Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 “พระเหลือ” อีกหนึ่งความน่าสนใจ ณ วัดใหญ่ เมืองสองแคว อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เว็บมาสเตอร์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 มี.ค. 2005
ตอบ: 993

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ย. 2007, 5:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

“พระเหลือ” อีกหนึ่งความน่าสนใจ ณ วัดใหญ่ เมืองสองแคว

หากพูดถึงเมืองสองแคว จังหวัดพิษณุโลกแล้ว สิ่งหนึ่งที่พุทธศาสนิกชนหลายๆ คนมักจะนึกถึง รวมทั้งยังถือเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองสองแควนี้ก็คือ พระพุทธชินราช พระพุทธรูปสำคัญที่ประดิษฐาน ณ พระวิหารใหญ่ (พระวิหารหลวง) ด้านทิศตะวันตก วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร หรือวัดใหญ่ นั่นเอง

พระพุทธชินราช ถือเป็นพระพุทธรูปที่ได้รับยกย่องว่ามีพุทธลักษณะงดงามที่สุดในประเทศไทย พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นในสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือพญาลิไทย กษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วงสมัยสุโขทัย หรือเมื่อประมาณปี พ.ศ.1900 ในครั้งนั้นได้มีพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในคราวเดียวกันอีก 2 องค์ คือ พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา (พระศาสดา) ซึ่งอีกสององค์นั้น ขณะนี้ได้ประดิษฐานอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร กรุงเทพฯ ส่วนที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร แห่งนี้เป็นองค์จำลอง

ตำนานการสร้างพระพุทธชินราชนี้ก็น่าสนใจมากทีเดียว เพราะเมื่อได้กระทำพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปทั้งสามองค์แล้ว ปรากฏว่า พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดามีน้ำทองแล่นติดตลอดเสมอกันทั้งองค์ แต่พระพุทธชินราชนั้นทองแล่นไม่ติดเต็มพระองค์ จึงได้มีการหล่อขึ้นใหม่อีกถึงสามครั้งสามครา แต่ก็ยังคงเททองไม่สำเร็จอยู่นั่นเอง จนในครั้งหลังสุดนั้น ได้มีตาปะขาวคนหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดทราบชื่อและที่มา เข้ามาช่วยปั้นหุ่นและเททองทั้งกลางวันกลางคืนจนเสร็จลง คราวนี้น้ำทองที่เทหล่อก็แล่นเต็มตลอดทั่วทั้งองค์ และเมื่อแกะพิมพ์ออกมาก็พบว่าองค์พระนั้นงดงามสมบูรณ์ไม่มีที่ติ ราวกับเทวดามาช่วยสร้าง ส่วนตาปะขาวที่มาช่วยเททองนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หลายคนเชื่อกันว่าตาปะขาวคนนั้นน่าจะเป็นเทพยดาที่แปลงกายมาเพื่อช่วยหล่อพระพุทธชินราชขึ้น ทำให้ชาวบ้านร่ำลือกันไปต่างๆ นานา จนความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธชินราชมีมากขึ้น

แต่นอกจากพระพุทธรูปทั้งสามองค์ที่กล่าวมานี้แล้ว หากใครที่เคยไปยังวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร มาก่อน คงจะสังเกตเห็นว่า ด้านหน้าพระวิหารใหญ่พระพุทธชินราชนั้น จะมีพระวิหารหลังเล็กๆ อีกหลังหนึ่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ต้นใหญ่ พระวิหารที่ว่านั้นมีขนาดเล็กจริงๆ ขนาดที่ว่าบางคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นศาลพระภูมิได้ แต่ที่แท้จริงแล้ว พระวิหารหลังน้อยนั้นเป็นพระวิหารของ “พระเหลือ” นามว่า “พระวิหารพระเหลือ” นั่นเอง

Image
“พระเหลือ” และพระสาวกอีกสององค์ยืนอยู่ด้านข้าง


เหตุที่พระพุทธรูปในพระวิหารน้อยได้ชื่อว่า พระเหลือ ก็เนื่องมาจากว่าเมื่อครั้งที่หล่อพระพุทธรูปสำคัญทั้งสามองค์อันได้แก่ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา แล้ว ก็ยังคงมีเศษทองสัมฤทธิ์หลงเหลืออยู่ พระยาลิไทจึงมีรับสั่งให้ช่างนำเศษทองนั้นมาหล่อเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้างเพียง 1 ศอกเศษ และเรียกท่านว่า “พระเหลือ” หรือ “หลวงพ่อเหลือ” ถึงกระนั้นเศษทองก็ยังเหลืออยู่อีก จึงได้หล่อพระสาวกขึ้นมาอีกสององค์ยืนอยู่ด้านข้างของพระเหลือ

ส่วนอิฐที่ใช้ก่อเตาสำหรับหลอมทองที่หล่อพระพุทธรูปนั้น ได้นำมารวมกันแล้วก่อเป็นฐานชุกชีสูง 3 ศอกตรงตำแหน่งที่หล่อพระพุทธชินราช พร้อมกับปลูกต้นมหาโพธิ์ 3 ต้นลงบนชุกชีนั้น แสดงว่าเป็นมหาโพธิ์สถานของพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดาทั้งสามองค์ จึงเรียกว่า ต้นโพธิ์สามเส้า และได้สร้างพระวิหารเล็กๆ ขึ้นมาระหว่างต้นมหาโพธิ์นั้น เพื่อเป็นที่ประดิษฐานของพระเหลือและพระสาวก จึงเรียกชื่อว่า “พระวิหารพระเหลือ” หรือ “พระวิหารหลวงพ่อเหลือ” กันต่อมา

เมื่อพูดถึงเรื่องชื่อ จริงๆ แล้วพระเหลือเองก็มีชื่ออย่างเป็นทางการฟังดูไพเราะว่า “พระเสสันตปฏิมากร” ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานตั้งชื่อให้ แต่ชาวบ้านก็ยังนิยมเรียกองค์พระว่าพระเหลืออยู่เช่นเดิม แต่ก็ด้วยชื่อขององค์พระนั่นเองที่ทำให้ผู้คนมักนิยมไปบูชาสักการะขอพรจากท่าน ด้วยเชื่อว่าจะทำให้มีเงินมีทองเหลือใช้เหมือนอย่างชื่อของท่านบ้าง


สำหรับผู้ที่ไปเที่ยวชมวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร นอกจากจะได้มานมัสการพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา และพระเหลือแล้ว ก็อย่าลืมไปชมพระวิหารพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางแปลกๆ ที่ไม่มีที่ไหนเหมือน รวมทั้ง พระอัฏฐารส (พระยืน) พระพุทธรูปสูง 18 ศอก ที่อยู่บริเวณเนินพระวิหารเก้าห้อง ก็ล้วนแล้วแต่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ท่านใดที่ต้องการจะมาชมรวมทั้งนมัสการพระพุทธรูปเหล่านี้ก็สามารถไปสัมผัสในความงามได้ที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร แห่งเมืองสองแคว จ.พิษณุโลก

Image
“พระวิหารพระเหลือ” หรือ “พระวิหารหลวงพ่อเหลือ”


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร หรือวัดใหญ่ อันเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธชินราชและพระเหลือ รวมถึงพระพุทธรูปน่าสนใจอีกมาก เปิดตั้งแต่เวลา 06.30-18.00 น. ตั้งอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำน่าน ริมถนนพุทธบูชา ต.ในเมือง อ.เมือง ตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก ท่านใดที่สนใจรายละเอียดเกี่ยวกับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร หรือวัดใหญ่, หลวงพ่อใหญ่ และพระพุทธรูปอื่นๆ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดพิษณุโลก สามารถสอบถามได้ที่ ททท. ภาคเหนือ เขต 3 โทรศัพท์ 0-5525-2742-3, 0-5525-9414

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 22 เมษายน 2548 06:17 น.

พระเหลือ หรือ “หลวงพ่อเหลือ” หรือ “พระเสสันตปฏิมากร”
พระประธานในพระวิหารพระเหลือ หรือพระวิหารหลวงพ่อเหลือ
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร อ.เมือง จ.พิษณุโลก

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19715

เทียน พระพุทธชินราช พระประธานในพระวิหารใหญ่
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร อ.เมือง จ.พิษณุโลก

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19299

~ พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=24657
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง