Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
เนื้อคู่....ขึ้นอยู่กับวาสนา อันนี้จริงไหมคะ
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
momo
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 15 ม.ค. 2005
ตอบ: 15
ตอบเมื่อ: 15 ม.ค. 2005, 9:06 pm
สงสัยว่าทำไมบางคนมีเนื้อคู่ บางคนยังไม่เจอ บางคนยังไม่มี บางคนแต่งงานกันไปแล้วก็มีความสุข แต่บางคนกลับเลิกรา
ถ้าจะอธิบายด้วยเหตุผลด้วยเรื่องของกรรมนี่อธิบายได้อย่างไรคะ
เคยแต่ได้ยินมาว่า คนเรา ถ้าเป็นคู่กันแล้ว ก็ไม่แคล้วกัน.....อย่างนี้ถูกต้องไหมคะ
_________________
สมาชิกใหม่ สนใจธรรมะ
โอ่
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 15 ม.ค. 2005, 9:47 pm
เรื่องนี้เป็นเรื่องแน่นอน ไม่มีความบังเอิญในการได้คู่ ทั้งที่ดีและไม่ดีเป็นผลของกรรม แต่เราก็เลือกตามแบบของเรานั่นแหละ ไม่มีทางหนีสภาพของกรรมได้พ้น นอกจากหนีออกจากโลกให้พ้น
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 16 ม.ค. 2005, 11:05 am
ตรงข้อถามที่ว่า ทำไมมีเนื้อคู่ บางคนถึงยังไม่เจอ และบางคนยังไม่มี ตามที่พระพุทธองค์ตรัสว่าไว้ "คนเราที่ได้อยู่ร่วมกันนั้น ขึ้นบุญกรรมที่ทำร่วมกันในอดีต และความคุ้นเคยในปัจจุบันครับ"
นั่นคือ ต้องประกอบกันด้วยทั้งอดีต ปัจจุบัน สำหรับความคุ้นเคยในปัจจุบันคงไม่ต้องพูดถึง เพราะรู้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องของบุญกรรมในอดีตนั้น ตามความคิดเห็นของผมเห็นว่า
ทำไมมีเนื้อคู่ นั่นก็มาจากหลายสาเหตุ เช่น
1. ทำบุญหรือบาปนั้นๆ ร่วมกันมามากพอสมควร
2. เคยเป็นเพื่อน ญาติ หรือสามีภรรยากันในอดีตมาหลายชาติ เช่นพระมหากัสสัปปะกับภรรยา เป็นสามีภรรยาต่อเนื่องกันมาถึงแสนชาติ
3. ชอบอธิษฐานจิตว่าขอให้ได้ครองรักกันทุกชาติ เช่น พระนางมัลลิกากับอดีตสามี เป็นปัจจุบันสามีกลายเป็นแพะ จึงไปเสพกามกับแพะอดีตสามี
นี่เป็นตัวอย่างนะครับ
ทำไมไม่มีเนื้อคู่ หรือ ไม่เจอ ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงอธิษฐานเช่นเดียวกัน คือ
ชาติก่อนๆ พบสามีเจ้าชู้มาก เข็ดแล้วก็การครองเรือนจึงอธิษฐาน ขออย่ามีคู่ครองอีกเลยตลอดไป อย่างนี้ก็มี ฯลฯ
ทำไมแต่งงานไปแล้วมีความสุข เพราะหลายสาเหตุอีกเหมือนกัน
1. ชาติในอดีตเมื่อมาอยู่ร่วมกันมักสร้างบุญร่วมกันมามาก
2. นำคุณธรรมการอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา ไปใช้ในชีวิตปัจจุบัน ท่านเปรียบเหมือนอยู่กันแบบเทพบุตร กับเทพธิดา
ทำไมแต่งงานไปแล้วไม่มีความสุข ก็อีกหลายสาเหตุ
1. ไม่นำคุณธรรมการอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยามาใช้ในชีวิตประจำวัน ท่านเปรียบเหมือนอยู่กันแบบ เทพบุตรกับยักษี หรือ เทพนารีกับยักษา หรือ ยักษีกับยักษาเลย
2. เพราะฝ่ายหญิง ในอดีตเคยเป็นผู้ชายที่เจ้าชู้ และทำให้ภรรยาในอดีตช้ำใจมามาก จึงต้องมาเกิดหญิงที่ต้องมาเจอสามีแบบนี้บ้างเหมือนกัน ตามกฎแห่งกรรมน่ะครับ ทำอย่างไรไว้ ก็ต้องได้อย่างนั้น
amai
บัวบาน
เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435
ตอบเมื่อ: 16 ม.ค. 2005, 11:12 am
ตอบค่ะ คุณโมโม่ จริงค่ะ การที่คนเรามาพบเจอกันไม่ว่า
จะอยู่ในสถานะใด เป็น เพื่อน เป็นคู่รัก เป็นเจ้านาย เป็นลูกน้อง เป็นคนรู้จัก ต้องเคยทำกรรมร่วมกันมาก่อน ทั้งทางด้านดี และไม่ดี หากเคยก่อกรรมดีร่วมกันมา เมื่อมาเจอกัน ก็มีแต่ด้านบวก หากเคยทำกรรมไม่ดีต่อกันมาเจอกันอาจดึงเรื่องยุ่งๆไม่ดีไม่ดี เข้ามาให้ปวดหัว
เหมือนอย่าง มีเพื่อนในกลุ่มย้าย รร.
แต่เคยเป็นเพื่อนสนิทกัน คือก่อกรรมดีร่วมกันมา
พอมาเจอกันอีก ก็สนิทกันเหมือนเดิมอย่างนั้นอ่ะค่ะ
แต่อย่างภพชาติ ก็คล้ายๆกันอย่างนั้นหล่ะค่ะ
หัดฝัน
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 16 ม.ค. 2005, 11:05 pm
ก็ขอนำเรื่องราวในอดีตกาลมาแสดงสักเรื่องน่ะครับ เรื่องนี้เป็นอดีตชาติของพระพุทธเจ้าของเราเอง ในอดีตพระองค์สร้างบารมีมาแล้ว 16 อสงไขยกัป ชาตินั้นพระองค์ได้เกิดเป็นสุเมธดาบส ได้รับการพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้าว่า อีก 4 อสงไขย กับเศษอีกแสนมหากัป ท่านจะได้เป็น พระพุทธเจ้านามว่า โคดม (การนับเวลา อสงไขยกัป หรือนับเวลาแต่ละกัป นี่นางอินทิรา คานธีเคยถามพ่อว่าเขานับกันได้อย่างไร ซึ่งพ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน มีแต่ผู้ที่เข้าถึงปัญญาภายในเท่านั้นล่ะครับ จึงจะนับได้ เช่นที่พระพุทธเจ้าเคยบอกว่าปัญญาของพระสารีบุตรนั้น สามารถนับเม็ดฝนที่ตกทั่วทั้งจักรวาลได้อย่างง่ายดาย ปัญญาอย่างนั้นแหละครับจึงนับเวลาเป็นกัปๆ ได้)
ในตอนนั้นเอง นางพิมพา ได้เกิดเป็นหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง จึงสร้างบุญแล้วอธิษฐานขอเกิดเป็นภรรยาสุเมธดาบสไปทุกชาติ สุเมธดาบสต้องห้ามว่า อย่าอธิษฐานแบบนี้เลย แต่พระทีปังกรพุทธเจ้าบอกว่า ให้นางอธิษฐานเถิด ทั้งนี้เพราะชาติสุดท้ายก่อนเป็นพระพุทธเจ้า ท่านจะได้นางนี่แหละ ทำความปรารถนาให้สำเร็จ ด้วยการบริจาคบุตรภรรยา เป็นทาน หนึ่งในสุดยอดของการบริจาค
และแล้วหลังจากนั้น เมื่อใดที่ทั้งคู่มาเกิดร่วมกัน ก็เป็นไปดังอธิษฐานจนถึงภพชาติสุดท้ายเลยครับ
TU
บัวทอง
เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589
ตอบเมื่อ: 17 ม.ค. 2005, 1:02 pm
ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ ความคิดเห็นนะค่ะ
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมของตนเอง (ทั้งกรรมในอดีตและปัจจุบัน)
แต่อย่างไรก้อตาม
กรรมในปัจจุบัน
ถือว่ามีความสำคัญมากที่สุด
การเป็นเนื้อคู่กันไม่ได้หมายความว่า.... จะสามารถมีชีวิตคู่ที่ยืนยาว
และมีความสุขในทุกๆ กรณี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือว่า เมื่อมาใช้ชีวิตคู่ร่วม
กันแล้ว (เหตุจากกรรมในอดีต) เราต้องมาสร้าง
กรรมในปัจจุบันที่ดี
ต่อกัน ถึงจะสามารถทำให้มีชีวิตคู่ที่ยืนยาวและมีความสุข (ถ้าหากไม่มี
อกุศลวิบากที่ร้ายแรงมาตัดรอนเสียก่อน)
ขอให้อ่านเรื่องข้างล่างนี้เป็นข้อให้สติเตือนใจนะค่ะ
เรื่องที่ ๔ ..... พันธนาการชายหญิง
(๑.) หญิงชายที่แต่งงานแต่งการ อยู่กินกันด้วยฤกษ์สมรสที่ดี โหราจารย์คิดคำนวณวางดวงฤกษ์ และร่วมทำพิธีอย่างถูกต้องจะเริ่มชีวิตคู่ด้วยความหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะรุ่งเรืองก้าวหน้าไปด้วยดี ครั้นไม่สมหวัง ประสบอุปสรรคบ่อยๆ ก็ท้อถอย เกิดความเบื่อหน่ายชีวิตคู่
ฤกษ์สมรสที่ดี จะผูกมัดชายหญิงคู่นั้นไว้ได้นาน ๖-๘ เดือน
(๒.) หญิงชายมีความสำราญในการร่วมประเวณีกัน ติดใจในรสกามารมณ์
กามารมณ์ จะมีอำนาจผูกมัดชายหญิงคู่นั้นไว้ได้นาน ๒-๓ ปี
(๓.) หญิงชายที่ได้รับการสนับสนุนจากญาติผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เห็นดีเห็นชอบให้ความร่วมมือ จัดตกแต่งอยู่กินด้วยกันแต่หาความภักดีกันได้ยาก เมื่อไปพบหญิงอื่นชายอื่นที่เข้าใจกัน ปรนเปรอความสุข พูดคุยกันด้วยถ้อยคำอ่อนหวานก็จะโน้มเอียงไปในรูปเผลอใจ
ผู้ใหญ่ จะผูกมัดชายหญิงคู่นั้นไว้ได้นาน ๒-๓ ปี
(๔.) หญิงชายมีความรักต่อกัน รู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน เงียบเหงาว้าเหว่ คนึงหาเมื่อต้องพรากจากกัน
ความรัก จะผูกพันชายหญิงคู่นั้นไว้ได้นาน ๓-๔ ปี
(๕.) หญิงชาย ถูกหมอไสยศาสตร์ ใช้วิชาอาคม อาถรรพณ์เวทย์ ผูกมัดให้ต้องอยู่ร่วมกัน หญิงชายคู่นั้น จะอยู่ด้วยกันแบบครึ่งxxxง ครึ่งเหตุผล เป็นลักษณะภาวะจำยอม อยู่ด้วยกันไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นเอง คิดถึงกันเสมอ คิดถึงอย่างรุนแรงไม่อยากพรากกัน แม้จะเป็นจากกันชั่วคราว เพื่ออนาคตอันรุ่งโรจน์ก็ตาม
อำนาจของอาถรรพณ์ จะผูกมัดชายหญิงคู่นั้นไว้ได้นาน ๓-๔ ปี
(๖.) หญิงชายมีรสนิยมตรงกัน ชอบพออาหารอย่างเดียวกัน ชอบที่หลับที่นอน ที่อยู่กินอย่างเดียวกัน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสีฉูดฉาด สีเรียบร้อย หรือสีเข้มขรึม ก็ชอบคล้ายคลึงกัน
รสนิยม จะผูกมัดชายหญิงคู่นั้นไว้ได้นาน ๕-๖ ปี
(๗.) หญิงหรือชายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นลูกหนี้เงินทอง ลูกหนี้น้ำใจ ลูกหนี้บุญคุณ จึงยินยอมแต่งงานเป็นผัวเมียกัน หญิงชายคู่นั้น จะอยู่กินกันแบบกระทำตามหน้าที่ หน้าที่การงาน ความเรียบร้อยในบ้านไม่บกพร่อง ชีวิตสะดวกสบาย แต่จืดชืด ไม่มีการหยอกล้อยั่วยวนกัน ไม่มีการเสียใจเมื่อต้องจากกัน ไม่มีการดีใจ ลิงโลดใจ เมื่อคนใดคนหนึ่งประสบความสำเร็จในบางสิ่งบางอย่าง
ความเป็นลูกหนี้ จะผูกมัดชายหญิงนั้นไว้นานกำหนดไม่ได้แน่นอน อาจจะประมาณ ๗-๙ ปี อาจจะแยกจากกัน เพราะฝ่ายหนึ่งบวช หรือต้องติดตามไปอยู่ดูแลบ้านให้ลูกหลานคนใดคนหนึ่ง
(๘.) หญิงชายเคยเป็นคนบาดหมาง ทะเลาะวิวาทกันมาแต่ชาติปางก่อน ตั้งความปรารถนาที่ลบล้างกัน หาโอกาสแก้แค้นกัน แต่หาโอกาสได้ยาก ต้องตายจากกันเสียก่อน เกิดมาชาตินี้เป็นคู่ผัวตัวเมียกัน ทำลายกัน ล้างผลาญกันไม่หยุดหย่อนก็แยกจากกันไม่ได้
แรงพยาบาทหรือเวร จะผูกมัดชายหญิงคู่นั้นไว้นาน ๘-๑๐ ปี
(๙.) หญิงชายเคยเป็นสามีภรรยา เคยเป็นญาติพี่น้องกันมาแต่ชาติปางก่อน พบกันชาตินี้ เห็นกันก็รักใคร่สนิทสนมกัน ทำอะไรผิดหูผิดตาก็ให้อภัยกัน ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของกัน จะทำงานอะไรก็ปรึกษาหารือกัน ขอความเห็น ขออนุญาต
บุพเพสันนิวาส จะผูกมัดชายหญิงคู่นั้นไว้นาน ๑๐-๑๒ ปี
ที่มา : หนังสือชำแหละกฎแห่งกรรม โดย ร.ต. เจ้าประเวศ ณ เชียงใหม่
http://www.dhammajak.net/webboard/show.php?Category=d_book&No=817
momo
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 15 ม.ค. 2005
ตอบ: 15
ตอบเมื่อ: 17 ม.ค. 2005, 10:23 pm
ขอบคุณทุกความคิดเห็นค่ะ.....เข้าใจขึ้นมาเยอะเลยค่ะ
วันวิน
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 26 ม.ค. 2005, 1:36 pm
กรรมเก่ามีผลต่อชีวิตปัจจุบัน แต่ก็มีกรรมใหม่ คือการกระทำใหม่ๆของคุณด้วย สมมุติว่ากรรมเก่าดลบันดาลให้คุณเจอเนื้อคู่ที่เคยรักกันมาก และคุณก็ได้เป็นแฟนเขาอีก
แต่พอชาตินี้ คุณกลับมีกิเลสกับหนุ่มคนใหม่ (สมมุติ) หรือคุณเกิดเบื่อแฟนคุณ หรือรังเกียจอะไรบางอย่างของแฟนคุณ ในทีสุดคุณกับแฟนก็ต้องเลิกรากันเป็นต้นฯ
เพราะฉะนั้น กรรมนั้น มีทั้งกรรมเก่าและใหม่ ครับ.
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th