| ผู้ตั้ง | ข้อความ | 
| charoem บัวใต้ดิน
 
  
 
 เข้าร่วม: 07 เม.ย. 2008
 ตอบ: 31
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
07 เม.ย.2008, 12:30 pm |   |  
| ผมอยากทราบว่า การบรรลุธรรม จำเป็นมั้ยที่ต้องบวชพระเสียก่อน
 เป็นปุถุชน ชาวบ้านธรรมดา สามารถบรรลุธรรมได้หรือไม่ครับ
 
 ที่สงสัยเพราะตอนนี้ผมเริ่มอ่านหนังสือเรื่อง 7 เดือนบรรลุธรรม โดยตังตฤน
 http://dungtrin.com/7months/index.html
 
 ตอนนี้ในใจผมก็มีกิเลสหนานัก แต่อยากจะบรรลุธรรมบ้าง
 ซึ่งผมเริ่มปฏิบัติธรรมและศึกษาหนังสือธรรมมะที่หอพัก
 วันแรก 1 มีนาคม 2551 ผ่านมาถึงวันนี้ 1 เดือนกับ 7 วัน (1 มีค-7 เมย 51)
 ก็เริ่มตั้งแต่การศึกษาเรื่อง สติปัฐฐาน  ถ้าผมตั้งใจทำจริงเดือนกันยายน
 ผมก็ต้องบรรลุธรรม ตามที่หนังสือเขียนไว้
 
 แต่มันจะเป็นไปหรือครับ ผมยังเป็นคนทั่วไปอยู่เลย ต้องบวชก่อนมั้ย
 แล้วค่อยปฏิบัติ หรือปฏิบัติไปก่อน แล้วมีโอกาสค่อยไปบวชทีหลัง
 แล้วสิ่งที่ปฏิบัติไว้แล้วตอนยังไม่บวช จะยังคงอยู่หรือไม่
 หรือต้องเริ่มกันใหม่หมดหลังจากบวชแล้ว
 
 ความอยาก หรือ ความต้องการ ที่จะบรรลุธรรม
 ผมว่า เป็นกิเลสที่ขวางกั้นใจผมแน่ๆ ถ้างั้นผมควรปล่อยวาง
 ไม่คิดเรื่องนี้อีกต่อไปจะดีมั้ยครับ
 จากที่อ่านหนังสือมา ผมยังไม่อาจจะละนิวรณ์ 5 ที่เป็นธรรมเบื้องต้นได้เลย
 การอาศัยศึกษาด้วยตัวเอง คงจะไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องซะทีเดียว
 
 เลยมาขอคำชี้แนะจากผู้ตั้งอยู่ในธรรม ทุกท่านด้วยครับ
 จะได้ปฏิบัติให้ถูกทาง
 |  
          |  |  
|  |  | 
|   | 
|  | 
| กรัชกาย บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
 ตอบ: 2348
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
07 เม.ย.2008, 9:00 pm |   |  
| 
 สาระหนังสือเล่มนี้มีอะไรบ้างกรัชกายไม่เคยอ่านครับ    จึงตอบไม่ได้ว่า คุณ ชโลม
 
 จะบรรลุธรรมภายใน 7  เดือนหรือไม่    เพราะคุณเพิ่งอ่านได้เดือนกว่าเอง
 
 อนึ่ง  ชื่อหนังสือนี้ น่าจะได้เค้าจากพุทธพจน์นี้ ครับ
 
 
 
 เราย่อมกล่าวดังนี้ว่า     บุรุษผู้เป็นวิญญู    ไม่โอ้อวด    ไม่มีมารยา     เป็นคนตรง  จงมาเถิด
 
 เราจะสั่งสอน     เราจะแสดงธรรม     เมื่อเขาปฏิบัติตามคำสอน     ก็จักประจักษ์แจ้งด้วยปัญญา
 
 อันยิ่งเอง   ซึ่งประโยชน์อันยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย    ผู้ออกจากเรือนบวชเป็นอนาคาริก
 
 โดยชอบต้องการ    อันเป็นจุดหมายของพรหมจรรย์      เข้าถึงอยู่ในปัจจุบันทีเดียว
 
 (โดยใช้เวลา)     เจ็ดปี..หกปี...ห้าปี  ฯลฯ   หนึ่งเดือน...กึ่งเดือน...เจ็ดวัน
 
 (ที.ปา.11/31/58 ฯลฯ)
 
 |  
          |  |  
| _________________
 สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
 
 แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 07 เม.ย.2008, 9:20 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
 |  | 
|   | 
|  | 
| กรัชกาย บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
 ตอบ: 2348
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
07 เม.ย.2008, 9:10 pm |   |  
| 
 แต่อ่านหนังสือธรรมะชื่ออื่นๆ มาบ้างนิดหน่อยครับ     ได้มาพบพุทธพจน์นี้
 
 ภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุไม่หมั่นประกอบความเพียรในการฝึกอบรมจิต  ถึงจะมีความปรารถนาว่า
 
 ขอให้จิตของเราหลุดพ้นจากอาสวะเถิด  ดังนี้  จิตของเธอจะหลุดพ้นไปจากอาสวะได้ก็หาไม่...
 
 เหมือนไข่ไก่ 8 ฟอง ก็ตาม 10 ฟองก็ตาม  12 ฟองก็ตาม  ที่แม่ไก่ไม่นอนทับ  ไม่กก  ไม่ฟัก
 
 ถึงแม้แม่ไก่จะมีความปรารถนาว่า    ขอให้ลูกของเรา   ใช้ปลายเล็บหรือจะงอยปาก ทำลาย
 
 เปลือกไข่ออกมาโดยสวัสดีเถิด  ดังนี้      ลูกไก่จะใช้ปลายเล็บหรือจะงอยปาก
 
 ทำลายเปลือกไข่ออกมาได้ก็หาไม่    สํ.ข. 17/261/186
 
 
 จึงได้ข้อคิดว่า  อ่านหนังสืออย่างเดียว   กิเลส มีนิวรณ์ เป็นต้น  ไม่น่าหลุดร่วงออกไป
 
 จากจิตใจได้นะครับ
 |  
          |  |  
| _________________
 สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
 |  | 
|   | 
|  | 
| กรัชกาย บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
 ตอบ: 2348
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
07 เม.ย.2008, 9:45 pm |   |  
| 
 
 
| อ้างอิงจาก: |  
| การบรรลุธรรม จำเป็นมั้ยที่ต้องบวชพระเสียก่อน เป็นปุถุชน ชาวบ้านธรรมดา สามารถบรรลุธรรมได้หรือไม่ครับ
 |  
 
 เท่าที่อ่านประวัติทางศาสนาท่านว่าไม่ต้องบวชก็บรรลุธรรมได้    หากรู้เข้าใจธรรมะ
 
 ที่ตนจะบรรลุนั้นคืออะไร
 
 ผู้ที่เป็นคฤหัสถ์และได้บรรลุธรรมท่านบันทึกไว้ในคัมภีร์ มี ดังนี้ครับ
 
 
 -พระเจ้าพิมพิสาร  กษัตริย์ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นมคธ   ผู้ทรงถวายเวฬุวันเป็นสังฆารามแห่งแรก
 
 ในพระพุทธศาสนา   และทรงรักษาอุโบสถเดือนละ 4 ครั้ง  (วินย.4/57-63/64-72)
 
 
 -อนาถบิณฑิกเศรษฐี    เจ้าของทุนสร้างวัดเชตวันที่มีชื่อเสียง   ผู้บำรุงพระสงฆ์และสงเคราะห์
 
 คนอนาถาอย่างไม่มีใครอื่นเทียบเท่า    (วินย.7/241-256/102-112 ฯลฯ )
 
 
 -นางวิสาขามหาอุบาสิกาเอตทัคคะฝ่ายทายิกา      ผู้แม้มีบุตรธิดามากถึง 20 คน  แต่สามารถ
 
 บำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวมได้เป็นอย่างดี   มีบทบาทช่วยกิจการของสงฆ์อย่างสำคัญ   เป็นผู้
 
 กว้างขวางและมีเกียรติคุณสูงเด่นในสังคมแคว้นโกศล      (วินย.5/153-155/207-214 ฯลฯ)
 
 
 -หมอชีวกโกมารภัจ     แพทย์ใหญ่ประจำพระองค์ราชาแห่งมคธ    ประจำพระองค์พระพุทธเจ้า
 
 และคณะสงฆ์  ผู้มีเกียรติคุณยิ่งยืนตลอดมาในวิชาแพทย์แผนโบราณ
 
 (วินย.5/128-138/168-193 ฯลฯ)
 
 
 -นกุลบิดาและนกุลมารดา  คู่สามีภรรยาผู้ครองรักอันภักดีมั่นคงตราบเท่าชรา
 
 และยังปรารถนาเกิดพบกันทุกชาติไป  (อง.เอก.20/151-2/33-4 ฯลฯ)
 
 
 ทั้งหมดนี้ท่านว่าเป็นพระโสดาบันบุคคล
 
 |  
          |  |  
| _________________
 สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
 |  | 
|   | 
|  | 
| มรรคคา บัวพ้นดิน
 
  
 
 เข้าร่วม: 30 มี.ค. 2008
 ตอบ: 77
 ที่อยู่ (จังหวัด): ภูเก็ต
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
07 เม.ย.2008, 11:13 pm |   |  
| ๗ เดือนบรรลุธรรม ผมก็ได้อ่านเหมือนกันครับนานแล้ว
 สาระในหนังสือก็น่าจะยกมาจากพระพุทธพจน์ที่ว่า
 
 ใครก็ตามที่เจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้อย่างต่อเนื่องเขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบัน หรือถ้ายังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็เป็นพระอนาคามีภายในเวลา ๗ ปี หรือ ๖ ปี หรือ ๕ ปี หรือ ๔ ปี หรือ ๓ ปี หรือ ๒ ปี หรือ ๑ ปี หรือ ๗ เดือน หรือ ๖ เดือน หรือ ๕ เดือน หรือ ๔ เดือน หรือ ๓ เดือน หรือ  ๒ เดือน หรือ ๑ เดือน หรือ ๑๕ วัน หรือ ๗ วัน ครับ
 
 ข้อความนี้คัดมาจากส่วนหนึ่งในหนังสือเจ็ดเดือนบรรลุธรรมนะครับ ไม่ทราบเหมือนกันว่าในพระไตรปิฎกเป็นอย่างไร
 |  
          |  |  
| _________________
 มีสติสัมปชัญญะกับทุกลมหายใจเข้าออก
 |  | 
|   | 
|  | 
| มรรคคา บัวพ้นดิน
 
  
 
 เข้าร่วม: 30 มี.ค. 2008
 ตอบ: 77
 ที่อยู่ (จังหวัด): ภูเก็ต
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
07 เม.ย.2008, 11:20 pm |   |  
| การปฏิบัติธรรมเป็นของแปลกนะครับยิ่งถ้าอยากได้ก็ยิ่งจะไม่ได้
 ถ้าพึ่งจะเริ่มปฏิบัติ ผมว่าการบรรลุธรรมน่าจะยกไว้ก่อนนะครับ
 เอาแค่สามารถมีสติให้มากที่สุดในแต่ละวันให้ได้ก่อนจะดีกว่านะครับ
 เพราะว่าถ้าไม่มีสติ สัมปชัญญะแล้วอย่าว่าแต่จะบรรลุธรรมเลยครับ
 แค่จะมีจิตใจที่สงบร่มเย็นก็ยังยากเลย
 |  
          |  |  
| _________________
 มีสติสัมปชัญญะกับทุกลมหายใจเข้าออก
 |  | 
|   | 
|  | 
| charoem บัวใต้ดิน
 
  
 
 เข้าร่วม: 07 เม.ย. 2008
 ตอบ: 31
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
08 เม.ย.2008, 7:18 am |   |  
| ขอขอบคุณ คุณกรัชกายและคุณมรรคานะครับที่ชี้แนะ จะลองพิจารณาดูครับ
 |  
          |  |  
|  |  | 
|   | 
|  | 
| กรัชกาย บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
 ตอบ: 2348
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
08 เม.ย.2008, 6:08 pm |   |  
| 
 ขออนุญาตผู้ตั้งกระทู้แทรกข้อความต่อไปนี้เพื่อพิจารณาอีกนิดนะครับ
 
 พุทธพจน์ดังกล่าวแล้วว่า
 
 
 เราย่อมกล่าวดังนี้ว่า      บุรุษผู้เป็นวิญญู    ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา เป็นคนตรง   จงมาเถิด
 
 เราจะสั่งสอน   เราจะแสดงธรรม   เมื่อเขาปฏิบัติตามคำสอน   ก็จักประจักษ์แจ้งด้วยปัญญา
 
 อันยิ่งเอง ซึ่งประโยชน์อันยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือนบวชเป็นอนาคาริก
 
 โดยชอบต้องการ อันเป็นจุดหมายของพรหมจรรย์ เข้าถึงอยู่ในปัจจุบันทีเดียว
 
 (โดยใช้เวลา) เจ็ดปี..หกปี...ห้าปี ฯลฯ หนึ่งเดือน...กึ่งเดือน...เจ็ดวัน
 
 
 สาระได้แก่สติปัฏฐาน 4  ดังที่คุณมรรคคาว่าไว้จริงๆ
 
 สติปัฏฐาน 4  มีพุทธพจน์ดังนี้ครับ
 
 
 ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นมรรคาเอก   เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อข้ามพ้นความโศก
 และปริเทวะ เพื่อความอัสดงแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุโลกุตรธรรม
 
 เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน นี้คือ สติปัฏฐาน ๔
 
 
 (แม้จะเห็นแนวทางชัดเจนอย่างนั้น  แต่เวลา...นำไปใช้ไปปฏิบัติจริงๆ    ไม่ง่าย ครับ
 
 เพราะความเห็นของมนุษย์ต่างกัน    มองเห็นสาระกันคนละมุมละด้าน
 
 การฝึกอบรมจึงต่างกันเพราะทิฏฐิด้วย   อาจผิดหรือถูกก็ได้เช่นกัน
 
 ดังที่ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ปรารถไว้ท้าย คาถา) =>
 
 
 -การเจริญสติปัฏฐานนี้ เป็นวิธีปฏิบัติธรรมที่นิยมกันมาก     ถือว่ามีพร้อมทั้งสมถะและวิปัสสนา
 
 ในตัว        ผู้ปฏิบัติอาจเจริญสมถะจนได้ฌานก่อนแล้วจึงเจริญวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐาน
 
 ไปจนถึงที่สุดก็ได้    หรือจะอาศัยสมาธิเพียงขั้นต้นๆ เท่าที่จำเป็นมาประกอบ เจริญวิปัสสนา
 
 เป็นตัวนำตามแนวสติปัฏฐานนี้ ไปจนถึงที่สุดก็ได้
 
 วิปัสสนาเป็นหลักปฏิบัติสำคัญในพระพุทธศาสนาที่ได้ยินได้ฟังกันมาก
 
 พร้อมกับที่มีความเข้าใจไขว้เขวอยู่มากเช่นเดียวกัน
 
 
 ศึกษาการเจริญสติ หรือ สัมมาสติ หรือ สติปัฏฐาน  ลิงค์นี้ ครับ
 
 http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13497
 
 |  
          |  |  
| _________________
 สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
 |  | 
|   | 
|  | 
| มรรคคา บัวพ้นดิน
 
  
 
 เข้าร่วม: 30 มี.ค. 2008
 ตอบ: 77
 ที่อยู่ (จังหวัด): ภูเก็ต
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
08 เม.ย.2008, 11:32 pm |   |  
| อยากจะขอเพิ่มเติมสักนิดนะครับการที่จะเจริญสติปัฏฐาน ๔ ให้ครบถ้วนและราบรื่นตลอดนั้นต้องเริ่มมาจากสิ่งที่เหล่าพระอริยเจ้าเรียกว่าของหยาบก่อน
 ของหยาบที่ว่านี้คือ ศีล ๕  ถ้าหากว่าแค่ศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้แล้วก็ไม่ต้องคิดที่จะยกจิตใจขึ้นสูงในการรับรู้สมาธิอันเป็นสิ่งที่ละเอียดกว่าศีล ๕ หรอกครับ
 
 ศีล ๕ ต้องรักษาขนาดที่ว่าแม้แต่มด ปลวก ยุง หรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก
 นั้นเราก็จะไม่เบียดเบียน แถมยังรู้สึกสงสารที่เขาเป็นผู้ที่ไม่มีบุญคุ้มครอง
 เหมือนเราๆ ถ้ามีโอกาสได้ช่วยชีวิตของเขาเหล่านั้นเราก็จะทำตามความเหมาะสม เพราะว่าเราเห็นทุกชีวิตมีค่าเสมอด้วยชีวิตเรา เพราะเขาเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย และก็เป็นผู้ที่ประกอบด้วยธาตุ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ หรือรูปนาม เช่นเดียวกันกับเราๆท่านๆ
 
 ดูเหมือนทำยากนะครับแต่ว่าถ้าทำได้แล้วคุณจะมองเห็นโลกอีกแง่มุมหนึ่ง
 ที่คุณไม่เคยพบเห็น
 |  
          |  |  
| _________________
 มีสติสัมปชัญญะกับทุกลมหายใจเข้าออก
 |  | 
|   | 
|  | 
| มรรคคา บัวพ้นดิน
 
  
 
 เข้าร่วม: 30 มี.ค. 2008
 ตอบ: 77
 ที่อยู่ (จังหวัด): ภูเก็ต
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
08 เม.ย.2008, 11:36 pm |   |  
| ตามหลัก สติปัฏฐาน ๔ (กาย เวทนา จิต ธรรม)
 ควรจะเริ่มที่ กาย ก่อน โดยการเฝ้าตามดูลมหายใจเราเท่านั้นเองครับ
 หายใจออก ก็รู้ หายใจเข้าก็รู้
 |  
          |  |  
| _________________
 มีสติสัมปชัญญะกับทุกลมหายใจเข้าออก
 |  | 
|   | 
|  | 
| RARM บัวบาน
 
  
 
 เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
 ตอบ: 417
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
09 เม.ย.2008, 4:04 am |   |  
| การปฏิบัติ
 
 กายบวช  หรือว่าใจ บวชครับ  ลองถามตัวเองดู
 
 การบรรลุ  บรรลุด้วยกาย  หรือบรรลุด้วยใจ  ครับ
 
 
  |  
          |  |  
| 
 แก้ไขล่าสุดโดย RARM เมื่อ 11 เม.ย.2008, 8:00 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
 |  | 
|   | 
|  | 
| sittidet บัวพ้นดิน
 
  
 
 เข้าร่วม: 26 ธ.ค. 2007
 ตอบ: 53
 ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
09 เม.ย.2008, 6:48 pm |   |  
| บรรลุ3ขั้นแรกได้แน่นอน คือ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี แต่อรหันต์ไม่ได้แน่นอนครับเพราะเพศฆราวาสไม่สามารถรับได้ครับ เจ็ดเดือนบรรลุธรรมนั้นไม่ใช่ทุกคนทำแล้วจะบรรลุได้ในเจ็ดเดือน
 ผมอ่านหลายรอบแล้วครับ มันเป็นแค่แนวทางให้ครับไม่ได้รับรองว่าเจ็ดเดือนจะบรรลุอย่างตอนจบที่เขาแนะนำให้ผู้หญิงคนหนึ่งทำตามก็ใช้เวลาปีกว่ารับ บรรลุธรรมในที่นี้หมายถึงมีดวงตาเห็นธรรมนั่นเองครับ พระพุทธเจ้าตรัสรับรองไว้แล้วว่าอย่างมากภายในเจ็ดปีดวงตาเห็นธรรมอย่างน้อยก็ขั้นอนาคามีไม่ต้องกลับมาโลกนี้อีกแน่นอนครับ สู้ต่อไปนะจะเป็นกำลังใจให้นะผมก็ดูความไม่เที่ยงอยู่เช่นเดียวกัน
 |  
          |  |  
| _________________
 ผู้ใดมีตนเป็นที่พึ่งนับว่าหาที่พึ่งอันหาได้ยาก
 |  | 
|   | 
|  | 
| มรรคคา บัวพ้นดิน
 
  
 
 เข้าร่วม: 30 มี.ค. 2008
 ตอบ: 77
 ที่อยู่ (จังหวัด): ภูเก็ต
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
09 เม.ย.2008, 11:39 pm |   |  
| เอาประวัติของพระนางเขมาเถรีมาให้อ่านเล่นครับ
 
 พระเขมาเถรี เอตทัคคะในฝ่ายผู้มีปัญญา
 
 
 พระเขมาเถรี เกิดในราชสกุล กรุงสาคละ แคว้นมัททะ พระประยูรญาติ ได้ให้พระ
 นามว่า เขมา เพราะพระนางมีผิวพรรณเลื่อมเรื่อดังสีน้ำทอง เมื่อเจริญพระชันษาแล้วได้อภิเษกสมรสเป็นมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารแห่งนครราชคฤห์
 
 เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน ใกล้กรุงราชคฤห์นั้นพระนางได้สดับ
 ข่าวว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษในรูปสมบัติและเพราะความที่พระนางเป็นผู้หลงมัวเมาในรูปโฉมของตนเอง จึงไม่กล้าไปเข้าเฝ้าพระทศพล ด้วยเกรงว่าพระพุทธองค์จะแสดงโทษในรูปโฉมของพระนาง
 
 หลงอุบายถูกหลอกให้ไปวัด
 
 ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสาร ก็ทรงดำริว่า เราเป็นอัครอุปัฏฐากของพระศาสดา แต่อัครมเหสี
 ของอริยสาวกเช่นเรานี้กลับไม่ไปเฝ้าพระทศพล ข้อนี้เราไม่ชอบใจเลย ดังนั้น พระองค์จึงคิดหาอุบายด้วยการให้พวกนักกวีผู้ฉลาด แต่งบทกวีประพันธ์ถึงคุณสมบัติความงดงามของพระวิหารเวฬุวันราชอุทยาน
 
 แล้วรับสั่งให้นำไปขับร้องใกล้ ๆ ที่พระนางเขมาเทวีประทับ เพื่อให้ทราบสดับบทประพันธ์นั้น พระนางได้สดับคำรรณนาความงดงามของพระราชอุทยานแล้ว ก็มีพระประสงค์จะ เสด็จไปชม
 
 จึงเข้าไปกราบทูลพระราชาผู้สามี ซึ่งท้าวเธอก็ทรงยินดีให้เสด็จไปตามพระประสงค์ เมื่อพระนางได้เสด็จชมพระราชอุทยานจนสิ้นวันแล้วใคร่จะเสด็จกลับ พวกราชบุรุษทั้งหลายได้นำพระนางไปยังสำนักของพระบรมศาสดาทั้ง ๆ ที่พระนางไม่พอพระทัยเลย
 
 พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นพระนางกำลังเสด็จมา จึงทรงเนรมิตนางเทพอัปสร
 นางหนึ่ง ซึ่งกำลังถือพัดก้านใบตาลถวายงานพัดให้พระองค์อยู่เบื้องหลัง พระนางเขมาเทวี เห็นนางเทพอัปสรนั้นแล้วถึงกับตกพระทัยดำริว่า แย่แล้วสิเรา สตรีที่งามปานเทพอัปสรเห็นปานนี้
 
 ยืนอยู่ใกล้ ๆ พระทศพล แม้เราจะเป็นปริจาริกา หญิงรับใช้ของนาง ก็ยังไม่คู่ควรเลย เพราะเหตุไร เราจึงเป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจจิตคิดชั่วหลงมัวเมาอยู่ในรูปเช่นนี้หนอ
 พระนางยืนทอดพระเนตรเพ่งดูสตรีนั้นอยู่
 
 ในขณะนั้นเอง พระบรมศาสดา ได้ทรงอธิษฐานให้สตรีนั้นมีสรีระเปลี่ยนแปลงล่วงเลยปฐมวัยแล้วย่างเข้าสู่มัชฌิมวัย ล่วงจากมัชฌิมวัยแล้วย่างเข้าสู่ปัจฉิมวัย เป็นผู้มีหนังเหี่ยวย่น ผมหงอก ฟันหัก แก่หง่อม แล้วล้มลงกลิ้งพร้อมกับพัดใบตาลนั้น
 
 พระนางเขมาเทวี ได้ทอดพระเนตรเห็นรูปสตรีนั้นโดยตลอดแล้ว จึงดำริว่า สรีระที่
 สวยงามเห็นปานนี้ยังถึงงามวิบัติอย่างนี้ได แม้สรีระของเราก็จักมีคติเป็นไปอย่างนี้เหมือนกันขณะที่พระนางกำลังมีพระดำริอย่างนี้อยู่นั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสพระคาถาภาษิตว่า:-
 
 ชนเหล่าใดถูกราคะย้อมแล้ว ย่อมตกไปในกระแสราคาเหมือนแมลงมุมตกไปในข่ายใยที่ตนทำเองเมื่อชนเหล่านั้นตัดกระแสนั้นได้ โดยไม่มีเยื่อใยแล้วละกามสุขเสียได้ ย่อมออกบวช
 
 เมื่อจบพระพุทธดำรัสคาถาภาษิตแล้ว พระนางเขมาเทวี ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อม
 ด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในอิริยาบถที่ประทับยืนอยู่นั่นเอง
 
 พระอรหันต์ฆราวาสเป็นได้ไม่นาน
 ธรรมดาผู้อยู่ครองเรือน เมื่อบรรลุพระอรหัตแล้วจำต้องปรินิพพานหรือไม่ก็บวชเสียใน
 วันนั้น เพราะเพศฆราวาสไม่สามารถจะรองรับความเป็นพระอรหัตถ์ได้ แต่พระนางรู้ว่าอายุสังขารของตนยังเป็นไปได้
 จึงเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ให้พระเจ้าพิมพิสารพระสวามีทรงอนุญาตการบวชก่อน แม้พระราชาก็ทรงทราบโดยสัญญาณคืออาการที่พระนางแสดงว่าบรรลุอริยธรรมแล้ว ทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ให้พระนางประทับบนวอทองแล้วนำไปอุปสมบทในสำนักของภิกษุณีสงฆ์เมื่อพระนางบวชแล้วได้นามว่า
 
 พระเขมาเถรี เพราะอาศัยเหตุที่พระนางมีปัญญามาก บรรลุพระอรหัตผลทั้ง ๆ ที่อยู่ในเพศฆราวาส พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องเธอไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้มีปัญญา และทรงแต่งตั้งให้เป็น อัครสาวิกาฝ่าย
 ขวา
 |  
          |  |  
| _________________
 มีสติสัมปชัญญะกับทุกลมหายใจเข้าออก
 |  | 
|   | 
|  | 
| กุหลาบสีชา บัวเงิน
 
  
  
 เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
 ตอบ: 1466
 ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
11 เม.ย.2008, 5:38 pm |   |  | 
|     | 
|  | 
| บัวหิมะ บัวเงิน
 
  
  
 เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
 ตอบ: 1273
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
17 ส.ค. 2008, 2:17 am |   |  
| พระเขมาเถรี เพราะอาศัยเหตุที่พระนางมีปัญญามาก บรรลุพระอรหัตผลทั้ง ๆ ที่อยู่ในเพศฆราวาส พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องเธอไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้มีปัญญา และทรงแต่งตั้งให้เป็น อัครสาวิกาฝ่าย
 ขวา
 
 นับเป็นความรู้ใหม่ค่ะ  อนุโมทนาบุญกับทุกท่าน
  |  
          |  |  
| _________________
 ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
 |  | 
|   | 
|  | 
|  |