Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 กรรมออนไลน์จากการทำแท้ง (พญ.ชัญวลี ศรีสุโข) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 ส.ค. 2005, 12:03 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

กรรมออนไลน์จากการทำแท้ง
โดย พญ.ชัญวลี ศรีสุโข


จากคอลัมน์ “เปิดห้องหมอสูติ”
นิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๘



เรื่องกรรมนั้นเป็นเรื่องที่บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ
บางคนบอกว่า ทำดีเท่าใดไม่เห็นจะได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นมา
บางคนทำชั่ว แต่ได้ดีเอาได้ดีเอาก็มี
แต่ทางการแพทย์นั้น ดิฉันพบว่ากรรมมีจริง
และสามารถอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ได้ว่า
กรรม คือ ผลจากการกระทำที่ไม่สมควรนั่นเอง

ขอเล่าเรื่องกรรมออนไลน์จากการทำแท้ง
ซึ่งไม่ต้องรอผลกรรมในชาติหน้าเลย
เพราะมันเกิดให้เห็นในชาตินี้ ในเวลาไม่นานเกินรอ

คุณหมู (นามสมมุติ) เป็นคนไข้รายหนึ่ง
ที่มาหาดิฉันด้วยเรื่องอยากมีประจำเดือน
“หนูไม่มีประจำเดือนมาสองปีแล้วค่ะหมอ” เธอบอก

เมื่อถามรายละเอียด พบว่าอยากมีประจำเดือน
เพราะเธอเข้าใจว่า เพราะไม่มีประจำเดือนทำให้เธอไม่มีลูก
ตอนนี้เธออายุแค่ ๒๒ ปี แม่ของสามีขู่ว่า
ถ้าไม่มีลูก จะหาภรรยาใหม่ให้สามี
เธอจึงวิตกกังวลและปรึกษามาหลายหมอแล้ว

ประวัติของเธอคือ เมื่ออายุ ๒๐ ปี
เธอมีเพศสัมพันธ์กับคู่รัก จนตั้งท้องได้ ๓ เดือน
เมื่อไม่พร้อมเธอจึงไปทำแท้ง
ให้หมอเถื่อนดูดและขูดมดลูกเอาเด็กทารกออก
หลังทำแท้ง เธอสังเกตว่า ประจำเดือนมาน้อยมาก
และต่อจากนั้น ก็ไม่เคยมีประจำเดือนอีกเลย

หลังจากเอาเด็กออก เธอก็แยกทางกับคู่รัก
และมาแต่งงานกับสามี ซึ่งมีฐานะดี และมีอายุมากกว่า ๑๐ ปี
สามีเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ จึงอยากมีลูกหลายๆ คน
ก่อนมาหาดิฉัน เธอได้ตรวจพิเศษเพิ่มเติมหลายอย่าง
ผลการตรวจที่เธอ นำมาให้ดูอย่างหนึ่ง
คือรูปเอกซเรย์การฉีดสีเข้าโพรงมดลูก (Hysterosalpingography)

การฉีดสีเข้าโพรงมดลูกนั้น เป็นการสืบค้นอย่างหนึ่ง
เพื่อดูว่าปากมดลูก โพรงมดลูก ตลอดจนท่อรังไข่ตีบตัน
หรือมีเนื้องอกอะไรในอวัยวะภายในหรือไม่
ใช้สืบค้นสำหรับผู้มีบุตรยาก

คำว่า มีบุตรยาก คือ แต่งงานกันมานาน ๑ ปี
มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ แต่ไม่ตั้งครรภ็
โดยทั่วไป เมื่ออยู่กินกันมานาน ๑ ปี
ร้อยละ ๘๐ - ๙๐ ควรจะตั้งครรภ์
ร้อยละ ๑๐ - ๑๕ ที่ไม่ตั้งครรภ์
จึงเรียกว่า เป็นผู้มีบุตรยาก

การฉีดสีเข้าโพรงมดลูกของคุณหมูนั้นพบว่า
ไม่สามารถจะฉีดเข้าไปได้เลย
ทางรังสีแพทย์วินิจฉัยว่า
โพรงมดลูกตีบตัน (Asherman’s Syndrome)
เมื่อไม่มีโพรงมดลูก ก็ย่อมไม่มีประจำเดือน
และไม่มีการตั้งครรภ์

โพรงมดลูกตีบตันนั้น พบได้ร้อยละ ๑๓ ของผู้หญิงที่มีบุตรยาก
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการขูดมดลูก จนมีการทำลายเยื่อบุมดลูก
และ/หรือมีอาการอักเสบติดเชื้อ
ทำให้เกิดพังผืดในโพรงมดลูก
โดยทั่วไปสามารถรักษาได้ โดยใช้กล้อง (Hysteroscope)
ส่องเข้าไปในโพรงมดลูก
จี้สลายพังผืด เพื่อให้โพรงมดลูกกลับมาปกติดังเดิม

แต่สำหรับคุณหมูนั้น โพรงมดลูกตีบตันอย่างรุนแรง
เนื่องจากเยื่อบุมดลูก ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นจากการทำแท้งเถื่อน
แสดงว่าต้องมีการขูดมดลูกที่รุนแรง
และ/หรือมีการอักเสบติดเชื้อตามมา

การไม่มีประจำเดือน และการไม่มีลูก
ล้วนแต่เป็นผลจากการทำแท้ง
และเนื่องจากวิทยาการปัจจุบัน
ยังไม่สามารถสร้างเยื่อบุมดลูกเทียมได้
(ถ้ายังเหลือเยื่อบุมดลูกบ้าง การใช้ฮอร์โมนกระตุ้น ก็อาจได้ผล)
จึงไม่สามารถให้มีลูก และทำให้ประจำเดือนกลับมามีเป็นปกติได้

อยากมีลูก จึงมีวิธีเดียวที่ทำให้สมหวังได้ คือ “อุ้มบุญ”
คือใช้ไข่ของคุณหมูผสมกับอสุจิของสามี
และนำไปฝากครรภ์คนอื่น
ซึ่งวิธีนี้ คุณหมูก็รู้มาจากคุณหมอคนก่อนๆ แล้ว
แต่เธอเล่าว่า แม่สามีบอกว่า
ถ้าจะหาคนอุ้มบุญ หาเมียใหม่ง่ายกว่า

ตอนนี้ แม้คุณหมูจะร้องไห้ จนน้ำตาเป็นสายเลือด
ก็ไม่อาจแก้ปัญหา อยากมีลูกเองได้
นอกจากดิฉันจะอธิบายเหมือนหมอคนอื่นๆ
ดิฉันก็ยังคิดในใจว่า...นี่กรรมจากการทำแท้งเถื่อนโดยแท้

ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องกรรมจากการทำแท้งนั้นพบได้มากมาย
คนไข้คนหนึ่งไปทำแท้งเถื่อนตอนท้องได้ ๒ เดือน
แต่ทารกไม่ออก เจ้าตัวก็ไม่รู้
สงสัยอยู่ว่า ทำไมมีเลือดออกอยู่เรื่อย
มารู้อีกทีตอนท้อง ๖ เดือนแล้ว
พบว่าภายหลังทารกคลอดออกมา เป็นเด็กพิการปัญญาอ่อน
มีนิ้วมือนิ้วเท้าไม่ครบ ทำให้คนเป็นแม่
ทุกข์ทรมานจาการเลี้ยงลูกปัญญาอ่อนพิการจนถึงปัจจุบัน

คนไข้อีกคนหลังทำแท้งเถื่อน มีอาการปวดมดลูกตลอดเวลา
ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์กับสามีได้
เมื่อมาตรวจก็ไม่พบความผิดปกติ
ภายหลังเธอตัดมดลูกทิ้งไป
ทั้งๆ ที่ยังไม่มีลูกสักคน
เพราะเข้าใจว่าอาการปวดเกิดจากตัวมดลูก
แต่ตัดมดลูกไปแล้ว ก็ไม่หายปวดท้อง

คนไข้อีกรายหนึ่งบอกว่า
ตนยากจน เมื่อท้องได้ ๗ เดือน ได้ซื้อยาบีบมดลูก
ที่ลักลอบขายมาเหน็บทำแท้งตนเอง
และมาแท้งลูกที่โรงพยาบาล
เด็กยังอ่อนนักก็เสียชีวิต
ตามธรรมเนียมเมื่อมีทารกตาย
ก็จะแนะนำให้ญาตินำศพเด็กไปทำบุญที่วัด
ทำบุญนี้คือ ให้สัปเหร่อช่วยนิมนต์พระมาสวดและเผาศพ
ใช้ค่าใช้จ่ายเพียงร้อยสองร้อย

แต่รายนี้เมื่อเด็กแท้งออกมา
พ่อของเด็กคงนึกเสียดายค่าทำบุญ
จึงนำศพลูกไปกดทิ้งในโถส้วมที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง
ปรากฏว่าเด็กปั๊มแจ้งตำรวจ
เพราะคิดว่ามีการฆาตรกรรมเด็ก
ตำรวจจึงตามมาสอบสวน
ผลคือ คนไข้รายนี้ต้องเสียเงินหลายพันบาท
เป็นค่าปิดปากเด็กปั๊มและตำรวจ

อ้างว่าทำแท้ง เพราะไม่มีเงินเลี้ยงดูลูก
แต่ในที่สุดก็เสียเงินจำนวนมากกว่า
เพราะการทำแท้งนั่นเอง...
อย่างนี้ไม่เรียกว่ากรรมออนไลน์ก็ไม่รู้จะเรียกอะไรนะคะ


สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 27 ส.ค. 2005, 8:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุด้วยครับ

เป็นปัญหาสังคมที่ยังแก้ไม่ตก ตกใจ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
:b30:
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 ส.ค. 2005, 3:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากทราบว่ามีทางแก้ไม๊ รู้สึกเสียใจมากที่ทำลงไป แต่หาทางออกไม่ได้จริงๆ แล้วก็รู้สึกผิดตลอดเวลา เสียใจมากๆ ที่พลาดไป ทุกครั้งที่ทำบุญก็จะนึกถึงเค้า และอุทิศส่วนกุศลให้เค้าตลอด ใครช่วยบอกหน่อยได้ไม๊คะ ว่าเราควรทำยังไง ให้จากหนักเป็นเบา ช่วยหาทางออกให้ด้วยเถอะนะคะ
 
11
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ต.ค.2005, 10:38 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เข้ากรรมฐานซิค่ะ เผื่อจากหนักก็จะกลายเป็นเบาได้บ้าง เพราะดิฉันก็ทำแบบนี้มาตั้งแต่ที่ได้ทำลงไปเมื่อ 17 ปีที่แล้ว แต่ดิฉันจำเป็นต้องทำแบบนั้นเพราะโดนข่มขืนแล้วท้อง ตั้งแต่นั้นมาก็หันหน้ามาปฏิบัติธรรม จนเพิ่งมาครอบครัวมีลูกน้อย 1 คนและพากันปฏิบัติธรรมกันพ่อ+แม่+ลูกค่ะ
 
ภัทรภร1141951
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 04 พ.ย.2005, 9:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นคติเตือนใจให้กับผู้ที่รักสนุกบ้างน่ะ
 
บัว
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 พ.ย.2005, 4:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวง
 
คนบาป
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 11 ธ.ค.2005, 9:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ทำบาปเรื่องนี้ ซึ่งทำบาปมา 2 ครั้งแล้ว ซึ่งตัวเองไม่ต้องการให้เป็นอย่างนี้เลย...แต่เป็นที่เราชิงสุกก่อนห่ามจึงต้องรับผลกรรม แฟนก็ไม่ยอมรับ ไม่ต้องการที่จะมี...เลยต้องตัดสินปัญหาด้วยการทำแท้ง ซึ่งดิฉันก็ทราบว่ามันบาปมาก แต่ก็บอกกับตัวเองไว้เสมอว่า ถ้าเวรกรรมตามทันก็ยอมรับ ในเมื่อเราผิดเอง...ชีวิตใคร ๆ ก็รัก...ทุกวันนี้ถ้ามีโอกาสก็จะทำบุญ ใส่บาตรไปให้วิญญาณที่ล่วงลับ ชีวิตตอนนี้ก็มีแต่เรื่องทุกข์ใจตลอด ขอชี้ทางธรรมให้ด้วยนะค่ะ...
 
ปุณ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 22 ม.ค. 2006, 2:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออนุโมทนาในบุญที่เผยแพร่สิ่งดีๆ
 
natti
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 ม.ค. 2006, 8:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในความคิดจากประสบการณ์ของเราตอนนั้น คิดไปได้หลายอย่าง คือหนึ่ง เราไม่มีปัญญาเลี้ยงเขา คิดไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าเราเองก็เพิ่งจบ ปวส. ใหม่ ๆ กำลังเรียนต่อขั้นปริญญาตรี แฟนก็เพิ่งเข้าทำงานและยังไม่แน่ว่า งานจะมั่นคงสักแค่ไหน ไม่อยากให้ลูกเกิดมาต้องพลอยลำบากไปกับเราด้วย ทุกอย่างยังไม่พร้อม

สองคือ สมัยเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว อย่างเรานี้ เขาเรียกว่าชิงสุกก่อนห่าม นึกถึงพ่อแม่เราด้วย คิดว่าเขาคงรับไม่ได้เพราะที่บ้านพ่อมีหน้ามีตาในสังคมเช่นกัน

สาม นึกถึงเรื่องความถูกต้อง ศีลธรรม

ยอมรับนะว่า ตอนนั้น ความจำเป็นมันอยู่เหนือศีลธรรม ถามว่าเสียใจไหม ? เสียใจสิ กลับบ้านมา เราแต่งกลอนไว้บทหนึ่ง ขึ้นต้นไว้เป็นวันเดือนปีไว้เลย เรียกตัวเราสองคนว่า หญิงชั่วชายเลว ในบทกลอนนั้น มันอาจจะสะใจตัวเองลึก ๆ นะ

ถามว่า แล้วทำอย่างไรตอนนั้น ? ก็ทำบุญบ้าง สังฆทานบ้าง บริจาคบ้าง แล้วแต่จะทำได้กับคนและสัตว์ ก็พยายามทำดีตลอด

ปัจจุบันแต่งงานแล้วกับสามีต่างชาติที่ไม่ใช่แฟนคนนั้น แต่เราก็ยังโทรถามสารทุกข์สุกดิบแฟนเก่าอยู่ ที่เลิกกันไม่ได้โกรธเคืองอะไร เขาเป็นคนดี แต่เรารับไม่ได้เองต่างหาก จึงเดินจากไปเฉย ๆ

อยู่กับสามีต่างชาตินี้มา 15 ปีย่างเข้าปีที่ 16 แล้ว ใช้เวลาดูใจกันถึง 4 ปีก่อนแต่ง ก็เรียกว่าเกือบ 20 ปีนับแต่รู้จักกันมา โชคดีอีกเช่นเคยสามีต่างชาตินี้เป็นคนดีมาก มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน อายุ 10 ขวบแล้ว เราจะพาเขาไปเมืองไทยทุกปี พาลูกทำบุญไปทั่ว ไม่เจาะจง

เล่าให้ลูกสาวฟังถึงพี่เขาคนที่เราไม่ตั้งใจให้เกิด ลูกสาวตัวน้อยนี้ก็ทำบุญให้กับพี่เขาเรื่อยมา ตัวเราเองก็ไม่เคยลืมนะจนกระทั่งบัตนี้ บาปมันอยู่ที่ใจเราตลอด แต่ครอบครัวเราก็มีความสุขความสบายกัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีปัญหาเรื่องเงินเรื่องทอง ลูกสาวก็อยู่ในโอวาท ก็นับว่าโชคยังดีอยู่

ส่วนครอบครัวของแฟนเก่า เขาแต่งงานแล้วกับผู้หญิงที่เคยมีสามีและมีลูกติด 1 คนลูกอยู่กับพ่อเด็ก ส่วนตัวแฟนเก่ากับภรรยาเขานั้นมีลูกด้วยกัน 3 คนผู้หญิงล้วน ตัวเรากับสามีกลับไปไทย เคยนัดเขาสองคนมาทานข้าวด้วยกันตอนนั้นเขาเพิ่งท้องลูกคนแรก ตอนแรกที่เขาได้กับภรรยาคนนี้ เธอขี้หึงมาก เธอฉีกรูปเก่า ๆ ของคนเขียนทิ้งหมด

จนมาได้เจอกันที่ร้านอาหารนั่นแหละ เราได้บอกเธอว่า เราแต่งงานแล้ว สามีเราอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องหึง เพราะเราเป็นคนเดินจากมาเอง และเราไม่คิดที่จะกลับมาเหมือนเดิมอีก ที่นัดมาทานข้าวกันเพราะต้องการให้รู้ว่า เราบริสุทธิ์ใจ เรารักกันเหมือนพี่น้องเหมือนเพือนได้นี่ ทำไมต้องทะเลาะกันด้วยเล่า ? เราสอนเขาไปเยอะเหมือนกัน แต่สอนให้เขาคิด

ตอนนั้นที่ท้องถามเขาว่า หมอนัดเดือนอะไร ? เขาว่า มกรา เราบอกว่า โอ้ เดือนเดียวกับเรา แต่อย่าให้ตรงกันแล้วกัน

เชื่อไหม ว่าตอนนั้นที่พูดออกไปคิดในใจว่า อุ๊ย เป็นเด็กผู้หญิงหรือเปล่า ? ถ้าเด็กคนนี้เกิดวันเดียวกับเรานะ แสดงว่า เด็กนี่ เขาเป็นลูกเราคนเก่ามาเกิดแน่ เนี่ย มันบ้าไปได้ถึงขนาดนี้

จนกระทั่งสิ้นเดือนมกรา เราโทรไปถามแฟนเก่า เขาบอกว่าได้ลูกสาว เกิดวันที่ ....เรานี้ตัวชาคาโทรศัพท์ เราถามแฟนเก่าว่า จำได้ไหมว่า เราเกิดวันที่เท่าไหร่ เขาบอกว่า.... (บอกพลาดไปวันหนี่ง) เราบอกเขาว่า ที่ไหนกันล่ะ วันเดียวกับลูกสาวพี่นั่นแหละ ตัวแฟนเก่าเขาร้อง เฮ้ย จริงอ่ะ

ตอนนี้เด็กคนนี้อายุ 13 ปีแล้ว เราคิดว่า เขารอมาเกิดไม่กับพ่อเก่า ก็แม่เก่า คือแม่เก่าไม่ให้เกิด ก็เกิดกับแม่ใหม่แต่พ่อคนเดิม

เมื่อปีใหม่โทรไปอวยพรปีใหม่ แฟนเก่าเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้เขาทนอยู่เพื่อลูก ภรรยามีแฟนใหม่คนเขารู้ไปทั่วองค์กร (เขาสองคนทำงานที่เดียวกัน แต่คนละสาขา) เขานั้นจะดิ้นไปไหนไม่ได้ เพราะทุกอย่างเป็นชื่อภรรยาหมด และ ภรรยาให้ตัวเขากู้เงินองค์กรมาต้องรับใช้หนี้เพราะใช้ชื่อกู้

เราก็ได้แต่ปลอบและถามเขาว่า ทำไมไม่คุยกัน ยกโทษให้ผู้หญิงเขาไม่ได้หรือ? เขาว่า เขาไม่ได้คุยกันมาสองปีกว่าแล้ว ลูกเขาก็ดูแลคอยรับส่งเองที่โรงเรียน แม้แต่งานบ้าน ก็น่าเห็นใจนะ จะเรียกว่ากรรมได้ไหมเนี่ย ?

เราบอกเขาว่า ก็ทำบุญทำทานบ้างสิ เขาว่า จะเอาที่ไหนทำ ? เราว่า ทำได้ทุกที่แหละ มีน้อยทำน้อย มีมากทำมาก ไม่ต้องถึงกับให้ตัวเองเดือดร้อน แต่ว่าทำเพราะจิตใจที่อยากให้ อยากทำ อยู่ที่ความตั้งใจมากกว่า มีเวลาว่างก็สวดมนต์บ้าง เข้าวัดบ้าง ให้พาลูกไปด้วย เขาก็รับคำนะ แต่ว่าไม่รู้ว่าจะปฏิบัติได้หรือเปล่า

ภรรยาและเขาสองคนนั้น รายได้ค่อนข้างมากทีเดียว เดือนหนึ่งสองคนสามีภรรยาก็ตกห้าหกหมื่นบาท แต่ที่เขาไม่พอเพราะว่าตัวเขาเองมีหนี้สิ้นสิ้นเดือนหักลบเหลือ 2000 บาท ทีเป็นเงินเดือนภรรยาเขานั้นเขาไม่มีสิทธิ์แตะ หลังจากวางหูโทรศัพท์ก็คิดว่าจะส่งเงินให้เขาเหมือนกัน เพราะไม่อยากให้เขาต้องโกงองค์กร เขาเล่าว่า เขามีเงินใช้วันต่อวัน(โกงองค์กร) ได้มากบ้างน้อยบ้าง ก็เอาเงินนี้มาเติมน้ำมันรถ ซื้อของใช้ส่วนตัวบ้าง เช่นเสื้อผ้า หรือว่า อาหาร

เราบอกเขาว่า ไปโกงเขาสักวันจะถูกไล่ออก(คือเขาบ่นให้ฟังว่า ถ้าเขามีเงินตอนนี้เขาจะพาลูกสามคนไปอยู่ที่อื่น) สู้ลาออกตอนนี้ไม่ดีกว่าเหรอ? แต่เขาว่า ลาออกแล้วจะทำอะไร อายุขนาดนี้แล้ว ? ดีเหมือนกันอยากให้ถูกไล่ออกมากกว่าลาออก เฮ้อ ชีวิตคนมันแปลกนะ เราก็ได้แต่ปลง ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้

ทำไมแค่เรื่องทำแท้งแค่นี้ มันเป็นเวรกรรมของเราสองคนจริง เราเสพสุขด้วยกัน เรามีความเห็นเหมือนกันในตอนนั้น เราไปทำแท้งเขาก็ไปด้วย แต่ชีวิตเราสองคนต่างกันราวกับฟ้าดิน

ใช่การทำบุญทำทานหรือเปล่าหนอ? ถ้าใช่ แล้วเด็กลูกเขาคนโตนั่น จะใช่ลูกเราที่เราเคยไปทำแท้งมาเกิดใหม่หรือเปล่าหนอ? แล้วถ้าเด็กมาเกิดแล้ว ทำไมพ่อเขาจึงยังไม่พ้นจากความลำบากอีกล่ะ ? ใครรู้ช่วยตอบหน่อยได้ไหม จะรอฟังความเห็น เพราะยังคิดไม่ตกว่าจะช่วยเขาและลูกได้อย่างไรดี

 
kunying
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 13 ก.พ. 2006
ตอบ: 13

ตอบตอบเมื่อ: 15 ก.พ.2006, 5:41 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เฮ่อ ต้องระวังอย่างมากนะ การให้เกิดเป็นทุกข์ การทำให้เขาตายก็เป็นทุกข์
 

_________________
ทำดีเพื่อดีแก่โลก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวYahoo MessengerMSN Messenger
คนโง่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 ก.พ.2006, 5:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ร้องไห้ ร้องไห้ เรื่องนี้ร่วมกระทำกัน 2 คน แต่ผู้ที่รู้สึกผิดอยู่เสมอคือ ผู้หญิง ทั้งที่ผู้หญิงทุกคนคงไม่มีใครอยากทำแท้งหรอก ผู่ชายคนรับผิดชอบด้วย
 
Someone
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 11 มี.ค.2006, 1:54 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ครั้งแรก แท้งเองโดยไม่รุ้ว่าตัวเองท้อง ไม่ได้อยากให้เค้าจากไปจะบอกเค้าว่า ให้กลับมาใหม่ ต่อมาอีกสามปี ได้มีลูกชายหนึ่งคนน่ารักมาก สมบูรณ์ทุกอย่าง ทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ต่อมาก็ตั้งท้องอีกคน แต่สามีเก่าบอกว่า เลี้ยงไม่ไหว แล้วก็กลัวลุกชายลำบาก เลยตัดสินใจไปทำแท้งและนั่นก็เป็นสาเหตนึงที่ทำให้เลิกกับสามีเก่า ต่อมาคบกับผู้ชายคนหนึ่งก็เกิดตั้งท้องมาอีก แต่เค้าก็ไม่สามารถเลี้ยงดูรับผิดชอบได้ เลยทำให้ตัดสินใจไปเอาออก ทุกครั้ง ร้องไห้ปางตายทุกครั้ง ไม่ได้อยากทำ รู้ว่าบาปมาก แต่ถ้าเค้าเกิดขึ้นมา ก็ต้องทำให้ลูกชายลำบากไปด้วย พยายามทำบุญให้ตลอด ทั้งสองครั้งคิดว่าเป็นลูกสาวทั้งคู่ คนแรกอยากให้ชื่อณัฐษา คนที่สองอยากให้ชื่อน้องปาย ไม่อยากให้เค้าพยาบาท ขอรอรับกรรมแต่คนเดียว ตอนี้แต่งงานใหม่ ไม่กล้ามีลูกแล้ว กลัวเค้าออกมาไม่สมประกอบทำให้เหนื่อย เลี้ยงลำบาก กลัวจริงๆ
 
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2006, 4:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

1. “ทำแท้ง” พุทธศาสนามองว่าอย่างไร

ช่วงนี้มีการถกเถียงกันมากเกี่ยวกับประเด็น “ทำแท้ง” ว่าควรหรือไม่ควร โดยที่ทั้งฝ่ายเสนอ และฝ่ายคัดค้าน ต่างยกเหตุผลขึ้นมาถกเถียงกันฟังดูก็มีเหตุผลดีทั้งสองฝ่าย ฝ่ายเสนอก็บอกว่าควรออกกฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งได้เพราะตอนนี้ก็มีการลักลอบทำแท้งเถื่อนกันมากมาย ถึงอย่างไรก็ควบคุมกันไม่ได้อยู่แล้ว ทำไมไม่ทำให้มันถูกต้องไปเสียเลย

บางคนก็ว่าในกรณีที่ตรวจพบว่าเด็กมีโรคร้ายแรงคลอดออกมาก็ทรมานเปล่าๆ อีกไม่นานก็ตาย สู้ทำแท้งไปเลยจะได้ตัดปัญหาตั้งแต่ต้นลม ฯลฯ ฝ่ายคัดค้านก็คัดค้านอย่างจริงจัง โดยให้เหตุผลว่าการทำแท้งจะเป็นการส่งเสริมให้เด็กหนุ่มสาวมั่วเพศกันมากขึ้น บ้างก็ว่าเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม สรุปว่าข้อโต้แย้งเรื่องการทำแท้งนี้ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันไม่ยุติตราบจนกระทั่งทุกวันนี้

“ทำแท้ง” พุทธศาสนาวินิจฉัยว่าสมควร หรือไม่สมควรอย่างไร ?

ถ้าจะให้ตอบก็คงจะต้องตอบตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งวินิจฉัยว่า การทำแท้งเท่ากับการฆ่ามนุษย์คนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะพุทธศาสนาถือหลักว่าการปฏิสนธิว่าคือจุดเริ่มต้นของการเกิดเป็นมนุษย์ คือมีจิตใจของมนุษย์เกิดขึ้นอยู่ในเซลล์ชีวิตเล็กๆ ที่ปฏิสนธินั้นแล้ว และภาวะแห่งความเป็นมนุษย์นี้จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อตายลง

อนึ่ง ในทางพุทธศาสนาท่านถือว่าการฆ่ามนุษย์นั้นบาปหนักกว่าการฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน เพราะภาวะของมนุษย์ท่านถือว่าเป็นชีวิตอันประเสริฐที่ต่างจากสัตว์ดิรัจฉานทั่วไป เหตุผลคือชีวิตมนุษย์เป็นชีวิตที่มีโอกาสสามารถพัฒนาตนให้เจริญงอกงามได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ยกตัวอย่างเช่น คนธรรมดาอย่างเจ้าชายสิทธัตถะยังสามารถพัฒนาตนจนอุบัติเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เป็นต้น ดังนั้นการฆ่ามนุษย์แม้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์จึงเท่ากับการตัดโอกาสของชีวิตที่จะได้พัฒนาตนต่อไป

ในเมื่อพุทธศาสนามองว่าบุตรในครรภ์แม้วันแรกก็ถือว่าเป็นมนุษย์แล้วเช่นนี้ ในการตัดสินใจว่าการทำแท้ง สมควรหรือไม่สมควร จึงเป็นเรื่องที่ต้องวินิจฉัยเป็น กรณีๆ ไป ไม่มีคำตอบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คือต้องใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป แต่สิ่งควรจะต้องตระหนักรู้ไว้อยู่ตลอดเวลาในการที่จะตัดสินใจว่าควรหรือไม่ควรทำแท้ง คือ ชีวิตเล็กๆ ในครรภ์นั้นได้มีภาวะของความเป็นมนุษย์เกิดขึ้นแล้ว หาใช่แค่เซลล์เล็กๆ หรือก้อนเนื้อก้อนเล็กๆ อย่างที่เคยเข้าใจแต่อย่างใด

หลักฐานที่มีมาในพระไตรปิฎก และอรรถกถา
เพื่อประกอบการพิจารณาเรื่อง “ทำแท้ง”


๑. พระวินัยบอกว่าฆ่ามนุษย์เป็นบาปหนักที่สุด บาปยิ่งกว่าการฆ่าสัตว์ใดๆ ภิกษุใดฆ่ามนุษย์
ถือว่าต้องอาบัติปาราชิก หมดสิทธิเป็นสมณะอีกต่อไป ดังจะยกบาลีขึ้นมาอ้างดังต่อไปนี้

โย ปน ภิกฺขุ สญฺจิจฺจ มนุสฺสวิคฺคหํ ชีวิตา โวโรเปยฺย, อยมฺปิ ปาราชิโก อสํวาโส
(วินย.๑/๑๘๐/๑๓๗)

แปลว่า ภิกษุใดจงใจพรากชีวิตมนุษย์ ภิกษุนี้เป็นปาราชิก หมดสิทธิอยู่ร่วมกับสงฆ์
(ไม่สามารถอยู่ร่วมกับภิกษุอื่นได้อีกต่อไป)

โย ภิกขุ สญฺจิจฺจ มนุสฺสวิคฺคหํ ชีวิตา โวโรเปติ อนฺตมโส คพฺภปาตนํ อุปาทาย,
อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย (วินย.๔/๑๔๔/๑๙๕)

“ภิกษุใดจงใจพรากชีวิตมนุษย์แม้แต่เพียงทำครรภ์ให้ตกไป
(ทำครรภ์ให้ตกไปหมายความว่าทำแท้งนั่นเอง) ย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นศากยบุตร”

๒. ในพระสูตรบอกว่า ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นเมื่อเกิดองค์ประกอบสามอย่าง คือ
๑) มารดาบิดาร่วมกัน
๒) มารดาไข่สุก และ
๓) มีสัตว์เข้าไปเกิด

“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด มารดาบิดาร่วมกัน ๑ (มีเพศสัมพันธ์)
มารดาอยู่ในฤดู (ช่วงเวลาไข่สุก) ๑
และคันธัพพะเข้าไปตั้งอยู่แล้ว ๑ ( มีสัตว์ที่เข้าไปเกิด )
เพราะประชุมองค์ประกอบ ๓ ประการอย่างนี้ ก็มีการก้าวลงแห่งครรภ์”
(ม.มู.๑๒/๔๕๒/๔๘๗)

๓. อรรถกถาจารย์ได้อธิบายไว้ว่า ปฐมจิตเกิดขึ้นครั้งแรกพร้อมกับ อรูปขันธ์ ๓ และกลลรูป
ดังนั้นตามหลักพุทธศาสนาชีวิตจึงมีองค์ประกอบขันธ์ ๕ ครบสมบูรณ์ ณ วันที่เริ่มปฏิสนธินั่นเอง

๔. กลลรูป เป็นเซลล์ขนาดเล็กมากมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และจะใช้เวลานานประมาณ ๕ สัปดาห์
กว่าจะเริ่มงอกแขนขาและศีรษะ ออกมาเป็นร่างกายมนุษย์ โดยที่ขั้นตอนเจริญเติบโตกว่าที่จะงอก
เป็นปุ่มปมห้าปุ่ม นี้มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละสัปดาห์ ดังจะขอยกอรรถาธิบายของ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) มาแสดงดังต่อไปนี้

ชีวิตในครรภ์ เป็นอย่างไร ?

ปฐมํ กลลํ โหติ กลลา โหติ อพฺพุทํ
อพฺพุทา ชายเต เปสิ เปสิ นิพฺพตฺตตี ฆโน
ฆนา ปสาขา ชายนฺติ เสา โลมา นขาปิ จํ

นี้คือคำอธิบายว่าด้วยลำดับการเกิดเป็นระยะๆ ทีละช่วงสัปดาห์ หรือช่วงละเจ็ดวันๆ ลำดับแรกที่สุดก็คือเป็น ปฐมํ กลลํ เป็นกลละก่อน กลละนี่ถ้าเป็นศัพท์ในความหมายทั่วไปก็จะได้แก่พวกเมือก พวกโคลนตม เช่นว่าเหยียบลงไปในโคลนหรือในที่เละ แต่ในที่นี้ กลละ เป็นศัพท์เฉพาะซึ่งมีความเกี่ยวกับชีวิต และท่านใช้คำเรียกว่าอย่างนั้น ก็เพราะมีลักษณะเป็นเมือก หรือเหมือน อย่างน้ำโคลนเละๆ คือเป็นคำเรียกตามลักษณะ แต่ในกรณีนี้ ท่านหมายถึงเป็นเมือกใส ไม่ใช่ข้นอย่างโคลนตม

กลละ นี้ ท่านบอกว่าเป็นหยาดน้ำใส เป็นหยดที่เล็กเหลือเกิน เล็กจนกระทั่งในสมัยนั้นไม่รู้จะพูดกันอย่างไรเพราะยังไม่ได้ใช้มาตราวัดอย่างละเอียดถึงขนาดที่ว่าเป็นเศษส่วนเท่าไรของวิธีอุปมาว่า หยาดน้ำใสกลละนี้นะ มีขนาดเล็กเหลือเกิน เหมือนอย่างเอาขนจามรีมา จามรีที่เป็นสัตว์อยู่ทางภูเขาหิมาลัย ซึ่งมีขนที่ละเอียดมากเอาขนจามรีเส้นหนึ่งมาจุ่มน้ำมันงา แล้วก็สลัดเจ็ดครั้ง แม้จะสลัดเจ็ดครั้งแล้วมันก็ยังมีเหลือติดอยู่นิดหนึ่ง ซึ่งเล็กเหลือเกิน ท่านบอกว่านี่แหละเป็นขนาดของกลละ กลละหมายถึงชีวิตในฝ่ายรูปธรรม เมื่อเริ่มกำหนดในเจ็ดวันแรกในช่วงเจ็ดวันแรกก็เป็นกลละอย่างนี้มาก่อน ซึ่งเล็กเหลือเกิน

แล้วต่อจากกละนี้ไปในสัปดาห์ที่สองก็เป็น อัพพุทะ อัพพุทะ นี้ควรจะเรียกได้ว่าเป็นเมือกกละ คือ เป็นน้ำข้นหรือเมือกข้น ต่อจากนั้นในสัปดาห์ที่ ๓ ก็จะเป็นเปสิ คือเป็นชิ้นเนื้อ แล้วต่อจากนั้นในสัปดาห์ที่ ๔ ก็จะเป็นก้อน เรียกว่า ฆนะ ต่อจากนั้นในสัปดาห์ที่ ๕ ก็จะเหมือนกับมีส่วนงอกออกมา เป็นปุ่มห้าปุ่ม เรียกว่าปัญจสาขา นี่เป็นสัปดาห์ที่ห้า แล้วหลังจากนั้นก็จะมีผมมีขนมีเล็บกันต่อไป

(คัดจากหนังสือเรื่อง ทำแท้ง : ตัดสินอย่างไร ? หน้า ๑๒-๑๔)


........................................................................................

2. ทำแท้งบาปมากมั้ยหนอ (พระอาจารย์สุโข กตปุญโญ)
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=605

3. ทำแท้ง (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=12251

4. การทำแท้ง (แม่ชีทศพร ชัยประคอง)
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4577

การทำแท้ง ถือเป็นกรรมในหมวดข้อการเบียดเบียนชีวิตหรือปาณาติบาต ผู้ที่กรรมนี้จะหากินไม่ขึ้น หาความสุขใจในชีวิตนี้ไม่ได้เลย เพราะโดนวิญญาณที่จะมาเกิดเป็นลูกของตัวเองนั้นจองเวรอาฆาต ซึ่งการเกิดการตายของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณและวิบากกรรมโดยตรง

ผลกรรมอันเกิดจากการทำแท้งมี 2 ข้อคือ 1. กรรมที่ทิ้งลูกตัวเอง 2. กรรมในการฆ่าทำลายชีวิต ซึ่งอกุศลกรรมนี้พระไตรปิฎกได้กล่าวไว้ชัดเจนว่าผู้ที่ทำแท้งเมื่อสิ้นใจยังต้องตกนรก พ้นจากนรกจึงเกิดมาเป็นเปรต จากนั้นจะเป็นอสุรกาย ตนเมื่อมีบุญพอจะเกิดเป็นคนแต่ต้องถูกพ่อแม่ทอดทิ้งแต่เล็กหรือโโนพ่อแม่ของตนในชาติต่อไปทำแท้งตัวเองเสียหรือแท้งลูกโดยอุบัติเหตุ

ส่วนกรรมจากการปาณาติบาลหรือทำลายชีวิตลูกของตัวเองนั้นจะทำให้มีอายุสั้น มีโรคภัยเบียดเบียนมาก หากินไม่ขึ้นและกรรมจากการทำแท้งมักจะก่อผลให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ แม้ผู้ที่เกี่ยวข้องการการทำแท้งยังต้องมีอกุศลกรรมติดตัวตามไปด้วยเช่นกัน
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
ไม้อ่อน
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2007
ตอบ: 62

ตอบตอบเมื่อ: 05 พ.ค.2007, 11:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนทำแท้งเยอะจัง พูดยาก ไม่พร้อมก็ต้องป้องกัน
แต่เมื่อมันเกิดมาแล้วก็ต้องเลี้ยงดูกันไป เอาเถอะกรรมใครกรรมมัน
หลีกเลี่ยงไม่ทำจะดีที่สุด ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่นำความรู้มาบอกกัน

อนุโมทนาด้วยจ้า
สาธุ
 

_________________
Image
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
suvitjak
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 26 พ.ค. 2008
ตอบ: 457
ที่อยู่ (จังหวัด): khonkaen

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2008, 9:16 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ต้องคิดให้ดีก่อนนะครับ สุขชั่วครู่ แต่ทุกนานมากนะครับ เจ๋ง
 

_________________
ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง