Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ฤๅศาสนาคู่กับสงคราม ? (พระไพศาล วิสาโล) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 19 มี.ค.2006, 10:52 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ฤๅศาสนาคู่กับสงคราม ?
โดย พระไพศาล วิสาโล


ในสำนึกของคนทั่วไปศาสนากับสงครามเป็นสิ่งตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เพราะศาสนานั้นสอนสันติภาพและถือว่าชีวิตเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงศาสนากับสงครามมีความเกี่ยวพันกันอย่างมากจนไม่อาจแยกออกเป็นขั้วตรงข้ามอย่างที่เข้าใจกัน

มองในแง่ประวัติศาสตร์ มนุษยชาติได้เผชิญกับสงครามศาสนามานับไม่ถ้วน มิใช่แค่สงครามครูเสดเมื่อพันปีที่แล้วเท่านั้น ในทุกมุมโลกมีการต่อสู้ระหว่างชนต่างศาสนาหรือต่างนิกายมาโดยตลอดจนกระทั่งปัจจุบัน สงครามระหว่างบุชกับบิน ลาเดน แม้มิได้ประกาศเป็นสงครามศาสนา แต่ทั้งสองฝ่ายก็ล้วนมีพระเจ้าเป็นแรงดลใจหรืออ้างว่าพระเจ้าอยู่ข้างตนทั้งสิ้น

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันสัญลักษณ์ทางศาสนาได้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสงคราม เช่น การปักรูปเคารพทางศาสนาบนธงศึก การพกพาไม้กางเขน พระเครื่อง หรือข้อความจากคัมภีร์อัลกุรอ่านติดตัวเมื่อเข้าสมรภูมิ ตลอดจนการทำพิธีทางศาสนาและสวดมนต์ก่อนออกศึก บางครั้งก็เปล่งพระนามของพระเจ้าหรือนักบุญขณะประจัญบาน ในยุคกลางของยุโรป ก่อนที่จะปะทะกัน ทหารอังกฤษจะตะโกนประกาศนามนักบุญจอร์จ ขณะที่ทหารฝรั่งเศสประกาศนามนักบุญเดอนีส์ ซึ่งต่างเป็นนักบุญในศาสนาเดียวกัน

บทบาทของศาสนาในสนามรบได้กลายเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งในฐานะสิ่งให้ความชอบธรรมแก่การทำสงคราม และในฐานะของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจปัดเป่าภยันตรายและเป็นที่พึ่งทางใจได้ ในยามนี้ใครที่พูดถึงบัญญัติทางศาสนาที่ห้ามฆ่าหรือยกคำสอนของศาสดาที่ให้มนุษย์มีเมตตาต่อกัน นอกจากเขาจะถูกประณามหรือคัดค้านจากผู้นำทางศาสนาแล้ว ยังอาจถูกลงโทษถึงชีวิต

อย่างไรก็ตาม ศาสนากับสงครามและความรุนแรงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและยาวนานกว่านั้น เมื่อมองย้อนหลังไปยังจุดกำเนิดของศาสนาในยุคแรกๆ ของมนุษย์ เราจะพบข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งซึ่งนำศาสนาไปสู่การประหัตประหารครั้งแล้วครั้งเล่า ข้อเท็จจริงนั้นก็คือการบูชายัญมนุษย์ หลักฐานทางโบราณคดีในรอบหลายปีที่ผ่านมายืนยันว่า ในอดีตการบูชายัญมนุษย์ได้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในวัฒนธรรมต่างๆ ของมนุษย์ทุกมุมโลก ตั้งแต่ระดับชนเผ่าที่อยู่ป่าไปจนถึงระดับอาณาจักรที่มีอารยธรรมสูง เช่น มายา หรือแอซเต็ค

ศาสนาโบราณไม่ว่าของชาวกรีก ฮีบรู และฮินดู ล้วนมีเรื่องราวเกี่ยวกับการบูชายัญมนุษย์ ในมหากาพย์อีเลียดได้พูดถึงการบูชายัญชาวทรอยในพิธีศพของนักรบกรีก มีเทพปกรณัมกรีกจำนวนมากที่กล่าวถึงการบูชายัญมนุษย์เพื่อบวงสรวงเทพเจ้า ในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเก่ามีหลายตอนที่กล่าวถึงการบูชายัญมนุษย์เพื่อสักการะพระเจ้า ในศาสนาฮินดู การบูชายัญมนุษย์มีปรากฏในคัมภีร์พระเวท นอกจากนั้นการบูชายัญโดยให้ภรรยาโดดเข้าไปในกองเพลิงในพิธีศพของสามียังดำเนินมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยที่ปัจจุบันการจับหญิงพรหมจรรย์มาสังเวยเจ้าแม่กาลีก็ยังมีอยู่ในอินเดีย เทวสถานบางแห่งในเขมรและลาว เช่น ปราสาทวัดภู ยังมีแท่นหินที่เชื่อว่าใช้ในพิธีบูชายัญมนุษย์

ในหลายวัฒนธรรม ความจำเป็นต้องหามนุษย์มาบูชายัญถวายเทพเจ้า เป็นแรงผลักดันให้ต้องรบพุ่งทำสงครามกัน ตัวอย่างที่เด่นชัดคือชาวแอซเต็ค มีหลักฐานในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ว่าได้มีการบูชายัญมนุษย์นับหมื่นคนในพิธีเปิดมหาวิหารทีน็อคทิทลาน ชาวแอซเต็คเชื่อว่าการบูชายัญมนุษย์จะทำให้จักรวาลดำเนินไปได้อย่างเป็นปกติ หากไม่มีเลือดมนุษย์ ดวงอาทิตย์จะแห้งผากและโลกจะมืดมิด แต่จะหามนุษย์จำนวนนับหมื่นมาบูชายัญได้อย่างไร คำตอบคือทำสงครามแย่งชิงเชลยศึกมาถวายเทพเจ้า จวบจนคริสต์ศตวรรษที่ 19 ยังมีผู้พบเห็นชาวดาโฮเมในแอฟริกาทำสงครามเพื่อหามนุษย์มาบูชายัญ

คำถามที่น่าคิดก็คือ ประเพณีบูชายัญมนุษย์เพื่อเทพเจ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร ประเด็นนี้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าอาจเชื่อมโยงกับประเพณีสละชีวิตมนุษย์ให้แก่สัตว์ที่ดุร้าย ในเทพปกรณัมของกรีกมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับการสละมนุษย์ให้เป็นอาหารแก่สัตว์ร้ายเพื่อคนที่เหลือจะได้อยู่อย่างปลอดภัย เรื่องทำนองนี้มีอยู่ในนิทานทั่วโลก แต่นอกจากนิทานแล้ว ยังมีบันทึกมากมายที่สอดคล้องกัน เช่น ในอินเดียชนเผ่าคนท์ (Kondh) จะนำคนที่จับมาได้ (หรือเลี้ยงดูให้โตเพื่อการนี้) มาสังหารเพื่อมอบให้เป็นอาหารแก่เทพทุรคา (ซึ่งขี่เสือ) เพื่อให้หมู่บ้านมีอาหารอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งไม่มีเสือและงูมารังควาน

น่าสังเกตว่าในศาสนาดั้งเดิมของมนุษย์ยุคบุพกาลนั้น สัตว์ที่ดุร้ายจะเป็นที่เคารพบูชา เช่น สถานที่บางแห่งในอียิปต์โบราณมีการสักการะสิงโต ส่วนเสือจากัวร์ได้รับการบูชาในอเมริกากลางและใต้ ชาวฮาวายโบราณบูชาปลาฉลาม สัตว์ร้ายเหล่านี้จะได้รับเครื่องเซ่นอยู่เป็นนิจ และบางครั้งเครื่องเซ่นก็เป็นมนุษย์ มิชชันนารีชาวโปรตุเกสกล่าวถึงพิธีเซ่นสรวงปลาฉลามที่ปากแม่น้ำฮูกลีของอินเดียในคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยเล่าว่าทั้งหญิงและชายจำนวนหนึ่งเดินลงน้ำเพื่อเป็นอาหารของเทพปลาฉลามอย่างสมัครใจ

จากที่กล่าวมาข้างต้น เป็นไปได้หรือไม่ที่ศาสนาของมนุษย์แต่ดั้งเดิมนั้นเกิดจากความกลัวสัตว์ร้ายในป่า มนุษย์ในเวลานั้นยังไม่มีความรู้และเทคโนโลยีพอที่จะป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายที่มีพละกำลังเหนือกว่ามนุษย์มาก รอบตัวของมนุษย์เต็มไปด้วยอันตรายจากสัตว์ร้ายนานาชนิด ด้วยความกลัวจึงมีการเซ่นสรวงสัตว์ร้ายเหล่านี้ โดยการหาอาหารมาให้เพื่อมันจะได้ไม่มารบกวนมนุษย์ อาหารเหล่านี้เดิมอาจเป็นซากสัตว์ที่หามาได้ แต่ในยามที่สัตว์หายาก ก็จำต้องใช้มนุษย์มาเป็นเครื่องเซ่นแทน โดยอาจเป็นเชลยต่างเผ่าหรือคนที่ถูกชุมชนปฏิเสธ

ความเป็นไปได้อีกประการหนึ่งก็คือ มนุษย์ในสมัยที่ยังไม่มีเทคนิคและเครื่องมือล่าสัตว์อย่างมีประสิทธิภาพนั้น อาหารส่วนหนึ่งได้มาจากซากสัตว์ที่สัตว์ร้ายเหล่านั้นเหลือทิ้งเอาไว้ (บางครั้งอาจต้องแย่งชิงเอาด้วยซ้ำ) ดังนั้นจึงอยู่ในสถานะที่ต้องพึ่งพาสัตว์ร้ายเหล่านั้นด้วย ในบางสถานการณ์อาจจำเป็นต้องเอาอาหารมาให้สัตว์เหล่านั้นกินเพื่อมันจะได้ไม่หนีไปถิ่นอื่น จากจุดนี้เองจึงพัฒนาไปสู่ประเพณีบูชายัญด้วยสัตว์หรือมนุษย์ในเวลาต่อมา

จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เทพเจ้ายุคแรกๆ ที่มนุษย์บูชานั้น มักได้แก่เทพที่เป็นสัตว์ร้าย เช่น เสือจากัวร์ได้รับการนับถือว่าเป็นเทพชั้นสูงของเผ่ามายา (การสังหารมนุษย์ในพิธีบูชายัญจะใช้ของมีคมรูปร่างคล้ายกรงเล็บจากัวร์) กล่าวอีกนัยหนึ่งสัตว์ร้ายได้รับการยกสถานะเป็นเทพ และแม้ในเวลาต่อมาเทพจะวิวัฒน์ไปทางมนุษย์มากขึ้น แต่ก็ยังมีลักษณะดุร้าย มีพละกำลังมาก และที่ขาดไม่ได้คือนิยมกินเนื้อ

แต่ศาสนาไม่ได้ยุติเพียงเท่านั้น เมื่อมนุษย์เจริญในทางสติปัญญามากขึ้น สิ่งสูงสุดอันเป็นที่เคารพสักการะก็ได้วิวัฒน์พัฒนาตามขึ้นไปด้วย จากเทพเจ้าที่ดุร้ายก็เปลี่ยนมาเป็นเทพที่มีกิเลสอย่างมนุษย์ (ดังเทพเจ้าของกรีก) และพัฒนามาเป็นพระเจ้าที่เปี่ยมด้วยเมตตา ในขณะที่บางศาสนา (เช่นพุทธศาสนา) เทพที่มีกิเลสทั้งหลายก็เปลี่ยนมาเทพที่ทรงคุณธรรม มีหน้าที่พิทักษ์คนดี (เช่นพระอินทร์) และเปลี่ยนจากผู้ที่อยู่เหนือมนุษย์ มาเป็นเพื่อนร่วมวัฏสงสาร โดยหน้าที่ของมนุษย์ก็คือไปพ้นจากวัฏสงสาร และเป็นอิสระจากการพึ่งพาใดๆ

แม้ว่าศาสนาจะพัฒนาไปมากแล้ว แต่รากเหง้าความเป็นมาที่ผูกพันกับความรุนแรงและสงคราม ก็เป็นความจริงอย่างหนึ่งของศาสนาที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ใช่หรือไม่ว่ารากเหง้าความเป็นมาดังกล่าวสะท้อนถึงธรรมชาติพื้นฐานบางอย่างของมนุษย์ ได้แก่ ความกลัว ความโกรธ ความหลง และความเห็นแก่ตัว ธรรมชาติเหล่านี้เองที่ยังมีอิทธิพลต่อมนุษย์และวิธีการนับถือศาสนาในปัจจุบัน จริงอยู่เรายังมีธรรมชาติส่วนที่ดีงามด้วย แต่ถ้าศาสนา (หรือการนับถือศาสนาของเรา) ยังไม่สามารถพัฒนาธรรมชาติส่วนนี้ได้ สงครามและความรุนแรงในนามของศาสนาหรือโดยศาสนิกย่อมไม่มีวันยุติ

นั่นหมายความว่า การบูชายัญมนุษย์เพื่อพระเจ้าของตัวยังคงดำเนินต่อไปไม่ต่างจากยุคดึกดำบรรพ์ เป็นแต่ว่าอาวุธที่ใช้สังเวยเพื่อนมนุษย์เท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไป



..............................................................

หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
คอลัมน์ มองอย่างพุทธ โดย พระไพศาล วิสาโล
วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10235
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 31 ส.ค. 2006, 6:10 pm, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 22 มี.ค.2006, 6:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ

สาธุด้วยครับ (ไม่ได้โพสเอง) อายหน้าแดง
 

_________________
"อย่าลืมตัว อย่าลืมปัจจุบัน อย่าลืมปฏิบัติ"
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง