Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อยากทราบวิธีการที่จะเปลี่ยนความโกรธให้เป็นอารมณ์อื่นโดยฉับพล อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ผู้ใฝ่ธรรม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 มี.ค.2005, 12:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การที่คนเรามีความโกรธหรือมีอารมณ์หงุดหงิดย่อมเป็นเรื่องธรรมดาเวลาพบกับสิ่งที่ขัดกับความต้องการของเรา แต่ผมเคยได้ยินมาว่าความโกรธสามารถเอาชนะได้ด้วยการมีสติรู้ตัวว่าเรากำลังโกรธ อย่างเช่นเมื่อเช้านี้ ผมจะฟังเทป แต่วิทยุเกิดขัดข้อง ทำให้เทปเกิดไปติดอยู่ในวิทยุ ไม่สามารถดึงออกมาจากวิทยุได้ ทำให้ผมเกิดอาการหงุดหงิดขึ้น ความหงุดหงิดนี้ผมทราบดีว่าเป็นเรื่องธรรมดาของความอยากจะฟังเทปแต่ไม่สามารถฟังได้ตามที่ใจอยาก ผมก็รู้ตัวว่าผมหงุดหงิด พยายามบอกตัวเองอยู่เสมอว่าเรากำลังหงุดหงิด และพยายามสั่งจิตตัวเองว่า อย่าหงุดหงิดนะ อย่าหงุดหงิดนะ อย่าหงุดหงิดนะ แต่มันก็ไม่หายหงุดหงิดเสียที กว่าจะหายหงุดหงิดได้ก็ประมาณ 5 นาทีต่อมา แต่ระยะเวลา 5 นาทีที่หงุดหงิดอยู่นี้ จิตใจผมก็ไม่เป็นสุขแล้ว ช่วยหาวิธีการที่สามารถดับอารมณ์โกรธ หงุดหงิดหรืออารมณ์ไม่ดีต่างๆให้มลายให้ไปโดยฉับพลัน ไม่ใช่ 1 นาที 2 นาที หรือ 5 นาที ขอโดยฉับพลัน มิทราบพอมีวิธีไหมครับ

 
รักแม่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 มี.ค.2005, 2:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอแจมด้วยครับ ผมก็หงุดหงิดง่าย บางทีไม่มีอะไร นอนไม่หลับ ไปคิดถึงเรื่องที่แล้วมาที่ทำให้เราโกรธ ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ผมอาการหนักกว่าคุณ ผู้ใฝ่ธรรมอีกครับ ผมพูดหลายครั้งในนี้ว่า อยากจะให้มันดับไปเหมือนไฟสิ้นเชื้อ(ไม่ใช่หมายถึงสิ้นอาสวะกิเลสนะครับ) หมายถึง แม้อยู่ต่อหน้าสถานการณ์ที่ทำให้เราเคยโกรธ ก็ไม่มีความโกรธเกิดขึ้นอีกต่อไป ที่ผมทำได้คือ ข่มไว้ จนสุดท้ายก็ระเบิดรุนแรงน่ะครับ แม้ไม่ใช่ความโกรธของเราแต่เป็นผู้ที่เพื่อนเราโกรธผมยังมีอคติต่อเขาเลย ปัจจุบัน ผมสามารถลดอารมณ์โทสะลงมาได้ระดับหนึ่ง(มีวันนึงโกรธถึงขนาดทำลายข้าวของด้วยเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียวจนทุกคนในบ้านเห็นควรว่าน่าจะปรึกษาจิตแพทย์) คือ ทุกคนในบ้าน รวมถึงตัวผมเองด้วยเห็นว่ามันมากเกินไปแล้ว ผมจึงคิดหากุศโลบายที่จะลดความโกรธนั้นน่ะครับ ได้สวดมนตร์ ได้เข้าเว็บธรรมะ ทำให้ผมสงบลงได้มาก แต่ถ้าเป็นเว็บที่ต้องแสดงความเห็นต่อสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะการเมืองฯ เป็นสิ่งที่เพาะอารมณ์โกรธได้ง่าย แล้วเรื่องพวกนี้อยู่ที่ใครชอบอย่างไร ไม่มีใครลงให้ใครอยู่แล้ว บางทีมีเรื่องของหัวคะแนนเข้ามาเกี่ยวข้องอีก ก็เลยไปกันใหญ่ คิดดูโกรธตัวหนังสือผมยังโกรธได้เลย(ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าใครเขียน) ผมเริ่มแก้ไขความโกรธของตัวเองโดย หนีออกจากสถานการณ์ที่เราเคยโกรธก่อน จากนั้นค่อยๆหางานอดิเรก อ่านหนังสือ อะไรให้วุ่นวายไปหมด จนจิตใจไปจดจ่อกับหนังสือ(อิ อิ อย่าหัวเราะนะ แฮรี่ พอตเตอร์) มากกว่าที่จะไปคิดตามภาพที่กำลังปรากฏอยู่เบื้องหน้า(การยั่วยุ) แต่ทั้งวันไม่สามารถทำได้เช่นนั้น ผมอยากจะ

ลดความโกรธลงเหมือนกันครับ ปัจจุบันก็ลดได้ ระดับหนึ่งแล้วครับ แต่ยังด้อยกว่า คุณผู้ใฝ่ธรรม ขออาศัยถามร่วมด้วยคนครับ
 
ริว
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 มี.ค.2005, 2:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลองแบบผมก้อได้คับ ลองคิดว่าถ้าโกรธแล้ว เวลาเกิดมาชาติหน้า ไม่ว่าอยู่ภพใด ผิวจะไม่ละเอียด จะไม่หล่อนะ แล้วก้อหาเหตุผลว่าทำไมมันเป็นแบบนั้น เพราะเหตุใด แล้วแก้ยังไง ลองคิดดูคับว่า ถ้าโกรธแล้วสิวจะขึ้นนะ อะไรทำนองนี้น่ะคับ ใช้ได้กับผมคับ ผมรู้ว่ามันเป็นวิธีแก้ที่ยังวนเวียนอยู่ในกิเลสอยู่ดี แต่มันก้อดีกว่าการข่มใจขั้นสูงที่มนุษย์ธรรมดา ยังทำไม่ได้นะคับ
 
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 29 มี.ค.2005, 4:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พิจารณาโทษของความโกรธ



ในขั้นนี้มีพุทธพจน์ตรัสสอนไว้มากมาย เช่นว่า



“คนขี้โกรธจะมีผิวพรรณไม่งาม คนขี้โกรธนอนก็เป็นทุกข์ ฯลฯ คนโกรธไม่รู้เท่าทันว่าความโกรธนั้นแหละคือภัยที่เกิดขึ้นข้างในตัวเอง พอโกรธเข้าแล้วก็ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นประโยชน์ โกรธเข้าแล้วมองไม่เห็นธรรม เวลาถูกความโกรธครอบงำ มีแต่ความมืดตื้อ คนโกรธจะผลาญสิ่งใด สิ่งนั้นทำยากก็เหมือนทำง่าย แต่ภายหลังพอหายโกรธแล้ว ต้องเดือดร้อนใจเหมือนถูกไฟเผา”



“แรกจะโกรธนั้น ก็แสดงความหน้าด้านออกมาก่อนเหมือนมีควันก่อนจะเกิดไฟ พอความโกรธแสดงเดชทำให้คนดาลเดือดได้ คราวนี้ละไม่มีกลัวอะไร ยางอายก็ไม่มี ถ้อยคำไม่มีคารวะ ฯลฯ คนโกรธฆ่าพ่อฆ่าแม่ของตัวเองก็ได้ ฆ่าพระอรหันต์ ฆ่าคนสามัญก็ได้ทั้งนั้น ลูกที่แม่เลี้ยงไว้จนได้ลืมตามองดูโลกนี้แต่มีกิเลสหนา พอโกรธขึ้นมาก็ฆ่าได้แม้แต่แม่ผู้ให้ชีวิตนั้น ฯลฯ”



“กาลีใดไม่มีเท่าโทสะ” ฯลฯ “เคราะห์อะไรเท่าโทสะไม่มี”



ความโกรธมีโทษก่อผลร้ายให้มากมาย อย่างพุทธพจน์นี้เป็นตัวอย่าง แม้เรื่องราวในนิทานต่าง ๆ และชีวิตจริงก็มีมากมาย ล้วนแสดงให้เห็นว่าความโกรธมีแต่ทำให้เกิดความเสียหายและความพินาศ ไม่มีผลดีอะไรเลยจึงควรฆ่ามันทิ้งเสีย อย่าเก็บเอาไว้เลย ฆ่าอะไรอื่นแล้วอาจจะต้องโศกเศร้าเสียใจ แต่ “ฆ่าความโกรธแล้วนอนเป็นสุข ฆ่าความโกรธแล้วไม่โศกเศร้าเลย”



พิจารณาโทษของความโกรธทำนองนี้แล้วก็น่าจะบรรเทาความโกรธได้ แต่ถ้ายังไม่สำเร็จก็ลองวิธีต่อไปอีก



.....................

จากหนังสือ "ทำอย่างไรจะหายโกรธ"

พระธรรมปิฎก ป.อ. ปยุตโต


http://www.dhammajak.net/dhamma03/k02.htm



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 29 มี.ค.2005, 4:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน





.......... ละความโกรธ ..........



จากหนังสือธรรมะรอบกองไฟ (ขวัญ เพียงทหัย)



...



ในการแก้ความโกรธนั้น เป็นความยากลำบากอย่างยิ่ง สำหรับคนที่มีนิสัยมักโกรธ เพราะจะโกรธง่าย โกรธนาน และวันหลังกลับมาคิดอีก ก็โกรธใหม่อีก เป็นเรื่องทรมานมากสำหรับผู้มีนิสัยเช่นนี้ ฉันนี่เองแหละ ที่เป็นตัวอย่างของคนมักโกรธ และได้รับความทุกข์มากมายในใจที่ท่วมท้นไปด้วยความโกรธในแต่ละคราว นอกจากนั้นยังเป็นคนชอบคิดเท้าความถึงความหลังครั้งกระโน้น แล้วก็มาเจ็บช้ำในครั้งกระนี้อีก เรียกว่าเจ็บแล้วไม่รู้จักลืม เรื่องโกรธต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์จึงมักกลับฟื้นคืนชีพมาเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ๆ ให้ช้ำแล้วช้ำอีก



ในการแก้ไขและฝึกฝนเพื่อละความโกรธ ต้องใช้หลายขั้นตอนมาผสมผสานกัน แม้ฉันจะได้แบ่งลำดับออกเป็นหัวข้อ เพื่อแยกให้เห็นชัดเจนแล้วก็ตาม แต่เวลาฝึกต้องใช้ทั้งหมดรวมกันไม่ใช่ทำทีละข้อ ๆ ไป เหมือนกับเรามีผัก พริก โหระพา มะเขือ ไก่ แต่ก็ต้องต้มยำทำแกงกันให้เสร็จเรียบร้อย เป็นแกงเขียวหวานไก่ใส่ชามมาแล้ว จึงจะกินได้ เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ส่วนรสชาติจะปรุงดุเด็ดเผ็ดมันหรือหวานอย่างไรก็แล้วแต่อัธยาศัย ถึงแม้ปัจจัยพื้นฐาน คือ นิสัยของแต่ละคนจะแตกต่างกันมาก แต่ฉันก็หวังว่า สิ่งต่าง ๆ ที่ฉันจะพูดถึงต่อไป คงจะพอเป็นเส้นประให้เห็นเป็นประมาณได้ ( ที่จะเล่านี้ ประมวลจากประสบการณ์ส่วนตัว อาจไม่ตรงกับตำราอื่น ) อาจจะปรับเปลี่ยนแก้ไขให้เข้ากับบุคลิกของแต่ละคน นั่นก็ย่อมเป็นเรื่องทำได้โดยเต็มที่ ขนาดพิซซ่าสมัยนี้ยังมีรสต้มยำกุ้ง คงไม่มีสิ่งใดต้องกังวล





................

อ่านทั้งหมดที่นี่ครับ
http://www.dhammajak.net/ruendham/book/p4-01.php





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 มี.ค.2005, 4:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นี่สิฉับพลัน .....ง่าย ๆ สั้นๆ

ไม่เกิน 2 นาที (สำหรับผู้มีสมาธิอ่อน)

ไม่เกิน 1 นาที (สำหรับผู้ที่ทำทุก ๆ ครั้งทีโกรธ)

ทำจนเกิดความชำนาญ พอรู้ว่าโกรธจะหายแว๊บ

ให้ใช้กับกิเลสทุกตัว

ให้บริกรรมตามอาการที่รู้สึก

ในคำถามเกี่ยวกับความโกรธ

...บริกรรมภาวนาว่า โกรธหนอ ๆ ท่องในใจ ย้ำ ๆ รับรอง



 
รักแม่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 มี.ค.2005, 8:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณทุกท่านที่แนะนำนะครับ ขอบคุณแทนคุณ ผู้ใฝ่ธรรมด้วย



 
ผ่านมา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2005, 8:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โกรธแล้วผิวพรรณไม่ดี จริงๆนะ อย่าโกรธเลยค่ะ [img]http://ทุกวันนี้รู้สึกว่าตัวเองผิวพรรณดีขั้น[/img] ไม่ทราบว่าเพราะไม่โกรธหรือไม่ ลองไม่โกรธดูบ้างซิคะ
 
สับสน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2005, 9:31 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความหงุดหงิด ความโกรธนี้น่ะ มันเคยอยู่นานค้างๆ ชั่วนาตาปีไหม เราห้ามได้เหรอ เราบังคับมันได้เหรอ ห้ามไม่ให้มันเกิดได้ไหม



เพราะเราเป็นง่วนอยู่กับมัน เราจึงเป็นทุกข์



เราทำได้บ้างแค่พยายามฝืนมัน เขาเรียกว่า สำรวม



แต่ สำรวมยังไงก็ได้แค่นั้น อย่างเก่ง ก็ไม่บานปลายไปทำอย่างอื่นต่อ แต่มันไม่หายไปสนิทหรอก เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นไหม



เอางี้สิ



ดูมันสิ ให้รู้ทันมัน ภาวนาไป โกรธหนอ หงุดหงิดหนอ เอาแค่แตะ ๆ ให้สติรู้มัน



เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง ตามธรรมชาติของมัน



ลองดูนะ



ขอให้เจริญในธรรม
 
รักแม่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2005, 10:20 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



ขอบคุณคุณผ่านมากับคุณสับสนด้วยนะครับ



ขอให้เจริญในธรรมครับ



 
มนุษย์ตัณหาโลกีย์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2005, 2:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออนุญาตแทรกความคิดเห็นยาวยาวหน่อยแล้วกันครับ ผมทึกทักเอาเองว่าคนเราคงมีอารมณ์ได้อยู่แค่สามสภาวะเท่านั้นในโลก คือ สภาวะที่เรากำลังปล่อยอารมณ์อิสระตามธรรมชาติ สภาวะที่เราพยายามบังคับควบคุมอารมณ์ และสภาวะที่ไม่มีอารมณ์น่าจะเป็นตอนหลับหรือคนเข้าถึงวิปัสนา(คิดเองครับ คงไม่ถูกต้องตามหลัก)

คนธรรมดาอย่างผมคงควบคุมอารมณ์ตลอดเวลาขณะรู้สึกตัวไม่ได้ ชึวิตส่วนใหญ่จึงหนีไม่พ้นหลงติดกับดักหรือบ่วงให้เกิดอารมณ์ขึ้นมา เหมือนกับทีเคยได้ยินใครบางคนร้องเพลง "เมื่อรู้สึกตัวก็สายเสียแล้ว" อารมณ์มันเกิดขึ้นมาแล้วพึ่งจะมาคิดขึ้นมาได้ทีหลัง และก็มาเข้าสภาวะที่สองคือพยายามบังคับและควบคุมมันซึ่งบ่อยครั้งที่ลืมตัวปล่อยให้มันเกิดตั้งนานแล้วดับไปเอง ตรงนี้คิดว่าคนที่ตั้งใจมาก หรือมีสติดีก็คงจับอารมณ์ได้เร็วและควบคุมได้ง่าย



อารมณ์โกรธก็น่าจะเป็นแค่เพียงอารมณ์หนึ่งในธรรมชาติไม่ต่างจากดีใจ มีความสุข ปลื้ม เหงา หรือเซ็ง จึงไม่น่าจะแปลกที่จะต้องมีมันขึ้นมาบ้างในบางครั้ง ใครฝึกควบคุมอารมณ์ดีใจ อิ่มเอิบ สุข จึงน่าจะควบคุมอารมณ์โกรธได้ดี ที่คนไม่ชอบอารมณ์โกรธมากที่สุดก็เพราะบางครั้งมันลุกลามก่อความเสียหายใหญ่โตขึ้นมาได้มากกว่าอารมณ์อื่นอื่นกระมัง ผมจึงเห็นด้วยที่ว่าความโกรธเหมือนไฟไหม้ หากไฟเริ่มไหม้แล้วรู้ตัวก่อนจะดับไม่ยากเครื่องดับเพลิงเล็กเล็กก็ดับได้ แต่หากไฟไหม้มากกว่า60หรือ 70 %มั๊งที่ได้ยินเขาว่ามา จะดับไม่ได้ ถึงจะมีรถดับเพลิงกี่คันก็ตาม เขาจะควบคุมไม่ให้มันลามไปที่อื่นและปล่อยให้มันดับไปเอง ก็น่าจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการที่จะควบคุมอารมณ์โกรธตอนที่มันรุนแรง ในเมือ่มันสายไปแล้วที่จะดับ จิตเราเองก็ไม่มีกำลังพอก็คงต้องปล่อยให้มันไหม้ไปแต่เฝ้าสังเกตระวังมันหน่อยอย่าให้ลามไปที่อื่น ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดน่าจะต้องคอยสังเกตมัน เหมือนคนเฝ้าระวังไฟเพื่อลดโอกาสการที่จะทำให้เกิดความโกรธให้มากที่สุด



คิดว่าคนที่ดับหรือควบคุมอารมณ์โกรธตอนที่มันรุนแรงมากแล้วได้ในเวลาอันสั้นคงไม่มีอยู่ในโลกนี้ เพราะคนที่จิตมีพลังขนาดนั้นเขาคงรู้เท่าทันก่อนที่มันจะเป็นอารมณ์ขึ้นมา นอกจากเขาจะแกล้งปล่อยให้มันเกิดขึ้นเพื่อจะดูมันเพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง และคงจะหยุดได้ทุกครั้งที่ต้องการ

ผมคิดว่าหากทุกคนสังเกตอารมณ์โกรธตัวเองที่ผ่านมาให้ดี น่าจะเห็นที่มาและน่าจะไม่เหมือนกันในแต่ละคน ผมไม่มีปัญหาอารมณ์โกรธตัวเองเท่าไหร่คงเพราะแก่ขึ้นมาก และผิดหวังในชีวิตบ่อยมากจนเคยชินที่จะต้องเจอมันอีก พอมันฝังใจมากมาก เจออารมณ์เดิมตอนหาของหรือตั้งใจจะเอาอะไรก็รู้ตัวก่อนเลยว่าเราอาจไม่ได้มันน๊ะแม้จะเป็นเรื่องง่ายง่าย100เปอร์เซนต์ชัวร์ก็ยังเป็น ที่โกรธอยู่บ้างช่วงอายุนี้มีแต่กับคนอื่น คาดว่าเป็นเพราะตัวเองมีข้อเสียชอบยึดติดกับเหตผล ไม่ว่าใครด่าผมอย่างไรหากเขามีเหตผลที่ผมคิดทันจะไม่มีอารมณ์โกรธ แต่หากคิดไม่ทันก็จะพยายามซักเขาจนเขามองว่าเราเถียงเขาจนโต้กันไปมาเพียงเพราะเราจะเอาเหตผลให้ได้ พอไม่ได้ก็ลามขึ้นมาทันที และมักจะไม่มีสติเพราะมันไปหมดแล้วไม่เหลืออะไรมาดึงมันกลับ รู้ตัวอีกทีก็วอดวายไปหมดแล้ว เดี๋ยวนี้จึงหันมาสังเกตอารมณ์บางช่วงที่เป็นสัญญาณจะก่ออัคคีไฟขึ้นมาเกี่ยวกับความอยากเอาเหตผลของตัวเองแทนการที่จะคิดไปควบคุมความโกรธ บอกมันว่าเรารู้ไปแล้วเราก็ไม่ได้อะไรอยู่ดีก็เลยทำให้ไม่ใส่ใจคนอื่นโดยเฉพาะคนทำอะไรไม่แสดงเหตผลและชอบชี้นำหรือบังคับให้เราทำตามแม้นบางครั้งดูไร้สาระในความคิดของเรา ก็ทำให้ราบรื่นด้วยดี แต่นานครั้งไม่ทันได้สังเกตก็ลุกลามขึ้นมาบ้างอยู่เหมือนกัน คนส่วนใหญ่ผมว่าน่าจะมาจากความคาดหวังที่จะได้จนเคยชินเหมือนตอนเด็กอยากได้อะไรก็มักจะได้ทุกอย่างหากบิดามารดาคอยเอาใจ พอเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้สติขณะที่จะทำหรือจะเอาอะไรบางอย่างแล้วไม่เคยฝึกให้ใจมันเคยชินว่าผลลัพธ์มันมีได้สองอย่างเสมอน๊ะ ได้หรือไม่ได้ พอไม่ได้ตั้งหลักเจอผลลัพธ์ที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนไฟก็เริ่มลุกขึ้นมาลุกน้อยก็มีสติได้บางครั้งแต่ลุกมากทุกอย่างก็ถูกเผารวมอยู่ในกองไฟ



ขอบคุณสำหรับผู้ที่อ่านครับคงไม่ได้สาระเท่าไหร่จากตรงนี้ จริงแล้วผมแค่มีความเชื่อเรื่องที่ผมอยากรู้อยากเป็นแต่ทำไม่ได้คือการทำวิปัสสนาให้เกิดปัญญา โดยนำเอาเรื่องที่ใกล้ตัวอย่างที่ว่านี้มาใช้ให้เป็นโอกาสในการฝึกฝนเท่านั้นเองครับ ตัวเองก็ไม่มีความรู้เหมือนกันว่าจะต้องภาวนาอย่างไรทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงได้ตามหลักที่มีการสอนหรือแนะนำกันในปัจจุบัน
 
สับสน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2005, 3:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กลองชุด มี 4 ใบ



รอบ ๆ ตัวผู้เล่น



ฝึกตีกลอง ก็ฝึกทีละนิด ไปเรื่อย ๆ



ฝึกตีทุกใบ สลับ ๆ กันไป ไม่ใช่ทีละใบ



แรกยังไม่คล่อง ก็ตีช้าหน่อย



อีกหน่อยก็เป็นมือกลองอาชีพ ตีได้เร็วจี๋



สอดประสานได้อย่างดี กับจังหวะตามธรรมชาติ ทันหมด



ครูผู้สอน ก็บอกได้แค่ วิธีจับไม้กลอง วิธีตีกลอง



แต่ต้องฝึกเอาเอง ต่อให้มายืนเฝ้าข้างๆ ถ้าไม่ฝึก ก็ตีไม่ได้



ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่า อารมณ์จะผุดขึ้นเมื่อไหร่



เพราะมันมีตลอดเวลา เป็นล้าน ๆ ครั้งในชั่วขณะจิต



อย่างมากที่สุด ผุดขึ้นมา



ก็ดับไปทันที เพราะสติมันทันเร็ว ละเอียดยิบแล้ว



ตามธรรมชาติของมันเอง
 
รักแม่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2005, 3:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ที่คุณมนุษย์ตัณหาโลกีย์กล่าวมานั้นคือภาพของตัวผมเลยครับ คือ โกรธแล้วควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ถึงตอนนั้นคือ จะไม่คิดอะไรแล้ว ถือไม้หน้าสามก็จะฟาด ถือดาบก็จะฟัน แม้แค่คำว่ายั้งมือ ยังทำไม่ได้ กว่าจะสำนึกก็เมื่อทุกอย่างพังพินาศไปหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงไม่ค่อยคบหา อย่างใครพูดผิดหูขึ้นหน่อยนึงก็โกรธแล้ว(แต่จะน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับสถานการณ์) ระแวงตลอดเวลา เพราะมีแต่คนไม่ชอบ(น้อยคนที่จะอยู่ร่วมกับคนมักโกรธได้) ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายคือ(เรื่องจริงเลยนะครับ) ใช้รอยยิ้ม ความ(เลือดหรือใจก็ไม่ทราบ)เย็น เป็นละครลวงล่อเพื่อล่อลวง ทั้งนี้และทั้งนั้นเพื่อผลประโยชน์ล้วนๆ ผมคือตัวอย่างของคนที่มีความโกรธเป็นเจ้าเรือนเลยครับ ด้วยความที่ใครๆก็ไม่อยากคบคนที่มักโกรธ เมื่อมีคนที่มาคบหาผมจึงดีใจ ถ้าคนที่มาคบจริงใจและคอยชี้แนะทางที่ถูกให้เราเดินก็ดีไป แต่ถ้าเขาทำเพียงเพื่อผลประโยชน์ เขาจะยิ้มได้เมื่อผมโกรธแต่ไม่ใช่ยิ้มอย่างมีธรรม เป็นยิ้มอย่างเลือดเย็น ซึ่งผมจะมองไม่ออกหรอก กว่าจะรู้ก็ต้องถึงขนาดเสียเงินเสียทองไปแล้วนั่นล่ะ แล้วยังมีเรื่องไสยศาสตร์มนตร์ดำด้วย โทษของความโกรธสำหรับผมคือ แทบเอาชีวิตไม่รอด ผู้ที่นำผมเข้าสู่ธรรมะคือ แม่ และ หนังสือของคุณขวัญ เพียงหทัย ครับ ไม่งั้นคงคิดมาก เพราะอายที่เสียรู้ เสียทรัพย์ เชื่อคนง่าย แถมยังโดนตามรังควาญ ผมจึงตามเช็คกระทู้นี้ตลอดเวลาครับ ขอบคุณทุกท่านที่แนะนำกุศโลบายระงับความโกรธนะครับ ผมจะนำรูปแบบ

ที่เหมาะสำหรับระดับและจริตของผมไปใช้ กระทู้นี้ได้ประโยชน์มากเลยครับ



 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2005, 7:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แต่ละท่านก็แนะนำ วิธีแก้ปัญหาความโกรธได้หลากหลายดีครับ เพราะในบรรดา กำลังแห่งจิตทั้ง 5 อย่าง คือ สติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร สามารถนำมาเป็นวิธีแก้ปัญหาความโกรธได้ทั้งสิ้นเลยครับ



วิธีที่ 1 ใช้สติ แก้ความโกรธ ตามที่คุณสับสน และคุณจันทโชติ แนะนำ



วิธีที่ 2 ใช้สมาธิ แก้ความโกรธ สมาธิที่จะมาแก้ความโกรธได้ชะงักที่สุด คือ การเจริญเมตตาครับ ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมฐาน 40 อย่างพอดี



วิธีที่ 3 ใช้ปัญญา พิจารณาโทษของความโกรธ ดังเช่นที่คุณริว คุณผ่านมา และคุณสายลมแนะนำก็ได้ หรือ ใช้ปัญญา หลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่ทำให้โกรธง่าย เช่นคุณรักแม่แนะนำก็ดีเหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นปัญญาเบื้องต้น ยังไม่ใช่ปัญญาเบื้องสูงที่จะใช้ตัดกิเลสแบบถาวร แต่ก็สามารถใช้ตัดกิเลสสายโทสะในเบื้องต้นนี้ก่อนได้ครับ



วิธีที่ 4 ใช้ศรัทธา วิธีนี้ต้องมีคนที่ศรัทธา เช่น เมื่อโกรธและจะทำอะไรลงไป ก็นึกถึงพ่อแม่ หรือครูบาอาจารย์ เห็นแก่ท่าน ก็เลยละได้ ก็มีครับ รวมไปถึง นึกถึงคนรักเช่น ภรรยา ลูก ก็ได้เหมือนกันครับ มีคุณพ่อหลายคน ทั้งมักโกรธ ทั้งมีนิสัยไม่ดีหลายอย่าง แต่พอมีครอบครัว มีลูก ก็สามารถเปลี่ยนนิสัยได้ ก็มีให้เห็นหลายครอบครัวครับ



วิธีที่ 5 ใช้ความเพียร เพียรพยายามอดทนข่มใจกับความโกรธนั้นๆ อาจจะยากสำหรับบางคน แต่ก็อาจจะง่ายสำหรับบางคนก็ได้ เพราะจริตอัธยาศัยแต่ละคนไม่เหมือนกัน



เท่าที่ผมสังเกตุดู เทคนิคต่างๆ เหล่านี้ นอกจากขึ้นกับอัธยาศัยแล้ว ยังขึ้นกับสถานการณ์ด้วยนะครับ เช่น มีสิ่งเร้ามาทำให้โกรธโดยพลัน แล้วก็หายไปโดยพลัน การใช้สติรู้เท่าทันดูจะเหมาะสมที่สุดครับ



แต่ถ้าสิ่งเร้าความโกรธนั้น มาอย่างต่อเนื่องไม่ยอมไปง่ายๆ สมาธิ และความเพียรความอดทน เหมาะสมที่สุดครับ ดังเช่น เรื่องราวของพระโพธิสัตว์ สมัยเกิดเป็นพญานาคภูริทัต ขึ้นมาจำศีลบนพื้นมนุษย์ ต่อมาหมองูมาเห็นจึงร่ายเวทย์จับพระโพธิสัตว์ ท่านเจ็บปวดทรมาณอย่างมากมาย แต่ท่านก็พยายามข่มใจอดทนไว้ เพราะถ้าจะจัดการกับหมอคนนี้ ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แต่ศีลที่ตั้งใจรักษาจะขาดลง ดังนั้น จึงข่มความโกรธและความเจ็บปวด หมองู ก็นำพระโพธิสัตว์ไปแสดงตามที่ต่างๆ มากมาย จนตอนหลังน้องชายพระโพธิสัตว์ มาช่วยไว้ได้ครับ



หรืออีกเรื่อง พระโพธิสัตว์ เกิดเป็นดาบสชื่อขันติวาที มีพระราชาพาลองค์หนึ่งจับไว้ เพราะอิจฉาที่สนมของตัวไปฟังธรรมจากดาบส พระราชาสั่งให้ค่อยๆ ทรมาณดาบสโดยการตัดจมูก หู มือ เท้า จนดาบสเลือดไหลโทรมกาย เจ็บปวดทรมาณมาก แต่ดาบสก็ใช้ความเพียรความอดทน ข่มความเจ็บปวดนั้นไว้ นึกแผ่เมตตาให้พระราชา จนดาบสสิ้นชีวิต แล้วธรณีก็สูบพระราชาใจบาปลงไปทันทีเหมือนกัน



ฝึกๆ ไว้ทั้ง 5 วิธีแหละครับ จะมีประโยชน์กับเราทุกๆ วิธีในภายภาคหน้าครับ
 
รักแม่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2005, 8:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบพระคุณมากครับ



 
จิตใฝ่ใจสะอาด
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 เม.ย.2005, 8:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เวลาโกรธก็ให้นับตัวเลขไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ 1 ถึง 100 ถ้ายังไม่หาย ก็ให้นับต่อไปอีก แล้วคุณจะรู้ว่าxxxเวลาที่คุณโกรธไปมันใช้ระยะเวลาไปเท่าไหร่ แล้วกลับมาคิดว่าเราเอาเวลาที่เราโกรธนั้นไปคิดทำอะไรที่เป็นประโยชน์กว่านี้จะดีกว่ามั้ย



 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง