไปมีคนอื่น ๆ อีกแน่นอน ดังนั้นจึงอยากให้คุณ เรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียว ความสุขของคนเราไม่ได้อยุ่ที่มีชีวิตคู่เสมอไปค่ะ และหมั่นทำสิ่งที่ถูกต้อง การที่คุณไม่แต่งงานดิฉันว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก เพราะคุณยังต้องมีพ่อแม่ญาติพี่น้อง สิ่งที่พลาดผิดไปแล้วขอให้จำเป็นบทเรียน ต่อไปทำแต่สิ่งดีงามนะคะ .... |
|
|
|
|
 |
นานา
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 มิ.ย.2006, 7:38 pm |
  |
เป็นกำลังใจให้นะคะ
เชื่อว่า....ปัญหานี้จะผ่านไปได้ด้วยดี |
|
|
|
|
 |
รณ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 มิ.ย.2006, 7:40 pm |
  |
เห็นคุณเป็นคนหนึ่งที่ทุกข์ ก็อยากจะให้คุณได้อ่านหนังสือ ชีวิตนี้สำคัญนัก ของสมเด็จพระสังฆราช เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ที่สอนในหลักของกฎแห่งกรรม ท่านสมเด็จฯ ก็จะสอนให้เรารู้ว่าชีวิตคนๆ หนึ่งนั้น แสนสั้นนัก ฉะนั้นเวลาของแต่ละคนที่เหลืออยู่ หากหมั่นกระทำความดีไว้ ก็จะสั่งสมเป็นอุปนิสัยเป็นปัจจัยให้จิตหลังจากจุติแล้ว ได้ไปปฎิสนธิยังภพภูมิที่ดีต่อไป
คุณอย่าคิดมากต่อไปเลย คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นเรื่องของกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้กระทำมาและกลับมาให้ผลในชาตินี้ วันนี้คุณไม่มีเค้าแต่คุณยังมีพ่อแม่อยู่ ใช้เวลาที่เหลือกระทำแต่ความดีและดูแลให้ท่านให้มากๆ |
|
|
|
|
 |
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 มิ.ย.2006, 7:40 pm |
  |
เราจะต้องพลัดพราดจากสิ่งที่รักที่ชอบใจเป็นธรรมดา
ขอให้ทำใจให้เข้มแข็ง
เหรียญสองด้าน ดาบสองคม |
|
|
|
|
 |
moonlight
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 มิ.ย.2006, 7:40 pm |
  |
โห สามีเป็นซ้าขนาดนั้น จะกลับเข้าไปให้ทุกข์ยากมากมายเพื่ออะไร |
|
|
|
|
 |
.แม่น้องพิม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 มิ.ย.2006, 7:41 pm |
  |
ลองฟังเพลงนี้ซิค่ะ เพลงครึ่งหนึ่งของชีวิต ของคุณแอม เสาวลักษณ์
เมื่อความรักมันพังลง เราเหมือนคนไม่เต็มคน
เหมือนครึ่งหนึ่งชีวิตนี้หล่นหาย
แบ่งชีวิตให้เขาแล้ว เขาก็พามันจากไป
ไม่มีทางจะทำใจได้เลย
ไม่เคยหันมองดูตัว มัวเสียดายวันเวลา
ฝันว่าอาจจะคืนมาเหมือนเคย
เพิ่งจะรู้ว่ารักแท้ มันไม่ไกลไม่ต่างเลย
แค่เพียงกลับมาสนใจตัวเอง
ครึ่งหนึ่งของชีวิต ที่เราทำหายไป
ต่อให้นอนเสียดายไปจนตาย มันก็เท่านั้น
เหลืออีกครึ่งชีวิตที่มันยังต้องการ
ความรักตัวเองกลับมา ชีวิตมันมีคุณค่ากว่านี้
นั่งดูแขนมองดูมือ ดูหน้าตา มองตัวเอง
จ้องกระจกดูซักครั้ง นั้นใคร ?
เก็บชีวิตที่เหลือ ๆ ทำให้ดีจะได้ไหม
แล้วไม่นาน จิตใจจะเต็มเหมือนเดิม ......
..... เก็บชีวิตที่เหลือ ๆ ทำให้ดีจะได้ไหม
แล้วไม่นาน จิตใจจะเต็มเหมือนเดิม ....... |
|
|
|
|
 |
ทิพย์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 มิ.ย.2006, 7:42 pm |
  |
ความทุกข์ของคุณเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมาก ดิฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณค่ะ
แต่คุณซันทราบหรือไม่ว่าสิ่งที่เกิดกับเราทุกคนนั้นเกิดจากกรรมที่เคยกระทำมาแล้ว ซึ่งอาจเป็นจากชาติภพก่อนๆ หรือ ชาติภพปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้วการที่มีสามีเจ้าชู้หรือถูกคนอื่นแย่งแฟนนั้น มักเกิดจากการที่เคยแย่งของรักของผู้อื่นมาก่อน หรือทำให้ผู้อื่นเจ็บช้ำใจมาก่อน (จากที่เคยอ่านมา) ที่กำลังเกิดขึ้นกับคุณอยู่นี้คือการที่กำลังใช้กรรมเก่า ถ้ามองในแง่ดีก็คือนับจากนี้ไปคุณได้ใช้หนี้ที่เคยติดค้างกับเจ้ากรรมนายเวรซึ่งก็คือสามีและเพื่อนของคุณแล้ว แต่สิ่งที่คุณจะกระทำต่อหลังจากที่พบเหตุการณ์เช่นนี้คือกรรมใหม่ ซึ่งผลของกรรมใหม่ก็ต้องตามกลับมาถึงคุณเช่นกันไม่ว่าสิ่งที่คุณทำจะร้าย หรือว่าดีก็ตาม เสมือนกับการที่คุณซันขว้างลูกบอลกระทบผนัง (กรรม) แล้วลูกบอลสะท้อนคือกลับมา (ผลของกรรม) คุณซันต้องเลือกเองว่าอยากให้ผลของกรรมนั้นดีหรือร้าย ขึ้นอยู่กับการกระทำหลังจากนี้ค่ะ
อีกเรื่องที่อยากให้คุณซันพิจารณาคือ เรื่องการสมรักทางพระพุทธศาสนานั้นมี 4 ข้อ ซึ่งถ้าไม่สมกันแม้แต่ข้อเดียว อาจทำให้ชีวิตรักไม่ราบรื่นได้
1. สมศีลา คือมีศีลเสมอกัน เช่นคุณเป็นคนรักเดียวใจเดียว แต่สามีเป็นคนเจ้าชู้ มักมากในกาม ก็ยากที่จะอยู่กันได้ หรือแม้จะอดทนสักวันหนึ่งก็ต้องมีเหตุให้พรากจากกันอยู่ดีค่ะ
2. สมศรัทธา คือมีศรัทธาเสมอกัน เช่นมีความเคารพนับถือ เลื่อมใสในพระศาสดาองค์เดียวกัน
3. สมจาคา คือ มีความเสียสละเสมอกัน ทั้งเสียสละให้ต่อคู่ของตนทั้งทางด้านความเอาใจใส่ ทรัพย์สินเงินทอง และการดูแลกันและกัน ยังจะต้องมีความเสียสละให้กับสังคมเสมอกัน เช่น ถ้าคนหนึ่งชอบด้านการให้ทาน แต่อีกคนเป็นคนตระหนี่ ก็ยากที่จะอยู่ด้วยกันราบรื่น
4. สมปัญญา คือเป็นคนที่มีปัญญาเสมอกัน ข้อนี้เป็นข้อสำคัญเพราะจะทำให้คุยกัน เข้าใจกัน เห็นอกเห็นใจกัน
ขอให้คุณซันเข้มแข็ง และใช้เวลาที่จะอยู่ด้วยตัวเองนับจากนี้เป็นโอกาสที่จะทำให้ได้พบกับแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา และขอให้ธรรมะจัดสรรคู่ที่เหมาะสมให้กับคุณซันค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ |
|
|
|
|
 |
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065
|
ตอบเมื่อ:
22 มิ.ย.2006, 7:46 pm |
  |
|
    |
 |
1
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 มิ.ย.2006, 8:47 am |
  |
เราต้องพลัดพรากจากของรัก เป็นธรรมดา
ไม่วันนี้ก็วันหน้า
เอาความเจ็บปวดเป็นครูสอนใจเราว่า ไม่มีสิ่งใด แม้แต่ตัวเราเอง ที่เป็นของเรา
แน่นนอน และสามารถบังคับบัญชาได้
ธรรมะของพระพุทธองค์ ช่วยเราได้นะ ค่อยๆศึกษาไป
นึกถึงคนที่เขาทุกร้อนแย่กว่าเรายังมี
สมัยพุทธกาล นางปากาจารา เสียทั้งสามี ลูกอีก 2 คน และพ่อแม่
เศร้าเสียใจแทบตาย เมื่อพบธรรมะ นางก็สามารถบรรลุธรรมได้
เอาใจช่วยครับ เลิกกับเค้า ปล่อยเค้าไป........เป็นกำลังใจให้ครับ |
|
|
|
|
 |
๛ Nirvana ๛
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
|
ตอบเมื่อ:
23 มิ.ย.2006, 9:01 am |
  |
นางปฏาจารา ผู้บำเพ็ญบารมีมาตลอดแสนกัป
[๑๖๐] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารผู้นายกของโลกพระนาม
ว่าปทุมุตระ ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้นแล้วครั้งนั้น ดิฉัน
เกิดในตระกูลเศรษฐี อันมีความรุ่งเรืองด้วยรัตนะต่างๆ ในเมือง
หงสวดี เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยความสุขเป็นอันมาก ดิฉันเข้าไปเฝ้า
พระมหาวีรเจ้าพระองค์นั้นแล้วได้ฟังพระธรรมเทศนา มีความเลื่อม
ใสอันเกิดในพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นได้ถึงพระองค์เป็นสรณะ ครั้ง
นั้น พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญภิกษุณีองค์หนึ่ง ผู้มีความละอาย
คงที่คล่องแคล่วในกิจที่ควรและกิจที่ไม่ควร ว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณี
ทั้งหลายฝ่ายทรงวินัย ดิฉันมีจิตยินดีปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงนิมนต์
พระทศพลผู้เป็นนายกพร้อมด้วยพระสงฆ์ให้เสวยและฉันตลอด
สัปดาห์หนึ่ง ถวายบาตรและจีวรแล้วซบศีรษะลงแทบพระบาท
แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระธีรมุนีผู้นายกของโลก ภิกษุณีองค์ใด
พระองค์ทรงสรรเสริญในตำแหน่งอันประเสริฐกว่าภิกษุณีสงฆ์นี้ ถ้า
ตำแหน่งนั้นมะสำเร็จแก่หม่อมฉัน หม่อมฉันจักเป็นเช่นภิกษุณี
องค์นั้น ครั้งนั้น พระศาสดาได้ตรัสกะดิฉันว่า นางผู้เจริญ อย่าง
กลัวเลย จงเบาใจเถิด ท่านจักได้ตำแหน่งนั้นตามใจปรารถนาใน
อนาคตกาล ในกัปที่หนึ่งแสนแต่กัปนี้ พระศาสดาพระนามว่าโคดม
มีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ท่าน
ผู้เจริญนี้ จักได้เป็นภิกษุณีธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น
เป็นโอรสอันธรรมนิรมิต เป็นสาวิกาของพระศาสดา มีนามว่า
ปฏาจารา ครั้งนั้น ดิฉันยินดีมีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระ-
พุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลกกับพระสงฆ์จนตลอดชีวิต ด้วย
กุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉัน
ละร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในภัทรกัปนี้ พระ
พุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพงศ์พันธุ์ แห่งพราหมณ์ มีบริวาร
ยศมากประเสริฐกว่าพวกบัณฑิต เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น พระเจ้า
กาสีพระนามว่ากิกีผู้เป็นใหญ่กว่านรชน ในพระนครพาราณสีอันอุดม
ทรงเป็นอุปัฏฐากของพระศาสดาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ดิฉันเป็น
พระธิดาคนที่สามของท้าวเธอมีนามปรากฏว่าภิกษุณี ได้ฟังธรรมของ
พระพิชิตมารผู้เลิศแล้ว พอใจบรรพชา ... ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำไว้
แล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ดิฉันละร่างกายมนุษย์แล้วได้
ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในภพหลัง |
|
_________________ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
แก้ไขล่าสุดโดย ๛ Nirvana ๛ เมื่อ 23 มิ.ย.2006, 9:08 am, ทั้งหมด 3 ครั้ง |
|
     |
 |
๛ Nirvana ๛
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
|
ตอบเมื่อ:
23 มิ.ย.2006, 9:05 am |
  |
แต่เพราะวิบากกรรมของนาง ทำให้ชีวิตนางต้องพบกับความสูญเสียใหญ่หลวง
บัดนี้ ดิฉันเกิดในสกุลเศรษฐี
ที่มั่งคั่งเจริญ มีทรัพย์มากในพระนครสาวัตถี เมื่อใด ดิฉันเจริญวัย
เป็นสาวตกอยู่ในอำนาจวิตก พบบุรุษชาวชนบทผู้หนึ่งแล้วได้ไป
กับเขา ดิฉันคลอดบุตรคนหนึ่ง มีท้องบุตรคนที่สอง เมื่อนั้น
ดิฉันปรารถนาว่า จะไปเยี่ยมมารดาบิดา ครั้งนั้น ดิฉันมิได้บอกสามี
เมื่อสามีของดิฉันเข้าไปป่า ดิฉันคนเดียวออกจากเรือน จะไปยัง
พระนครสาวัตถีอันอุดม ภายหลังสามีของดิฉันมาตามทันที่หนทาง
เวลานั้น ลมกรรมชวาตอันทำให้เจ็บปวดเหลือทนเกิดขึ้นแก่ดิฉัน
ทั้งมหาเมฆก็เกิดขึ้นในเวลาที่ดิฉันจะคลอด สามีไปหาที่กำบังก็ถูกงู
กัดตาย เวลานั้นดิฉันมีทุกข์ที่จะคลอด หมดที่พึ่ง เป็นคนกำพร้า
เดินไปเห็นแม่น้ำน้อยแห่งหนึ่ง ซึ่งมีน้ำเต็มเป็นที่อยู่แห่งสัตว์น้ำ
อุ้มบุตรน้อยข้ามไป ที่ฝั่งข้างโน้นคนเดียว ให้บุตรน้อยดื่มนมแล้ว
ประสงค์จะให้บุตรคนใหญ่ข้าม จึงกลับมา เหยี่ยวตัวหนึ่ง เฉี่ยว
บุตรน้อยที่ร้องจ้าไปเสียแล้ว บุตรคนใหญ่ก็ถูกกระแสน้ำพัดไป
ดิฉันนั้นมากไปด้วยความโศกเดินไปยังพระนครสาวัตถี ได้ยินข่าวว่า
มารดาบิดาและพี่ชายของตนตายเสียแล้ว เวลานั้น ดิฉันแน่นไป
ด้วยความโศกเปี่ยมไปด้วยความโศกมาก ได้กล่าวว่า บุตรสองคน
ตายเสียแล้ว สามีของเราก็ตายเสียในป่า มารดาบิดาและพี่ชาย
ของเรา ก็ถูกเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน ครั้งนั้น ดิฉันทั้งซูบผอม
ทั้งผิวเหลือง ไม่มีที่พึ่ง ตรอมใจทุกวัน เมื่อเดินไปข้างนี้ข้างนั้นได้
เห็นพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นสารถีฝึกนรชน ขณะนั้น พระศาสดา
ได้ตรัสกะดิฉันว่า ท่านอย่าโศรกเศร้าถึงบุตรเลยจงเบาใจเถิด จง
แสวงหาตนของท่านเถิดเดือดร้อนไปไม่มีประโยชน์อะไรเลย บุตร
ธิดา ญาติและพวกพ้องไม่ป้องกันคนผู้ถึงที่ตายได้เลย ความป้อง
กันไม่มีในญาติทั้งหลาย ดิฉันได้ฟังพระพุทธพจน์นั้นแล้ว ได้บรรลุ
ถึงปฐมผล บวชแล้วไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตผล เป็นผู้มีความ
ชำนาญในฤทธิ์และทิพโสตธาตุ รู้ปรจิตตวิชา เป็นผู้ปฏิบัติตามคำ
สอนของพระพุทธเจ้ารู้ปุพพนิวาสญาณชำระทิพยจักษุให้บริสุทธิ์ ทำ
อาสวะทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์หมดมลทินด้วยดี ในกาล
นั้น ดิฉันศึกษาพระวินัยทั้งปวงในสำนักพระบรมศาสดา ผู้ทรง
เห็นธรรมทั้งปวงและกล่าวพระวินัยทั้งมวลกว้างขวางได้ตามจริง
พระพิชิตมารทรงพอพระทัยในคุณสมบัตินั้น จึงทรงตั้งดิฉันไว้ใน
ตำแหน่งเอตทัคคะว่าปฏาจาราภิกษุณีผู้เดียวเลิศกว่าพวกภิกษุณีฝ่ายที่
ทรงพระวินัย ...
ทราบว่า ท่านพระปฏาจาราภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบปฏาจาราเถริยาปทาน.
๑. เอกุโปสถิกาเถริยาปทาน ๒. สลฬปุพพิกาเถริยาปทาน ๓. โมทกทายิกาเถริยาปทาน
๔. เอกาสนทายิกาเถริยาปทาน ๕. ปัญจะทีปทายิกาเถริยาปทาน ๖. นฬมาลิกาเถริยาปทาน
๗. มหาปชาบดีโคตมีเถริยาปทาน ๘. เขมาเถริยาปทาน ๙. อุบลวรรณเถริยาปทาน
๑๐. ปฏาจาราเถริยาปทาน ในวรรคนี้บัณฑิคำนวณคาถาได้ ๕๐๙ คาถา.
จบเอกุโปสถวรรคที่ ๒. |
|
_________________ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน |
|
     |
 |
chuchai379
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ค.2006, 5:52 pm |
  |
การเจริญสติปัฏฐาน 4 ได้อานิสงมากที่สุด แล้วแผ่เมตตาให้กับสามีของเรา ทำไปเรื่อยๆ อย่าท้อ
แต่ต้องตั้งใจทำ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง |
|
|
|
|
 |
ผ่านมา
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
06 ก.ค.2006, 7:20 am |
  |
จิตเป็นเพียงทางรับรู้....ถ้าปิดทางเสีย...อารมณ์ต่างๆก็ไม่ให้ทุกข์ได้ แต่ถ้ารับไปแล้ว ลองใช้จิตดูความทุกข์ที่เกิด พิจารณาทั้งกายและใจในขณะเกิด...ดูบ่อยๆ...แล้ววันหนึ่งจะเข้าใจ...ทุกอย่างมีเกิดดับไม่เที่ยง ไม่แน่นอน...ว่างเปล่าไม่มีตัวตน....  |
|
|
|
|
 |
อ่าง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
06 ก.ค.2006, 9:06 am |
  |
สุดสัปดาห์ 2-3 วันลองหาที่ปฏิบัติธรรมดูบ้างเปลี่ยนบรรยากาศค่ะ จะได้ฟังธรรมดีๆ จากครูบาอาจารย์ เพื่อนำมาใช้กับชีวิตเราได้บ้างค่ะ หมั่นคบนักปราชญ์จะได้ดวงปัญญาค่ะ |
|
|
|
|
 |
|