Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 สัมภาษณ์พิเศษ แม่ชีทศพร ชัยประคอง ผู้มีตาทิพย์ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 16 มี.ค.2005, 5:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

สัมภาษณ์พิเศษ “แม่ชีทศพร ชัยประคอง”
ผู้มีตาทิพย์ สามารถหยั่งรู้กรรมเก่า

ด้วยความดังของ แม่ชีธนพร หรือแม่ชีทศพร (ชื่อที่เปลี่ยนใหม่) ชัยประคอง จากหนังสือเกิดแต่กรรมที่พิมพ์เป็นครั้งที่ 13 ภายในเวลาไม่กี่เดือน โดยบริษัท มีเดีย ออฟ มีเดียส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดทำ หลังจากที่แม่ชีเป็นวิทยากรรับเชิญรายการมิติพิศวง ทางช่อง 7 จนโด่งดังจากคุณลักษณะพิเศษในการดูกรรมในอดีตชาติของแต่ละคน

หลังจากนั้นจึงเกิดกระแสกลัวกรรม กระแสหนึ่ง กับกลุ่มที่ต้องการจะท้าพิสูจน์กรรม อีกกระแสหนึ่งในเว็บไซต์มากมาย ประกอบกับ VCD ชุดเปิดบันทึกแม่ชีทศพร ชัยประคอง กับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ยิ่งทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่ง ต้องการเดินทางไปหาแม่ชีโดยตรงที่วัดพิชยญาติการามวรวิหาร แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ เพื่อให้แม่ชีดูกรรมในอดีตเพื่อแก้กรรมในปัจจุบัน จนหน้ากุฏิแม่ชีเนืองแน่นทุกวัน และโอกาสที่จะพบแม่ชีโดยตรงก็ยากมาก นอกจากไปปฏิบัติธรรม 2 วัน 1 คืนในช่วงเสาร์-อาทิตย์ จึงจะได้พบกับแม่ชี และมีโอกาสที่แม่ชีจะเปิดกรรมให้แต่ละคน ซึ่งก็แล้วแต่แม่ชีเห็นว่าใครสมควรได้รับการช่วยเหลือก่อน-หลัง ตามกรรมหนัก-เบาของแต่ละคน

ในแต่ละสัปดาห์จึงมีผู้มานุ่งขาวห่มขาวปฏิบัติธรรมราว 600-700 คน เพื่อรอการเปิดกรรมจากแม่ชีในวันอาทิตย์ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะบริจาคกันเอง แล้วแต่ว่าจะบริจาคเพื่อการใด อาทิ สร้างศาลาปฏิบัติธรรม ช่วยค่าอาหารผู้ปฏิบัติธรรม ช่วยในเรื่องค่าซักผ้าผู้ปฏิบัติธรรม ฯลฯ ซึ่งจะมีกล่องรับบริจาคเรียงรายอยู่ด้านหน้ากุฏิของแม่ชี ซึ่งอยู่ด้านข้างของโบสถ์วัดพิชยญาติการามฯ

แม่ชีทศพร เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อปรีชา ธนวฑฺฒโก วัดเขาอิติสุคโต ต.หัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มากว่า 20 ปี ซึ่งหลวงพ่อปรีชาสามารถแยกกายทิพย์ได้ และเน้นสอนธรรมะเรื่องกตัญญูรู้คุณต่อบุพการีเป็นสำคัญ

หลวงพ่อปรีชาสอนให้แม่ชีนั่งสมาธิ โดยหยิบยกคุณธรรมของหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด มาสอนแก่แม่ชีเพื่อให้ญาณของแม่ชีพัฒนา ช่วงแรกที่แม่ชีนั่งสมาธิ แม่ชีมองเห็นความทุกข์ เห็นกรรมของตัวเองในชีวิตที่ได้กระทำต่อพ่อแม่ไว้ ทำให้ชีวิตของแม่ชีทางโลกล้มเหลวมาโดยตลอด นับจากการใช้ชีวิตกับสามีคนแรกที่เป็นนักมวยตั้งแต่อายุ 14 ปี ก็ประสบปัญหา เพราะยังเด็กเกินไป และตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุยังน้อย เวลาคลอดลูกคนแรกต้องนำมาเป็นลูกของพ่อแม่

หลังจากนั้น ชีวิตของแม่ชีทางโลกก็พลิกผันมาตลอด ล้มเหลวในธุรกิจและชีวิตครอบครัวกับสามีคนต่อๆ มา มีเหตุที่ให้แม่ชีต้องเป็นเมียน้อย พบกับความโหดร้ายของสามีที่กระทำต่อพ่อของแม่ชี มาถึงสามีคนสุดท้าย แม่ชีเล่าไว้ใน VCD เปิดบันทึกฯ ตอนที่แม่ชีป่วยหนักว่า สามีคนนี้เอาน้ำเย็นมาสาดแล้วบอกให้แม่ชีไปตายที่อื่น ครั้งนั้นแม่ชีคิดฆ่าสามีคนนี้ แต่ด้วยธรรมะจากหลวงพ่อปรีชานี่เองที่ทำให้ชีวิตแม่ชีพลิกผันมาปฏิบัติธรรมจนพัฒนาญาณหยั่งรู้อดีตชาติของผู้อื่น จนกระทั่งหลวงพ่อปรีชาสอนให้เทศน์สอนญาติโยมเป็นเวลา 1 ปี โดยหลวงพ่อให้คติธรรมไว้ว่า จงเป็นผู้ให้ และอย่าขอใคร

กระทั่ง พระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม และเจ้าคณะภาค 1 ให้แม่ชีมาช่วยจัดคอร์สปฏิบัติธรรมเพื่อเรียกคนเข้าวัด แม่ชีจึงมาที่นี่ พร้อมๆ กับความดังที่ติดตามมาจากการเห็นของแม่ชีที่ผู้อื่นไม่อาจรับรู้ได้ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกสนุกสนานในการค้นหาเหตุและผลแห่งกรรมในมิติต่างๆ ที่แม่ชีพรรณนา ดังบทเริ่มต้นที่นำมาเรียกน้ำย่อยกันก่อน

“แม่ชื่อธนพรนะ ตอนแรกชื่อ มาลินี นามสกุล ชัยปกรณ์ ชื่อนี้พ่อแม่ตั้งให้ หลวงพ่อเฮง วัดเขาน้อยจังหวัดระยองบอกว่าอย่าชื่อนี้เลย เป็นกาลกิณี ให้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ธนพร จนกระทั่งเดือนสิงหาคมปี 2547 ครูบาอาจารย์บอกว่าให้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ทศพร เพราะอะไรหรือ แล้วหลวงพ่อก็บอกว่า ธ อยู่หน้า น หนูมันกัดธงเอ็งทะลุหมดแล้ว พอวันที่แม่ชีเปลี่ยนชื่อวันที่ 17 สิงหาคม วันที่ 19 แจ๋วริมจอ คอลัมนิสต์ในไทยรัฐ ก็ออกข่าวว่าแม่ชีอุตริหรือเปล่า”

แต่ตอนนั้นแม่ชีเปลี่ยนชื่อเป็นทศพรแล้ว แม่ชีเล่าต่อมาว่า

“แม่ชีรู้จริงๆ มองเห็นจริงๆ ไม่ได้อุตริ ที่นั่งพระแม่ชีก็ไม่กล้านั่ง อะไรของพระแม่ชีไม่กล้ายุ่ง ชีวิตมีความสุขกับการทำงาน แม่ชีเองไม่อยากรู้เรื่องอะไรในอดีตชาติของตัวเอง ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด”

“แม่ชีขออย่าพูดสิ่งใดที่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า แม่ชีกลัวว่าจะเบี่ยงเบนคำสอนของท่าน แม่ชีก็สอนแต่ว่า พ่อแม่มีคุณจริงนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีคุณจริงนะ สถานที่ต่างๆ อย่าไปเปรียบเทียบกันว่าวัดนี้ดีกว่าวัดนั้น ถ้าโยมเปรียบเทียบเมื่อไหร่ เดี๋ยวจะมีหมอดูมาดูบ้านโยมบ้างว่า บ้านโยมฮวงจุ้ยไม่ดีต้องรื้อห้องนี้ออกไปทั้งห้อง เพราะโยมเคยไปเปรียบเทียบกัน โยมเคยเห็นคนใกล้ตายที่เขาฆ่าหมู ฆ่าวัว ฆ่าควายหรือเปล่า เขาร้องเหมือนหมู เหมือนวัว เหมือนควาย แล้วเราจะร้องอย่างนั้นหรือ

ต้องรีบปฏิบัติเสียตอนนี้ เวลาเรานั่งปฏิบัติ มันจะมีเวทนาความเจ็บปวดออกทางกายเลย แล้วเราไม่ต้องไปเวทนาในอนาคต ชดใช้เสียก่อนตอนนี้ เวทนานี้ไม่ใช่เรานะ บางทีคุณยายมานั่งอยู่กับเรา นั่งแล้วมันโยก นั่งแล้วมันเอน ปวด เราต้องรับทั้งหมด นั่งแล้วเวทนาเกิดตรงไหน ให้แผ่เมตตาตรงนั้นเลย ดูทุกข์แล้วเห็นทุกข์จริง อธิษฐานแผ่เมตตาไปเลยว่าบุญที่เรามีอยู่ เวทนาที่เกิดขึ้นนี้ เป็นใครไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ จงได้กุศลของเราด้วย เราต้องฝึกไปเรื่อยๆ แผ่เมตตาไปเรื่อยๆ เรื่องเมื่อวานก็ส่วนเมื่อวาน เรื่องวันนี้ต้องทำให้ดีที่สุด พรุ่งนี้จะมีหรือเปล่ายังไม่รู้ ให้โอกาส ให้อภัยตัวเองให้ได้”

เอาละเรียกน้ำย่อยแล้ว มาเข้าเรื่องกันดีกว่า

Image

• มีหลักในการดูกรรมอย่างไรคะ ?

ดูจากสมาธิค่ะ พอโยมมีศีลพร้อมกัน ที่เชิญมาบวชก่อนดูกรรมเพราะว่าญาติพี่น้องบางคนที่เสียชีวิตไปแล้วเขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะได้รับบุญจากการใส่บาตรได้ เขาจะอาศัยกายเรามาวัด ที่แม่ชีจัดการปฏิบัติธรรม เพราะแม่ชีเห็นอย่างนี้ แม่ชีไม่อยากให้เราประมาทกับชีวิต เพราะว่ามีปู่ย่าตายายที่เขาไม่สามารถไปเกิดได้ แล้วอาศัยกายโยมปฏิบัติ พอมาปฏิบัติแล้วแม่ชีจะเป็นไกด์ให้ เป็นสื่อกลางให้

• เป็นความงมงายหรือเปล่าคะ เขาจะมาอาศัยร่างกายเราปฏิบัติได้อย่างไร ?

มันไม่ใช่ความงมงาย เพราะว่าพอฝึกสมาธิระดับหนึ่งก็จะสามารถมีพลังจิตที่สามารถไปสัมผัสจิตอีกดวงหนึ่งได้ว่าคนนี้ชื่อนี้ นามสกุลนี้ เห็นวันนั้นไหม (วันนั้นคือวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547 วันที่คลื่นสึนามิถล่มเอเชียใต้ ยามบ่ายแม่ชีดูกรรมให้กับผู้ที่มาปฏิบัติธรรม)

• เห็นแม่ชีแก้กรรมด้วยวิธีแปลกๆ ปฏิบัติธรรมแล้วยังต้องแก้กรรมแปลกๆ ด้วยหรือคะ อย่างที่แม่ชีบอกให้บางคนเอาเหรียญบาทมัดละ100 บาท 5 มัดไปผูกกับผ้าขาวม้าที่เสาไฟฟ้าแล้วทำบุญให้ใครก็ได้มาเอาไป มีหลักอะไรในการแก้กรรม ?

การแก้กรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะทุกข์แต่ละคนไม่เหมือนกัน วันนั้นรู้สึกคนนี้จะเคยใช้ไฟแล้วไม่จ่ายตังค์ตามปกติ เอาลวดไปเกี่ยวใช้ไฟ วันนั้นคนนี้เขาชาไปทั้งตัวเหมือนไฟช็อต พอเราบอกเหตุความทุกข์เขาปุ๊บ ใจเขาคลาย บางคนไม่รู้เลยว่าคนนี้ผู้หญิงหรือผู้ชาย เดินเข้ามาไม่รู้เลยว่าเขาคือผู้หญิงหรือผู้ชาย ต้องถามเขา

• เป็นเพราะอะไรหรือคะที่เกิดมาเบี่ยงเบน ?

เพราะเคยไปเบี่ยงเบนความคิดของคนอื่น โยนโทษคนอื่นโดยที่เขาไม่ได้มีความผิด ก็เลยทำให้เกิดมาเป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่ ผู้ชายก็ไม่ใช่ เลยไม่รู้ว่าจะอยู่กับสังคมอย่างไร ทำงานกับใครเขาก็เข้ากับใครไม่ได้ อยู่ไปก็ไม่มีจุดยืน คนไม่มีจุดยืนในสังคมเยอะ ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่รู้จักพ่อแม่ ถึงขนาดทุบตีพ่อแม่ หรือพูดจาให้เขาเจ็บปวด ใจนี่ก็ถือว่าฆ่าเขาแล้วนะ ฆ่าเขาทางอารมณ์ แล้วคนก็มักจะพูดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี แสดงว่าทวงในสิ่งที่คิดว่าทำดี เวลาที่คุณทำดี จริงๆ แล้วคุณกำลังทำไม่ดีหรือเปล่า

อย่างเช่น เห็นแฟนของเพื่อนไปเดินกับผู้หญิงคนอื่น รีบโทรไปหาเพื่อนเลยว่าฉันเห็นแฟนเธอไปเดินกับใครไม่รู้ แค่นี้ก็สร้างกรรมแล้วนะ ทำให้เกิดความแตกแยกในครอบครัวเขา เพราะโยมไม่รู้ว่าเขามีอะไรกันหรือเปล่า ชีวิตโยมจะยุ่งเหยิง

• เวลาแม่ชีดูกรรม แม่ชีมองเห็นวาระจิตเขา มองเห็นความคิดเขา หรือมองเห็นเป็นภาพ ?

เห็นที่ใจเขาเลยค่ะ คือจะชี้อย่างนี้ๆ เลยค่ะ แปลกไหมคะ

• ก็ยังรู้สึกแปลก เพราะยังไม่เคยประสบกับตัวเอง ช่วยอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์หน่อยค่ะ ?

เพราะตำแหน่งของสมาธิ และความรู้ที่เรียกว่าปัญญา มีทุกคน เหมือนกับเราเรียนหนังสือ อาจารย์สอนให้เราเอา ก ไก่ ผสมกับ สระอา เป็น ก กา สมาธิก็เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ใจของการปฏิบัติ

• การเริ่มต้นมาปฏิบัติต้องศีลบริสุทธิ์ จะเช็คศีลของตัวเองได้อย่างไร ?

ก็ไม่ถึงกับที่ว่าศีลต้องครบ แต่ก่อนที่โยมจะมาคือโยมมีบุญอยู่แล้ว บุญจากได้ช่วยเพื่อน บุญจากที่ได้ช่วยให้ใครเขามีความสุข บุญจากการทำงานของเรา ที่ให้มาอยู่วัด 2 วันเพราะญาติที่ล่วงลับไปแล้วไม่สามารถได้บุญจากการใส่บาตรของเราได้ เขาจะอาศัยกายเราปฏิบัติได้จริงๆ

• ผู้ล่วงลับไปสามารถอาศัยกายเราปฏิบัติธรรมได้ ?

สังเกตดูทำไมดวงจิตของเราซึมเศร้า เพราะอะไร เพราะเขามีดวงจิตดวงสุดท้ายที่ตายไปไม่เป็นสุข ตายไปจากความผิดหวัง หน้าตาเขาก็จะดูไม่แฮปปี้ ใครเห็นก็รู้สึกว่าหน้าตาเขาเศร้าใจจัง

• บางคนมองว่า ตายแล้วสูญ ถ้าแม่ชีอธิบายอย่างนี้แสดงว่าตายแล้วไม่สูญ ?

แม่ชีบอกไม่ได้ว่าตายแล้วไม่สูญ แต่แม่ชีเห็นการตายของคน ตายเพราะถูกรถชน แขนหักขาดไปเลย เห็นวิญญาณแขนก็ยังขาดอยู่ อาการของวิญญาณไม่มีแค่สังขาร แล้วพอมาเกิดใหม่ แม่ชีก็เห็นภูมิหลัง ถามว่า ตายแล้วสูญไหม เมื่อวานนี้มีไหม เมื่อวานมีก็เป็นอดีตไป วันนี้มีไหม วันนี้ก็เป็นปัจจุบัน พรุ่งนี้มีไหม พรุ่งนี้ก็เป็นอนาคต นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ได้ แต่เมื่อวานเราทำอะไรไว้ จำได้หรือเปล่า

แม่ชีจะเจาะเอาเฉพาะเหตุว่า เหตุที่ทุกข์ของโยมเพราะอะไร ทำไมทำอะไรแล้วไม่ประสบความก้าวหน้าในชีวิต ทำไมมีอุปสรรคในการดำเนินชีวิต แล้วก็มีอุปสรรคในเรื่องของความรัก เวลารักใครแล้วต้องตีตัวออกห่างไป ทำไมจึงมีโรคภัยไข้เจ็บเยอะ

• เป็นกรรมจากในอดีตทั้งหมด ?

ทั้งอดีตและปัจจุบัน บางทีก็เป็นกรรมที่มาจากอดีตเยอะ กรรมจากพ่อแม่ อย่างพ่อแม่ที่ไม่พร้อมให้ลูกเกิด ตอนรักกันสองคนรักกันมาก แต่ไม่พร้อมให้ลูกเกิด พอตั้งท้องก็มีปัญหา ไม่อยากให้ลูกเกิด ความคิดที่ว่าไม่อยากให้ลูกเกิด พอลูกเกิดมาเป็นกรรม เป็นลูกเวรลูกกรรมกับเราอีก เพราะใจคิดว่าไม่อยากให้เขาเกิด พอเขาเกิดมาเขาปฏิเสธเราเอง เหมือนอย่างบางคนไม่ชอบพ่อไม่ชอบแม่นั่นแหละค่ะ เขารับรู้ได้ตั้งแต่ปฏิสนธิ

อัศจรรย์ทางจิตที่แม่ชีเห็นคือ คนใกล้ตายหูจะรั้งไปข้างหลัง จมูกจะรั้งขึ้นไป ถ่ายจะดำ นี่คือภาวะคนแก่ใกล้ตาย แล้วมาดูเด็กมาเกิดใหม่ หูรั้งไปข้างหลังบี้แบน จมูกรั้งขึ้นไปข้างบน แล้วก็อึดำเหมือนกัน นี่คือการเชื่อมต่อระหว่างการเกิดและการตาย

• แปลกใจว่าเวลาที่ดวงจิตหนึ่งดับ อีกดวงจิตหนึ่งกำลังจะเกิด เป็นจิตดวงเดียวกัน ไม่มีสภาวะอื่นๆ ที่ทำให้เกิด ?

จิตทั้งหมด 121 ดวง มีจิตที่เป็นกุศล 80 ดวง มีจิตที่เป็นทุกข์ 41 ดวง ไอ้ 41 ดวง ทุกข์เพราะการตายมากมาย ความทุกข์นี้จะมาอยู่ที่กายเราตอนเกิดใหม่

• ส่วนใหญ่เป็นความทุกข์ที่ทำให้เราเกิด ?

ใช่ ส่วนใหญ่เป็นความทุกข์ที่นำเราเกิดมา ความทุกข์ก็มีทั้งทุกข์กายและทุกข์ใจ ตามองเห็นแล้วชอบใจเขาเรียกว่าเสพ หูได้ยินแล้วเพราะก็เสพ ได้กลิ่นหอมก็เสพ กินก็เสพ ข้างล่างฉี่ออกไปก็มาเสพข้างล่างอีก อะไรที่สร้างความทุกข์ที่สุด ก็สัมผัสทั้งหกนี่แหละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่แหละ

• แล้วความทุกข์ที่มากับตัวเราจะมีวันหมดไปในชาตินี้ ?

เราก็นั่งสมาธิแผ่เมตตาให้จิตดวงเดิมที่เคยวนเวียนในสังสารวัฏนี้ได้รับกุศลของเรา มีศาสนาพุทธเท่านั้นที่สอนให้ปฏิบัติธรรม แล้วการปฏิบัติธรรมก็ไม่ใช่การถ่ายบาป เพราะบาปถ่ายไม่ได้ ทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับ ทำกรรมดีก็ได้รับกรรมดี ทำกรรมชั่วก็ได้รับกรรมชั่ว

• การปฏิบัติธรรมโดยรูปธรรม ทำให้เกิดผลอะไร ?

คือการปฏิบัติธรรมจะทำให้เราเกิดความละอายและการเกรงกลัวต่อบาป ไม่ใช่ให้มาวัดนั่งสวดมนต์ทั้งวัน ไม่ใช่ แต่แม่ชีจัดโปรแกรมนี้ขึ้นมาเพราะแม่ชีเห็นทุกข์ของสังคม เห็นทุกข์ของครอบครัวที่แตกแยก พ่อแม่พูดกันไมได้ ลูกพูดกับพ่อไม่ได้ แม่พูดกับลูกไม่ได้ แม่ชีจึงอยากทำตรงนี้ เพราะกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ คนที่เป็นพ่อแม่ก็เคยเถียงปู่ย่าตายายเอาไว้ พอมามีลูก ลูกก็มาเถียงเรา พอมันแรงเข้า มีการผลักกันของกรรมเกิดขึ้น มีการทุบตีพ่อแม่ อย่างนี้แม่ชีไม่อยากให้เกิดขึ้นในสังคมเรา แม่ชีเห็นเยอะมาก บางกรณีฟังแล้วอึ้งไปเลย

• แล้วนักการเมืองที่โกงกินบ้านเมืองจะเจอกรรมอะไร ?

ถ้าเขาโกงกินก็มีบาปเป็นเรื่องปกติ เพราะมีเจตนาในการโกง ถ้าแม่ชีมีอำนาจในแผ่นดิน แล้วแม่ชีทำผิดโดยที่รู้และตั้งใจก็จะรับกรรมหนัก แม่ชีก็จะไม่ได้บริหารประเทศได้นานหรอกค่ะ เพราะความทุจริตทั้งหลายจะบ่งบอกออกมา แต่ที่ใครพูดว่าคนนั้น คนนี้โกงบ้านโกงเมืองอย่างนี้ เราอย่าไปพูดตามเขา เพราะเราไม่เห็นเอง

• ถ้ามีเอกสารที่เห็นชัดเจนว่าเขาโกงอย่างนี้ๆ เราเผยแพร่ออกไปได้ไหม ?

ไม่ได้ค่ะ เพราะเราไม่ได้เห็นจริง แม้แต่เอกสารก็อาจจะเป็นเอกสารที่เป็นเท็จ แม่ชีรักประเทศไทย ถามว่าคนที่คอร์รัปชัน เราเห็นไหม เขากินบ้านกินเมือง เราเห็นตรงไหน เขาจะทำอะไรนั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา อย่าไปคิดแทนเขา การคุ้ยเขี่ยอะไรบางทีมันไม่ใช่เรื่องที่ดี การที่เราไปล่วงเกินเขา เราจะร่วง

ถ้าเขาคอร์รัปชันมันเป็นเรื่องของการก้าวไม่พ้นความโลภค่ะ แต่คนดีมีเยอะนะคะ คนที่ทำเพื่อแผ่นดินก็มีเยอะ เราอย่ามองนักการเมืองในแง่ไม่ดีไปซะหมด

• ก็ถ้านักการเมืองทำดี ก็สื่อออกมาดี ถ้าทำไม่ดี ก็ว่ากันไปตามนั้น ?

(หัวเราะ) ไม่รู้นะ แม่ชีถูกสอนให้อยู่กับความรับผิดชอบ แล้วก็มีคนโยนโทษให้แม่ชีตลอดว่าแม่ชีทำผิด แม่ชีทำไม่ถูกต้อง เพราะแม่ชีไม่กระจายอำนาจให้ใครเลย จะให้แม่ชีกระจายอำนาจได้อย่างไร ในเมื่อคนนี้รับผิดชอบอะไรไม่ได้เลย คนนี้ให้โอกาสแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย แม่ชีเคยเป็นผู้บริหารระดับหนึ่ง ซึ่งละเอียดอ่อนพอสมควร พอให้โอกาสคนนี้แล้วทำไม่ได้ แล้วอีกคนหนึ่งมีเพาเวอร์ แม่ชีก็ให้เขาช่วยทำให้หน่อย

แล้วทุกคนก็รวมตัวกันไม่ชอบแม่ชีกันหมดเลย เพราะว่าแม่ชีเห็นแก่คนนี้คนเดียว แต่คนนี้เขาทำงานได้ แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะ แม่ชีมองคนละมุม แม่ชีมองว่า คนที่เขาเข้าไปทำงานเพื่อบ้านเมือง จุดประสงค์คือเขาตั้งใจจริงๆ ก็มี

• แล้วเขามีกรรมไหมคะ ที่ต้องไปรับผิดชอบเรื่องบ้านเมือง ?

ทุกข์จะตาย แต่ละเรื่องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เราเป็นเขา เราก็ทำไม่ได้ แม่ชีเอาบุญให้เขาทุกวัน เขาต้องมารับผิดชอบประเทศ แม่ชีโนเนมเลยนะ อยู่ๆ แม่ชีมีคนรู้จักทั่วไป แม่ชีตั้งใจว่าที่สอนจะสอนให้คนรู้ธรรมะ แม่ชีไม่ได้ทำเพื่อลาภ-ยศ-สรรเสริญอะไร แม่ชีเป็นคุณหญิงก็ไม่ได้ เป็นได้แค่นี้ แม่ชีคิดว่าทำเพื่อสังคมมากกว่า นักการเมืองก็มีอุดมการณ์เหมือนกัน แต่เรื่องแต่ละอย่างที่มาจากงบประมาณแผ่นดิน ถ้าเราเป็นนักข่าว เราต้องใช้ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่งั้นเราต้องรับผิดชอบทั้งชีวิตเลยนะ

เป็นนักข่าว ขายข่าว ถ้าเขียนข่าวผิดความหมายไปคำหนึ่ง ความหมายของชีวิตเราก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน อย่างให้สัมภาษณ์อย่างนี้ ถ้าเขียนผิดต้องรับผิดชอบแม่ชีด้วย เพราะแม่ชีไม่มีเจตนาอื่น แม่ชีรักธรรมะจากพระพุทธเจ้า

• คนมักจะพูดกันว่า อดีตไม่สำคัญให้ทำปัจุบันให้ดีที่สุด แล้วทำไมคนจึงอยากรู้เรื่องภพชาติของเขา รู้อดีตไปเพื่ออะไร ?

เพราะคนไม่เหมือนกัน บางคนอยากรู้เพราะอยากแก้ไข เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นซ้ำซาก เช่นบางคนมีคู่ไปเรื่อยๆ แต่ไม่อยากอยู่กับใครเลย เขาก็อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนั้น บางคนลงทุนอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย บางคนก็ฟุ่มเฟือยซะจนไม่รู้จักพ่อ ไม่รู้จักแม่ คือแต่ละคนมีพื้นฐานของกรรมไม่เหมือนกัน

• แล้วทำไมไม่มองเป็นวิทยาศาสตร์ ว่าที่เรามีความทุกข์แบบนี้ เป็นเพราะเราคิดผิด เราเห็นแก่ตัว หรือเราตามใจกิเลสเราเองมากเกินไป ทำไมเราไม่ฝึกชนะใจตัวเอง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง ทำไมเราต้องไปเชื่ออะไรที่ผู้อื่นบอก ?

แม่ชีถึงต้องมานั่งสอน เพราะบางคนไม่มีหลักยึดเลย บางคนก็บอกไม่ได้ว่าทำไมตัวเองจึงเป็นอย่างนี้ บางคนเจอใครก็รักไปหมด เป็นตัวหลง เขาก็อยากรู้ว่าเขาจะหยุดได้อย่างไร เขาก็อยากรู้ แล้วความอยากรู้ไม่ใช่ผล เพียงแต่เป็นการเรียกน้ำย่อยว่าคุณต้องมาปฏิบัติ แล้วจะปฏิบัติตัวอย่างไร เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร

• รู้สึกว่าคนที่มาหาแม่ชีส่วนใหญ่ป่วยทางจิตใจ ?

ถ้าแม่ชีอยู่ต่างประเทศคงรวยนะ เพราะเหมือนกับใช้จิตวิทยารักษา แต่ความจริงไม่ใช่ แม่ชีใช้สมาธิรักษา แม่ชีจิ้มไปที่เหตุเลย แล้วเขาก็บอกว่าจริง อาทิตย์ที่แล้ว คุณยายอายุ 65 คุณตาอายุ 64 คุณยายทุกข์ใจ คุณยายกำลังจะบอกเรื่องทุกข์ใจ แม่ชีบอกว่าอย่าเพิ่งพูด แล้วบอกคุณยายไปว่า คุณยายไปปฏิบัติธรรมที่ไหนมา คุณยายบอกว่าไปปฏิบัติที่นครสวรรค์มา 9 วัน

ใน 9 วันนี้ คุณยายมีกรรมกับคนที่ปฏิบัติด้วยกันหรือเปล่า แม่ชีบอกว่ามี คุณยายทะเลาะกับใครที่ปฏิบัติด้วยกันหรือเปล่า ตอนที่คุณยายตักข้าวตอนเช้า 10 โมง ในการบวชวันที่ 4 คุณยายบอกว่า จำได้แล้ว ทะเลาะกับผู้หญิงคนหนึ่ง ก็เลยบอกว่า ก่อนที่คุณยายไปปฏิบัติธรรม คุณยายกับคุณตาไม่มีความขัดแย้งกันใช่ไหมคะ แต่คุณยายเป็นคนขี้บ่น หลังจากคุณยายบวชเสร็จ คุณตาปันใจให้ผู้หญิงอื่น กรรมจากที่คุณยายคิด แล้วแช่งเขา ด่าเขา ส่งผลให้คุณยายต้องเสียของรัก คุณยายโอเค มันมีเหตุจึงส่งผล

• ทั้งๆ ที่คุณยายอายุ 65 และคุณตาอายุ 64 ?

ค่ะ

• หลักการปฏิบัติธรรม 2 วัน 1 คืนในช่วงเสาร์-อาทิตย์ที่วัดพิชยญาติการามวรวิหาร ที่แม่ชีจัดขึ้น มีรายละเอียดอย่างไร ?

แม่ชีให้เข้าเช้าวันเสาร์ กรอกใบสมัคร รับชุดขาวพร้อมหนังสือสวดมนต์ รับศีล ให้อยู่กับความถูกต้อง ให้อยู่กับความบริสุทธิ์ 2 วัน 1 คืน แล้วออกวันอาทิตย์ ในช่วงนั้นแม่ชีสอนเรื่องศีล เช่นศีลข้อ 2 ถ้าชั่งก็ต้องชั่งให้เต็ม ตวงก็ตวงให้เต็ม ไม่ใช่ลักทรัพย์ มันอยู่ในศีลข้อที่ 2 ไปทำงานไม่ตรงเวลาก็คือการลักทรัพย์ ให้มีสัมมาชีพ หรือศีลข้อ 1 ไม่ใช่เรื่องการฆ่าทางร่างกายอย่างเดียว แต่หมายถึงฆ่ากันทางวาจาด้วย ไม่กล่าวล่วงเกินใครด้วยวาจา

ทั้งกาย วาจา ใจ ท่านสอนให้ละความชั่วทั้งปวง ทำจิตให้ขาวรอบ ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำใจให้ผ่องใสเสมอ การรักษาศีล 5 คือไม่ให้ทำร้ายตนเองและผู้อื่น พูดก็ต้องรับผิดชอบคำพูด คิดก็ต้องรับผิดชอบความคิด ทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบการกระทำ ถ้าทำงานไม่ตรงเวลาวันละชั่วโมง ปีหนึ่งเอาเขาไปกี่ชั่วโมง ต้องคืนนะคะ

• ถ้าทำเกินล่ะคะ ?

ทำเกินไม่ได้อะไร เสมอตัว แต่ทำเกินไปเถอะค่ะ มันจะเป็นกุศลของโยม องค์กรก็ดีขึ้น

• หลักการดูกรรมของแม่ชี กับหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรคะ ?

ไปเปรียบเทียบกับพระอริยสงฆ์ไมได้หรอกค่ะ แม่ชีไม่เคยพบท่าน แม่ชีไม่รู้ค่ะ แม่ชีเรียนกับหลวงพ่อปรีชา ธนวฑฺฒโก วัดเขาอิติสุคโต อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

• หลักการสอนภาวนาของหลวงพ่อปรีชา ?

ท่านสอนให้อยู่กับอารมณ์ เช่นคนมาเยอะๆ รำคาญไหม คนนี้ถามแล้วถามอีก เห็นไหม บางคนก็พยายามที่จะถาม เราเห็นกรรมของเขา เราก็เฉย อุเบกขา ตอนท้ายถึงเฉลยว่าที่ไม่พูดกับโยมเพราะอะไร โยมมีกรรมอะไร อยู่บ้านโยมไม่พูดกับพ่อแม่ใช่ไหม แม่ชีก็เลยไม่พูดกับโยมบ้าง แค่งอนกับแม่ก็เป็นบาปแล้ว งอนพ่อแม่ไม่ได้เลย ท่านเป็นพระอรหันต์ในบ้าน บางคนบอกให้พ่อแม่รออยู่ที่บ้านแล้วไม่กลับ พ่อแม่ก็เป็นห่วง มือถือก็ไม่รับ พ่อแม่เป็นทุกข์อย่างไร ลูกก็เป็นทุกข์อย่างนั้น เขามาหาแม่ชีอยากรู้เรื่องของเขา แม่ชีก็ไม่บอก ไม่พูด เพราะเวลาที่พ่อแม่อยากรู้เขาปิดเครื่องมือสื่อสาร แต่สุดท้ายแม่ชีก็เฉลยนะว่าทำไมแม่ชีไม่สื่อ

• การระลึกชาติด้วยตัวเอง กับการล่วงรู้วาระจิตของคนอื่น ต่างกันอย่างไร ?

มีอยู่ในพระอภิธรรมว่า คนที่ปฏิบัติได้ระดับหนึ่งก็จะได้ฌาน สามารถระลึกชาติได้ แต่แม่ชีไม่ได้รู้ถึงขั้นอุกฤษฏ์อะไร แม่ชีเป็นเพียงกุศโลบายอย่างหนึ่งให้โยมมาปฏิบัติ แล้วโยมมีของโยมอยู่แล้ว แม่ชีก็ทะลุมิติไปอีกหน่อยหนึ่ง จากจิตของแม่ชีทะลุไปที่จิตของโยม ว่าโยมคิดอะไรอยู่

• การรู้กรรมของคนอื่น เป็นทุกข์ไหม ?

ไม่ทุกข์หรอกค่ะ เรื่องของโยมก็คือเรื่องของโยม บอกโยมแล้วก็แล้วกัน แต่แม่ชีไม่พูดให้โยมทุกข์นะ ถ้าแม่ชีทำให้โยมทุกข์ แม่ชีต้องรับกรรมตรงนั้นด้วย เพราะเป็นวจีกรรม ตรงไหนที่ตรงประเด็นมาก แม่ชีจะอ้อมๆ เอา หรือไม่พูด บางเรื่องแม่ชีบอกว่า ขออนุญาตพูดได้ไหมคะ คนอื่นจะได้เอาไปใช้ได้ โยมจะได้เบาจากกรรมตรงนั้น

การบวชครั้งหนึ่ง 700 คน ศีล 8 เนกขัมบารมีนะคะ ไม่มีค่าใช้จ่าย มีชุดให้ใส่ มีที่ให้นอน อาหารมีให้ทาน ทุกอย่างฟรีหมด ใครที่อยากจะทำบุญก็ทำเป็นก๊อกต่อไป สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายสัปดาห์ต่อไป แม่ชีก็ไม่เดือดร้อน วัดก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร คือมีวัดไว้ไม่มีคนเข้า จะทำอย่างไร สร้างวัดก็เพื่อให้คนมาปฏิบัติ แม่ชีไม่ได้มุ่งหวังเรื่องสร้างวัตถุนะ อยากสร้างคนมากกว่า

• เคยเห็นพระที่ปฏิบัติดีหลายรูปที่เปลี่ยนไปหลังจากมี ลาภ ยศ สรรเสริญเข้ามา แม่ชีมีความคิดเห็นอย่างไร ?

แม่ชีคิดว่าแม่ชีพอ ในสังคมฆราวาสที่แม่ชีเคยเป็น ก็ล้มเหลวตลอด ไม่เคยคิดว่าความล้มเหลวตรงนั้นจะสร้างความทุกข์ให้แม่ชี แต่แม่ชีมาอยู่ตรงนี้ก็เห็นว่ากรรมมีจริง ทำอย่างไรจึงจะหนีกรรมให้พ้น แม่ชีทำกรรมกับพ่อแม่ไว้เยอะ แม่ชีก็เลยเอาโปรแกรมตรงนี้ใส่ข้อมูลลงไปในแต่ละคน ถามว่าแต่ละคนมีกรรมกับพ่อแม่ไหม มีหมด เป็นจิตวิทยาบางอย่าง แต่อีกอย่างหนึ่งคือ สมาธิล้วนๆ ที่จิ้มลงไป

แม่ชีเคยนั่งสวดมนต์ให้โยมฟัง แล้วให้โยมนั่งสมาธิ หลวงพ่อปรีชาได้ยินเข้า มาบอกว่า มึงทำอะไร แม่ชีบอกว่าสวดมนต์ให้โยมนั่งสมาธิ หลวงพ่อบอกว่า มึงมีฌาน ทำไมมึงไม่บอกเขาไปล่ะว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ

แล้วพระธรรมโมลี เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามฯ ท่านเมตตามาก ท่านให้ข้อมูลเรื่องธรรมะ ท่านให้แม่ชีทำทาน ให้แม่ชีรับผิดชอบเรื่องการปฏิบัติธรรม

• แม่ชีจัดสรรให้แต่ละคนช่วยงานอย่างไร ?

ไม่มี คนนี้เป็นแม่ครัวก็มาทำด้วยใจ 2 ปีแล้ว ไม่ต้องจ้าง เขาถือว่ามาทำบุญ ไม่มีการเรียกร้องอะไร ตรงนี้มันเสี่ยงกับความโลภ เพราะแม่ชีอยู่ตรงนี้รู้เลยว่ามันเสี่ยง 10 บาท 20 บาทก็เสี่ยง เพราะคนมาก คนละ 20 บาท 800 คนเป็นเงินเท่าไหร่ ใช่ไหมคะ แต่ละอาทิตย์ มันเสี่ยงต่อความโลภ แม่ชีไม่เอา

• ตรงนี้ทางวัดมีเจ้าหน้าที่มาดูแล ?

ท่านให้แม่ชีดูแล แล้วแม่ชีก็ไม่ได้ยุ่งอะไรกับทางวัด เพียงแต่ใช้สถานที่เป็นการปฏิบัติ ท่านให้โอกาสแม่ชีในการเผยแผ่ธรรมะมากกว่า เพราะถ้าเป็นพระสงฆ์ไม่อยู่ในฐานะที่พูดได้ ทั้งๆ ที่พระสงฆ์เก่งกว่าแม่ชีตั้งร้อยเท่า แต่เพราะมีวินัยกำกับไว้ว่าพูดไม่ได้ ทีนี้ครูบาอาจารย์ก็มานั่งปั้นให้แม่ชีพูดอย่างนี้ๆ ป้อนข้อมูลให้แม่ชีอย่างนี้ๆ แล้วแม่ชีก็มาฝึกเอาว่าอย่างนี้ดูได้ อย่างนี้ดูไม่ได้ ทำไมอย่างนี้ดูไม่ได้ อย่างนี้ดูได้ ก็ค่อยๆ ดูไป

• ใช้เวลานานไหมในการปฏิบัติเพื่อที่จะเห็นกรรมของแต่ละคน ?

แม่ชีเห็นกรรมตั้งแต่ยังไม่ได้บวช ตั้งแต่เด็ก แม่ชีดำน้ำลงไปเห็นอะไรในน้ำ มันวูบๆ วาบๆ เวลานั่งเพลินๆ ก็เห็นคนเดินไปเดินมา เห็นอีกมิติหนึ่งเลย พอมาปฏิบัติที่เห็นอย่างลึกซึ้งกินใจคือความเลวของเราทั้งนั้นเลยที่เราเห็น เราเห็นกรรมของเราทั้งนั้น ก็เลยทำให้พิจารณาว่า อายุเท่านี้ทำกรรมขนาดนี้ ถ้าเราอยู่ทางโลกเราต้องสร้างกรรมมากขึ้นอีก ชั่งก็ต้องชั่งโกงเขาจึงจะได้กำไรมาก วัดก็ต้องวัดโกงเขาถึงจะได้กำไรมาก แม่ชีจึงเอาสิ่งเหล่านี้ที่ผิดพลาดมาทำให้แม่ชีได้คิดว่า ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวนะ

แม่ชีเคยค้าขายมะพร้าว เรือมันติดแห้งอยู่ แม่ชีรีบขนมะพร้าวลงเรือเพราะกลัวเจ้าของสวนเขาเห็นว่าแม่ชีโกงเขา แม่ชีรีบให้ลูกช่วยกันโยนมะพร้าวลงเรือ แล้วน้ำหนักของเรือกับมะพร้าวไม่สมดุลกัน จากที่เราโกงเขา พอเข็นหลุดออกจากคลองที่ติดแห้งอยู่เรือก็จม มะพร้าวก็ลอย บ่งบอกให้เจ้าของสวนรู้ว่าเราโกงเขา แป๊บเดียวเดี๋ยวนั้นเลย แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นกรรม รู้แต่ว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว

• แล้วกรรมเกี่ยวกับคลื่นสึนามิ แม่ชีจะอธิบายอย่างไรคะ ?

สึนามิเคยมีในสมาธิของแม่ชีเมื่อ 6-7 ปีก่อน เคยนั่งสมาธิแล้วมีพระสงฆ์มาจากพังงารูปหนึ่ง มาอยู่ที่วัดที่แม่ชีอยู่ นั่งสมาธิทีไรก็เห็นแต่หน้าท่าน ก็เลยไปนั่งสมาธิกับท่าน จากตรงที่นั่งสมาธิกับท่านก็มีอะไรบางอย่างออกมานั่งอยู่ข้างหน้าแม่ชี เขาบอกว่าเป็นเจ้าทะเลอันดามัน แล้วบอกเรื่องราวของทะเลอันดามันว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเราก็พร้อมใจกันไปที่พังงาไปทำพิธีรับวิญญาณ ตรงเจ้าพ่อเขาหลัก

มีของอย่างหนึ่งที่ไม่สำเร็จในการทำพิธีนั้นในเวลา 9 โมง คือเผือกไม่สุก ต้มอย่างไรก็ไม่สุก เจ้าทะเลอันดามันบอกว่าของทุกอย่างให้ผ่าออก ให้เห็นข้างใน มีเผือกอย่างเดียวที่ผ่าออกมาแล้วข้างในมันขาว แม่ชีก็ตีปริศนาว่า อ้อ คนที่มาตายในแผ่นดินไทยเป็นคนต่างชาติเยอะมาก มีหลักฐานพยานคนที่ไปช่วงนั้นอยู่ด้วย

• แม่ชีรู้ล่วงหน้าแล้วทำไมไม่มีการเตือน ?

ก็เตือน แม่ชีไปรับกรรมมาแล้ว แต่เหตุมันจะเกิดแล้วจะทำอย่างไร แม่ชีคนเดียวจะไปเบรกคลื่นยักษ์ขนาดนั้นเป็นไปไม่ได้ แม่ชีไม่ใช่ผู้วิเศษ ก็ได้แต่สวดมนต์แผ่เมตตา คงทำได้ 1 ใน 1,000,000 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็อธิษฐานจิตว่า ถ้าจิตใดที่ต้องล้มหายตายจากขอให้ไปสู่สวรรค์ เราเห็นอนาคตก่อนไม่ใช่ดีนะคะ เราต้องควบคุมอารมณ์เราให้อยู่ แม่ชีเคยเห็นคนหนึ่งไม่มีคอเลย ตอนนั้นเขาเป็นพระอยู่ แม่ชีบอกเขาไม่สึกได้ไหม เขาบอกว่าจะสึก แม่ชีบอกว่าอย่าสึกเลย เพราะเห็นว่าไม่มีคอ แต่เขาบอกว่าคนจะตายอยู่ที่ไหนก็ตาย พอเขาสึกออกมาอีก 3 เดือนเขาก็ตายจริงๆ เพราะอะไรมันก็ไม่เที่ยง อะไรมันก็ไม่แน่นอน อย่างแม่ชีรับปากโยมวันนี้ว่าเราเจอกันนะ อาจจะไม่เจอก็ได้ เพราะไม่แน่นอน

คลื่นสึนามิ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากมนุษย์ทำลายธรรมชาติมากเกินไปหรือ ไม่ใช่เป็นเพราะเราขุดเจาะน้ำมัน ใช้ทรัพยากรธรรมชาติไม่บันยะบันยังจนโลกร้อน ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย และทำให้เกิดแผ่นดินไหวและเกิดคลื่นยักษ์ตามมา ?

เหตุการณ์ธรรมชาติมันจะเกิดก็ต้องเกิด ทำไมต้องไปเกิดที่นั่น เขาให้เห็นว่าภัยธรรมชาติยังขนาดนี้ ยังไม่เลิกทะเลาะกัน ยังไม่เลิกทำสงครามกันอีกหรือ แต่อย่าเอาแม่ชีเป็นเกณฑ์ เราเอาวิกฤติเป็นโอกาส ถามว่าแม่ชีอยากดังไหม ไม่ใช่ บางทีแม่ชีเห็นสะพานหัก แม่ชีก็ไปซ่อมก่อน ถ้าเราเห็นแก่ตัว เราเดินจากไปโดยไม่ต้องซ่อมก็ได้ แต่ถ้าเรารักชาติ รักแผ่นดิน เราก็ต้องไปซ่อม เพราะเดี๋ยวเพื่อนเรามาเดินต่อ

• แล้วคนที่ตายจากคลื่นสึนามิอย่างไม่รู้ตัวจะไปอยู่ไหน ?

เขาก็ว่ายน้ำอยู่นั่นแหละค่ะ เราต้องสวดมนต์แผ่เมตตาทำบุญให้เขา วิญญาณมีเยอะทุกที่แหละ กว่าจะมีแผ่นดินไทย ละเลงเลือดมาไม่รู้เท่าไหร่ ไม่ใช่เฉพาะสึนามิ มันเป็นเรื่องปกติ ทำไมต้องมาตายเมืองไทย ทำไมไม่ตายที่บ้านเมืองเขา ทำไมต้องนั่งเครื่องบินมาตายที่นี่ อะไรที่เป็นของเรามันก็เป็นของเรา อะไรไม่ใช่ของเรา มันก็ไม่ใช่ของเรา คนเรามีสัญญาต่อกันนะ ถ้ามีสัญญากรรมดีต่อกัน เห็นหน้าปุ๊บ น่ารักจัง อยากคุยนานๆ ถ้ามีสัญญากรรมที่มีการจองเวรกัน อยู่ใกล้ๆ กันนั่งถอนใจกันอยู่นั่นแหละ เหมือนถูกแย่งลมหายใจ ทั้งๆ ที่พื้นที่ก็กว้าง เมื่อไหร่จะไปซักที

• ตอนที่แม่ชีทำงานหนักๆ มีคนมาหาเยอะ แล้วเอาเวลาไหนปฏิบัติสมาธิภาวนา ?

กลางคืนค่ะ ไม่ค่อยได้นอน

• เวลานั่งสมาธิกำหนดอย่างไร ?

ก็ภาวนาใช้บริกรรม อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ...แล้วก็จบด้วยพระคาถาชินบัญชร จากนั้นก็นั่งเรื่อยไป แล้วก็ถวายธรรมะทุกวัน คุยกับโยมก็เป็นธรรมนะ แม่ชีสอนลูกว่า อะไรที่เป็นความสุข ทำไปลูก อะไรที่เป็นความดี ทำไปลูก เพราะแม่ไม่มีอะไรจะให้

• ตอนนี้ลูกๆ ของแม่ชีเป็นอย่างไรบ้าง ?

ก็ทำมาหากินกัน ไม่ได้เดือดร้อน

• เป้าหมายการบวชของแม่ชี ?

ก็บวชไปเรื่อยๆ

• คิดจะสึกไหม ?

ไม่หรอกค่ะ แต่วันนี้ดังมาก พรุ่งนี้อาจจะไม่ดังก็ได้ มียศก็เสื่อมยศ มีลาภก็เสื่อมลาภ วันนี้มีคนพูดถึงมาก วันหน้าอาจไม่มีใครพูดถึงเลย

• แม่ชีคิดอย่างไรกับการที่ดังมากๆ มีคนเข้ามาหาเยอะ สิ่งต่างๆ ก็ตามมา อาจมีข้อครหาว่า แม่ชีเป็นของจริงหรือเปล่า ?

ไม่ซีเรียสค่ะ ทำใจได้แล้ว (หัวเราะ) เพราะสิ่งที่แม่ชีเห็น แม่ชีรู้ว่าไม่ได้สร้างทุกข์สร้างโทษให้ใคร เจตนาบริสุทธิ์ ใน 100 เปอร์เซ็นต์ แม่ชีมี 90 เปอร์เซ็นต์ อีก 10 เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่บริสุทธิ์คือความพลั้งเผลอของแม่ชีเอง ใจนั้นให้จริงๆ อยากให้โยมไปอยู่กันอย่างมีความสุข อยากบอกโยมว่า ถ้าเป็นช่างซ่อมเครื่อง ก็ต้องซ่อมให้ถูกต้อง เป็นร้านอาหารก็อย่าคิดเกิน แต่ละอย่างมันละเอียดอ่อน

• การปฏิบัติธรรมของลูกผู้หญิง แม่ชีเห็นว่าอย่างไร ควรจะบวชไหม ?

ก็ปฏิบัติบูชาไปเรื่อยๆ บวชก็ได้ ไม่บวชก็ได้

• แม่ชีมีข้อคิดอะไรเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกบ้าง เพราะเห็นคนป่วยทางจิตมาหาแม่ชีหลายคนเป็นเพราะพ่อแม่รักลูกมากเกินไป ไม่ยอมให้ลูกทำงานบ้าน เขาเลยฟุ้งซ่านวนเวียนอยู่กับความคิด และมีความกลัวมากมาย จริงๆ แล้วอาจไม่ได้ป่วย เพียงแค่เหงื่อไม่ออก ?

แม่ชีบอกเลยว่า พ่อแม่ให้ชีวิตเขาแล้วอย่าไปยึดกับชีวิตลูกมาก ปล่อยให้ลูกบินไป อย่าไปทำอะไรให้ลูก ถ้าลูกเลยสิบขวบไปแล้วให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง อย่าไปยึดติดกับลูก แม่ชีสังเกตดู เด็กอายุสองขวบครึ่ง เวลาเขาหิวน้ำ เขาเดินไปตักเองได้ แต่พ่อแม่รู้สึกว่าเป็นห่วงลูก ก็ทำให้ลูกหมด ไม่ได้สอนเขา เวลาเขาทำผิด ไม่สอนเขา เวลาเขาด่า ก็ไม่ตีเขา ปล่อยให้เขาด่า พอเขาโตขึ้นมาจะไปสอนให้เขาหยุดด่าได้อย่างไร เพราะเราไม่ได้ปลูกฝังเขามาก่อน เลี้ยงลูกต้องตี เมื่อไม่ตีก็ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมา ทำอย่างไรล่ะ พ่อแม่ก็รับกรรมไป เลี้ยงอย่างไรก็ต้องรับผลที่เกิดขึ้น

๐ ขอธรรมะจากแม่ชี ฝากท่านผู้อ่านค่ะ ?

สุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งสมมติขึ้นมาทั้งนั้น สมมติว่าเป็นเรา ถ้าเราทำงานราชการ ความเป็นข้าราชการก็อยู่กับเรา 60 ปี ก็ต้องทำใจเตรียมพร้อมไว้กับการจากไปจากราชการหลังปลดเกษียณ ถ้าแม่ชีเป็นข้าราชการก็ต้องคิดว่าถ้าอายุ 60 ปี จะไปทำอะไรต่อ ตอนนี้ดีว่าแม่ชีเป็นนักบวชก็ไม่ต้องคิดถึงตรงนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างพลิกผันได้ง่าย อะไรก็ไม่เที่ยง อย่างคนเดินขึ้นเขาเหนื่อยมากมาย เดินขึ้นไปจนถึงที่สูงสุดแล้วก็ต้องเดินลงมา เราจะอยู่บนนั้นตลอดไปไม่ได้เพราะไม่ใช่ที่ของเรา แล้วเวลาเราเดินลงมาต่ำที่สุดเราได้อะไรบ้างจากการเดินขึ้นและเดินลง นี่คือสัจธรรมของพระพุทธเจ้าเลยว่า เมื่อเราขึ้นเขาเราก็ต้องลงจากเขาเป็นธรรมดา เราต้องสรุปบทเรียนให้ได้ว่าเราเรียนรู้อะไรจากการขึ้นเขา บนเขามีอะไรเราสังเกตให้หมด คนที่ทำทางให้เราขึ้นไปก็ได้กุศลจากเราด้วย

๐ แม่ชีเรียนรู้จากคนที่มาหาแม่ชีตลอด อย่างเวลาเราไปตักอาหารแจก มีคนเดียวกันมาตักสามรอบ เราจะว่าเขาไม่ได้ เพราะเขามีบุญที่จะกินอาหารตรงนี้ ถ้าเราพูดว่าเขา แสดงว่าใจเรายังไม่พร้อมที่จะให้ ถ้าให้แล้วต้องไม่มองหน้าเขาเลย ไม่อย่างนั้นอกุศล ถ้าให้ด้วยจิตที่โจมตีเขา เขาจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ?

ทรัพย์ภายในคือการให้ ยิ้มก็คือการให้ ใครเห็นก็รักเรา ยิ้มไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าโวยวาย เวลาซื้อขนมก็ซื้อไปสองห่อ อย่ากินคนเดียว แบ่งคนอื่นด้วย ดีไหมคะ เราต้องอยู่อย่างเป็นประโยชน์กับตัวเองและสังคม

.........................................................................

ข่าว :: เนชั่นวิคเอนด์ 29 มกราคม 2548
ปีที่ 14 ฉบับที่ 661วันที่ 31 ม.ค.- 6 ก.พ. 2548
สัมภาษณ์พิเศษโดย มนสิกุล โอวาทเภสัชช์

.........................................................................

กระทู้ที่เกี่ยวข้องกับ แม่ชีทศพร
Image

1. ระเบียบการปฏิบัติธรรม ณ วัดพิชยญาติการาม และแผนที่
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3103

2. สัมภาษณ์พิเศษ “แม่ชีทศพร ชัยประคอง” ผู้มีตาทิพย์
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1524

3. แก้กรรมด้วยพลังธรรม
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1527

4. เมื่อ...แม่ชีทศพร “ตรวจกรรมในคุกคลองเปรม”
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10290

5. ทำไม !...แม่ชีธนพรถึงล่วงรู้เรื่องกรรม
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6701

6. รู้ชอบ ชั่วดี ย่อมเกิดกับผู้มีสติ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10288

7. เที่ยว “วัดพิชัยญาติ” ชมภาพสลัก “สามก๊ก” หนึ่งเดียวในประเทศ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13330


8. วิบากกรรมย้อนกลับมาชดใช้
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15005

9. ทำอะไรได้อย่างนั้น
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4577

ซึ้ง
 

_________________
"อย่าลืมตัว อย่าลืมปัจจุบัน อย่าลืมปฏิบัติ"

แก้ไขล่าสุดโดย สายลม เมื่อ 02 มี.ค.2008, 10:06 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
อาทิตย์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 เม.ย.2005, 3:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีลูกชายเกลียดแม่มากมีอาการเหมือนคนไม่ปกติอายุมากแล้วไม่ยอมทำงานให้เป็นเรื่องราวจะแก้กรรมอย่างไร
 
จินตนา ช้างป่าดี
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ธ.ค.2005, 10:02 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมเราเชื่อเรื่องเวรกรรมว่ามีจริงและน่ากลัวเสมอเวลาจะทำสิ่งที่มีผลกระทบต่อผู้อื่น แต่บางครั้งก็คิดเหมือนกันนะว่าทำไมคนอื่นไม่คิดอย่างเราบ้างนะ
 
ภัทรภร
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2005, 9:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ชอบอ่านหนังสือกฏแห่งกรรมมากๆ และก็เชื่อว่ากรรมดีกรรมชั่วมีจริงจากการกระทำของตนเอง
 
โอม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 ก.พ.2006, 7:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ
 
n_pray
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 29 พ.ย. 2005
ตอบ: 1

ตอบตอบเมื่อ: 04 มี.ค.2006, 2:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตัวเองนับว่าเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสไปร่วมปฏิบัติธรรมกับแม่ชีท่านเมื่อตอนขึ้นไปอบรมที่กรุงเทพ ปีที่แล้ว เชื่อค่ะว่าเวรกรรมนั่นมีจริง เหตุการณ์ประหลาดหลายอย่างที่ตัวเองเจอในวันนั่น มันเป้นผลมาจากการกระทำกรรมของแต่ละคนกันทั้งนั่นค่ะ เพราะฉะนั้นเลยอยากจะบอกกับทุกคนในที่นี้ว่า "ในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ทำความดีวันละเล็กวันละน้อยสะสมกันไปเถอะค่ะเหมือนกันการออมเงิน แต่ในที่นี้ขอเรียกว่าออมบุญดีกว่า แล้วคุณจะพบกับความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเหมือนกับที่ตัวเองทำอยู่และประสบอยู่ค่ะ"
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
พุทธรักษา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 12 มี.ค.2006, 9:05 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โดยส่วนตัว มีความเชื่อกับเรื่องบุญ กรรม ไม่ได้คิดลบลู่ แต่สงสัยว่าทำไมแม่ชีสามารถมาบอกกรรมให้คนอื่นๆ ได้ อันนี้ไม่ได้แปลว่าผิดกิจของสงฆ์ หรือแม่ชีหรือค่ะ เพราะเข้าใจว่า พระ หรือแม่ชี ทีมีฌานพิเศษ ก็ไม่ต้องบอกใครว่ามี มีกิจคือสั่งสอน อบรม ตักเตือน เลยทำให้งงค่ะว่า สามารถบอกอดีตชาติได้ด้วยเหรอค่ะ ถามว่าดีมั๊ยก็ดีค่ะ แต่แค่สับสนกับเรื่องกิจของสงฆ์และแม่ชีค่ะ
 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2006, 6:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกอย่างที่มีการกระทำเป็นกรรมโดยเจตนาไม่ว่าดีหรือชั่ว เจตนาเป็นอย่างไรนั้น ผู้ที่กระทำย่อมทราบในเจตนาของตนเองเป็นอย่างดี การจะคาดเดาการกระทำของบุคคลอื่นว่าดีหรือชั่วย่อมเป็นการยาก อย่างไรก็ตามควรดูว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นกุศลหรือไม่เป็นกุศล

ถ้าสิ่งใดเป็นกุศลก็อนุโมทนาสาธุ ส่วนสิ่งใดเป็นอกุศลก็ควรแสดงให้เห็นว่าเป็นอกุศล แต่เนื่องจากเป็นเรื่องของเจตนา ก็เป็นเรื่องยากจะมองเห็น สิ่งใดที่ยังมองไม่เห็นก็ควรวางใจเป็นกลางไว้ อีกอย่างรื่องนี้เป็นเรื่องของสื่อที่เป็นผู้สัมภาษณ์และนำมาเขียนอีกต่อหนึ่ง ความคลาดเคลื่อนต่างๆ อาจมีอยู่ อย่างไรก็ตามเรื่องที่เป็นความเห็นนั้นควรลงความเห็นอย่างระมัดระวัง

จะเห็นถ้อยคำบางถ้อยคำนั้นอาจหมิ่นประมาทและมีความผิดตามกฎหมายได้ แม้ว่าจะไม่เป็นเรื่องทางกฎหมายก็ตาม
 
เขม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2006, 6:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่ควรหยั่งรู้ แบบ............แสวงหาลาภสักการะ ทรัพย์สินเงินทอง ด้วยสิ่งที่ตนเองนำมาอวดนั้น
แล้วการที่ตนเองบอกว่า หยั่งรุ้ในสิ่งที่เป็นความเชื่อของพุทธศาสนิกชนอยู่แล้วจึงง่ายต่อการชักจูง.....

สิ่งที่ตนเองอวดนั้น เป็นการอวดอุตตริ เป็นกรรมหนักที่สุด ตามวินัยสงฆ์ ถึงขึ้นปาราชิกทีเดียว

อวดว่า ...ระลึกอดีตชาติได้ ไม่ถามเพราะไกลเกินไป อยากถามว่า คุณชีจำได้ไหม เมื่อวานกินข้าวกับอะไร มีกับข้าวกี่อย่าง กินข้าวไปกี่คำ เอามื้อเช้าก็พอน่ะ 2 มื้อมากเกินไป

..คงเป็นเรืองอวด เพื่อให้ตนเป็นผู้วิเศษ อาศัยภาพแม่ชีหากิน นี่ถ้าออกไปนุ่งห่มอย่างชาวบ้าน คงไม่มีใครเข้าไกล้ คงเรียกยายเพี้ยนสะมากกว่า หยุดพฤติกรรมสะทีเถอะนะ ไม่มีใครหรอกทีจะระลึกได้ เพราะถูกภพชาติปิดบังไว้หมดแล้ว
 
- สายลม -
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2006, 6:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การอวดอุตตริ ที่ต้องปาราชิกนั้น คืออวดคุณวิเศษที่ไม่มีอยู่จริงภายในตัวเอง เพื่อหวังประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นลาภ สักการะ คำสรรเสริญ เป็นต้น เป็นเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ สิ่งที่นำมาอวดจนถึงขั้นเป็นปาราชิกนั้นคือตั้งแต่ระดับฌาน ขั้นที่หนึ่ง ที่เรียกว่าปฐมฌาน บุคคลที่ต้องปรับเป็นปาราชิกนั้นมีเพียงพระภิกษุ และพระภิกษุณี เท่านั้น คนธรรมดาไม่สามารถปรับโทษปาราชิกได้ เป็นเพียงบาปอกุศลธรรมดา


ส่วนตัวแล้วรู้สึกเฉยๆ กับแม่ชีท่านนี้ แม้ที่พักจะอยู่ใกล้ เดิน 5 นาทีก็ถึงวัดที่แม่ชีพักแล้ว

ที่เฉยๆ ไช่ว่าไม่เชื่อ ส่วนตัวแล้วเชื่อในเรื่องเล่านี้ เพราะเรื่องเหล่านี้มีสอนในพระพุทธศาสนา อย่างเรื่องกรรม กฎแห่งกรรม เป็นเรื่องที่มีสอนได้ชันเจนมากในทางพุทธศาสนา เราๆ มักจะได้ยินคำว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" สอนให้เชื่อการกระทำ และผลของการกระทำของตัวเอง ไม่พึงหวังให้ออนวอนสิ่งอื่น คนอื่น ให้มาช่วย หรือแก้ไขให้กระทำ และผลของกระทำของตัวเองดีขึ้น

เฉยๆ แล้วทำไมต้องนำเรื่องราวของแม่ชีมาบอกกล่าวกัน ?

ผมได้มองในแง่มุมหนึ่ง มุมหรือจุดของศีลธรรม กฎแห่งกรรมเป็นเรื่องที่สอนให้คนรู้จักการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นจุดเริ่มต้นให้คนสนใจพระพุทธศาสนา และพัฒนาไปสู่จุดอื่นที่สูงกว่า ไม่ว่าจะเป็นฝึกสมาธิ และวิปัสสนา นอกจากนี้คนที่เชื่อกฎแห่งกรรมแล้ว ก็จะมีทั้งศีลธรรม คุณธรรม ภายในคนๆ นั้นไม่ว่าจะเป็นความกตัญญู ความสามัคคี ความไม่เบียดเบียน ความสื่อสัตย์สุจริต ความชื่อตรง เป็นต้น


ในมุมมองของผม ที่ได้กล่าวแล้วในความคิดก่อนนี้ คือมองด้านการแนะนำสั่งสอนให้คนรู้ เข้าใจ และเชื่อกฎแห่งกรรม หรือกฎของการกระทำ ที่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งความเชื่อนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการทำความดีในระดับต้นๆ และสูงขึ้นไป

เด็กหรือจะเป็นผู้ใหญ่บางคน สมัยนี้ หางไกลจากหลักคำสอนทางศาสนา (ไม่ได้จำกัดว่าศาสนาใด เพราะทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี) ฉะนั้นการสอนให้เชื่อกฏแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องที่เหมาะสมมาก แต่การสอนโดยการพูดกล่าวอย่างเดียว ไม่มีข้อพิสูจน์นั้นเป็นเรื่องยากที่คนสมัยนี้จะเชื่อ เลยก็ต้องมีสิ่งพิสูจน์ให้เห็นกันว่าสิ่งที่สอนที่บอกนั้นเป็นจริงนะ แม้ว่าวิธีดังกล่าวจะดูเป็นการว่างมงาย อวดอุตริ แต่การกระทำเหล่านี้ต้องดูที่เจตนาเป็นหลัก ดังที่คุณโอ่กล่าวมาแล้วข้างต้น เราคนธรรมดาไม่สามารถล่วงรู้เจตนาของบุคคลอื่นได้ 100% คนธรรมดาสามารถล่วงรู้เจตนาของคนอื่นได้ก็ต้องเมื่อได้เข้าไปสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลนั้น แต่ยังไม่สามารถรับรู้ได้ 100% เพราะเราไม่ได้เป็นบุคคลวิเศษ และสิ่งที่รู้นั้นก็ยังอาจคลาดเคลื่อนได้ อุบายการชักนำให้คนทำความดีนั้นก็จะแตกต่างกันไป ตัวอย่างพระปัญญานันทะ พระพยอม ท่านจะใช้คำพูดที่เป็นโวหาร ชักนำให้คนทำความดี หลวงพ่อฤษีลิงดำ ใช้มโนยิทธิ หลวงพ่อจรัญ ในการระลึกชาติให้คนเชื่อกฎแห่งกรรม ดึงให้คนหันมาทำความดี แล้วก็ได้ผล อุบายเหล่านี้เป็นไปเพื่อเจตนาที่บริสุทธิ์เพื่อให้คนหันมาสนใจทำความดีกัน เพื่อตัวเอง เพื่อคนรอบข้าง เพื่อสังคม แต่สำหรับผู้ที่มีภูมิปัญญาเหนือว่าเขาก็จะมองข้ามจุดนี้ไป หันไปสนใจและปฏิบัติธรรมในส่วนที่สูงกว่า แต่สำหรับผู้เริ่มต้นและภูมิสติปัญญาในระดับนี้ก็ยึดเหล่าสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจ ดีกว่าไม่เครื่องยึดเหนี่ยวใจซึ่งกลับจะทำให้เกิดผลเสียต่อตัวเอง คนรอบข้าง และสังคม สังคมเต็มไปด้วยคนที่ขาดศีลธรรม คุณธรรม ลองนึกภาพดูว่าบ้านเรา ชุมชนเรา เมืองเรา ประเทศเรา โลกจะน่าอยู่เพียงใด

ยิ้ม
 
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2006, 6:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เห็นด้วยกับคุณโอ่ครับ เราชาวพุทธควรจะหนักแน่นพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ด้วยปัญญาตามหลักกาลามสูตร พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าวคำหยาบต่อพระเทวทัตแม่แต่น้อย

สิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง จะเชื่อหรือไม่ ก็อาจเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ ผมเองก็ไม่ทราบเพราะยังไม่บรรลุอะไรสักอย่าง นั่งสมาธิได้ไม่นานก็ปวดเมื่อยง่วงนอน จะพิจารณาสติเวลายืน เดิน นั่ง นอน ก็ได้ไม่นานเท่าไร จิตวิ่งหนีไปทุกที แต่ก็ยังพยายามอยู่เวลานึกได้ แต่ผมเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ใครทำดีก็ดี ทำไม่ดีก็ไม่ดี ความสุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่จิตใจเราเองทั้งนั้น ขอสรรพสัตว์ในโลกนี้และโลกอื่น ๆ จงมีแต่ความสุขกายสุขใจพ้นทุกข์ภัยทั้งสิ้น ในเร็ววัน
 
ธรรมิกะ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2006, 6:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าเป็นพระเป็นปาราชิกข้อ 4 ว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม นี่เป็นผู้มีศีล ดังว่า คงไกล้ๆ อนันตริยกรรม
 
กิ่ง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2006, 6:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สิ่งเหล่านี้แม้ศาสนาสอนไว้ ก็จริง แต่ไม่ใช่เอามาทำอะไรโดยมุ่งถึงผลประโยขน์ ทอดผ้าป่า 8,4000 กองๆ ละ 1000

...ไปออกอากาศ มุ่งทำตลาด เจตนาต้องการให้คนเชื่อ ตื่นเต้น (คนไทยแค่ต้นกล้วยออกปลีกลางต้นก็ไหว้แล้ว ) แล้วแห่กันมาก..กราบไหว้ตน ถ้าระลึกได้ไรได้จริง (สมมุติว่าได้จริง)
 
เมธี พุทโธ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2006, 6:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ ว่ากรรมใดใครก่อไว้อย่างไรก็จักได้ผลตอบแทนอย่างนั้น เพราะฉะนั้นใครทำไรก็รู้แก่ใจ การจะไปว่าใครไม่ดี คนนั้นไม่ดี เราต้องมองตัวเอง อย่าไปว่าคนนั้นคนนี้เลย แม่ชีจะรู้จริง หรือไม่ก็ตาม ท่านก็สามารถชักจูงให้คนมาปฏิบัติธรรมได้ก็แล้วกัน นั่นก็นับว่าเป็นกุศลแล้วครับ คนที่ว่าท่านก็เป็นกรรม เหมือนกันนะครับ
 
chawan
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2006, 6:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนที่ไปนิพพานได้มี 2 แบบ คือคนที่ไม่อยากรู้อะไรเลย กับ คนที่อยากจะรู้ พวกที่ไม่อยากรู้ก็ต้องทำสมาธิได้ ฌาณ 1 หรือ ฌาน 2 หรือ ฌาน 3 (ต้องอ่านคู่มือ ปฎิบัติกรรมฐานของศิษย์หลวงพ่อปาน) คือจิตรต้องมีกำลังจิงจะสามารถตัดกิเลสได้เด็ดขาด ไม่ใช่เห็นศพหญิงสาวสวยงามขึ้นอืดผ้าผ่อนหลุดลุ่ยอยู่ในป่าช้าแล้ว อ้าวเรายังมีความกำหนัดอยู่ (พวกวิปัสนึก) พวกที่อยากรู้พวกนี้จะต้องเข้าสมาธิให้ได้ถึงฌาน 4 แล้วถอยมาฌาน 3 ฌาณ 3 อธิษฐานเป็นคำพูดได้ ฌาณ 4 คงดับพวกคำพูดไป คนเขียนก็อ่านมานะ ยังปฏิบัติไม่ได้ ถ้าดูแม่ชีแล้วท่านทำดีไหม ท่านทำดี เกี่ยวอะไรกับเราไหม เกี่ยวกับเราก็ได้ไม่เกี่ยวกับเราก็ได้ ท่านอยากได้หรือไม่ ถ้าอยากก็มีกิเลส ถ้าไม่อยากก็ตัดกิเลสได้ คนที่มาขอทานเราเราไม่ให้ บาปหรือไม่ ตอบได้เลย ไม่บาป เสมอตัว แต่ถ้าให้ ได้บุญ สรุปคือ พูดว่าท่านไปก็เท่านั้น ตัวเองปฎิบัติสมาธิได้หรือยัง
 
แมวขาวมณี
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307

ตอบตอบเมื่อ: 04 ส.ค. 2006, 1:03 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กิเลส ตัณหา สังสารวัฏฏ์ เหมือนทะเลอันกว้างใหญ่

ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย กำลังพายเรือ ข้ามสังสารวัฏฏ์นี้ไป

แม่ชีกำลังพายเรือ พาตนเอง และผู้อื่น ๆ ข้ามไป

แล้วเรา กำลังพายอยู่ ? หรือ กำ ลัง คิด จะพาย ? หรือนั่งเฉย ๆ ?

หรือ เอา เท้า รา น้ำ เล่นอยู่ หล่ะ ?

ตกใจ ตกใจ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
นิตินัย อุดมกัน
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 31 ธ.ค. 2006
ตอบ: 2
ที่อยู่ (จังหวัด): หนองคาย

ตอบตอบเมื่อ: 31 ธ.ค.2006, 10:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ด้วยความเคารพนะครับผม
ตามความคิดของผมถ้ามองได้ 2 แบบ

1. ข้อดี ก็คือว่าบุคคลเหล่านั้นรู้ว่าทำชั่วในอดีตแล้วได้รับกรรมแบบนี้แล้วจะได้ไม่ทำชั่วอีก ถ้าบุคคลเหล่านั้นนำไปพิจาณาต่อนะ

2. ข้อเสีย ถ้าคนเหล่านั้นคิดว่าทำชั่วแล้วแก้ได้ เกิดเขาทำชั่วแล้วมาแก้กรรมไปเรื่อยๆๆดังนั้นหลักธรรมที่องค์พระบรมศาสดาเจ้าที่ว่า กรรมสกา กรรมทายา กรรมโยนิ กรรมพันธุ กรรมปฎิสารนา ก็ใช้ไม่ได้แล่วสิ มันก็ขัดครับผมหลักที่ปฏิบัติมา

แม้พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านหลุดพ้นแล้วท่านย่อม มีความเมตตา ต่อ สรรพศัตว์ท่านยังไม่บอกว่าคนนั้นมีกรรม อย่างนั้น มีกรรมอย่างนี้ ต้องแก้อย่างนี้ มันแก้ไทม่ได้แต่ชลอ ได้ ถ้าแก้ได้ก็ดีสิ

ถูกไหม กรรมที่เกิดจากการกระทำไม่ว่าอกุศล หรือ กุศล เปรียบเหมือนเงาตามตัวเราครับผม ขอทุกท่านเจริญในอรรถและธรรมตามแต่ภูมิจิต ภูมิธรรมเถิดหนา
 

_________________
ง่ายๆๆที่ไม่ยุ่งยาก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ภาคย์ธนา บริสโทว (ภาคย์)
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 10:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอนำประวัติแม่ชีไปทำรายงานหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ
 
v
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 22 มี.ค.2007, 4:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ ระยะเวลาที่ปฏิบัติ เพียงแค่ 1 คืน สองวัน ไม่มากไม่น้อยเกินไป ถ้ามีโอกาสอยากไปปฏิบัติธรรมบ้าง
 
อภิรดี ถาวร
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 28 มี.ค. 2007
ตอบ: 4

ตอบตอบเมื่อ: 28 มี.ค.2007, 6:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ได้อ่านที่แม่ชีพูดแล้วทำให้ข้าพเจ้ามีจิตใจสงบลงมากเลยคะ ในชีวิตของข้าพเจ้าตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่ก็แยกทางกัน ต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนนั้นที คนนี้ที (ญาติ) ซึ่งบุคคลที่ข้าพเจ้าอยากอยู่ด้วยมากที่สุดคือพ่อและแม่ แต่เมื่อเขาแยกทางกันเราก็เข้าใจเพื่อไม่อยากให้แม่ต้องทุกข์แยนดีกับแม่เมื่อมีพ่อใหม่ซึ่งเป็นคนดีในตอนแรกๆ ข้าพเจ้าก็รับไม่ได้เพราะคิดว่าเขาจะมาแย่งความรักไปจากเราอีก แต่ในตอนนี้ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วเพราะเราเห็นแม่มีความสุขเราก็มีความสุขด้วยและยินดีกับพ่อใหม่ที่ช่วยดูแลแม่ในตอนนี้แม่ของข้าพเจ้าอยู่ต่างประเทศในตัวข้าพเจ้าเองเวลาทุกข์ก็ไม่รู้จะปรึกษาใครเพราะอยู่คนเดียวตั้งแต่เด็กไม่มีคนสนิทต้องคิดและตัดสินใจคนเดียวอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไรในแต่ละครั้งแต่ยังดีที่ข้าพเจ้าเลือกที่จะเป็นคนดีขอเลือกอนาคตให้กับตัวเอง แต่ก็มีบางครั้งที่ข้าพเจ้าไขว่เขวตามเพื่อนข้าพเจ้า คงทำกรรมไว้เยอะก็ได้ แต่ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลาที่วัดเพื่อจะปลดปล่อยความทุกข์นี้ได้บ้าง

ตัวข้าพเจ้าเองก็ได้นำหลักธรรมมาช่วยได้บ้างในบางครั้งเพราะข้าพเจ้ามีความสับสนในชีวิตอยู่บ่อยๆ จิตใจไม่ค่อยสงบแต่เมื่อได้อ่านสิ่งที่แม่ชีได้บอกในหนังสือข้าพเจ้าก็มีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้งข้าพเจ้าอยากทราบว่าข้าพเจ้าเคยทำกรรมอะไรไว้บ้างจะแก้กรรมนี้ได้อย่างไรดีคะเคยไปที่วัดแล้วแต่แม่ชีไม่สบายเลยไม่ได้เข้าไปพบท่านเพราะบ้านของข้าพเจ้าอยู่เชียงใหม่คะ

ขอบคุณคะ
 

_________________
ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่ายถ้าไม่พยายาม
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง