ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
จิรายุ
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 04 ก.ค. 2007
ตอบ: 16
ที่อยู่ (จังหวัด): ปทุมธานี
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2007, 10:55 am |
  |
เนื่องจากความตั้งใจว่าอย่างน้อยการเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ มีบุญที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา ดังนั้นจึงอยากจะฝึกฝนตนเอง เพื่อให้สามารถตัดกิเลส และทำให้ใจมีความสุขสงบเย็นจากการเข้าถึงธรรมะ ซึ่งตนเองนั้นตั้งใจมั่นว่าอย่างน้อยในชาตินี้อยากบรรลุซึ่งโสดาบัน จึงอยากขอความกรุณาท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายได้กรุณาแนะนำขั้นตอนการปฏิบัติ เพื่อให้ไปถึงซึ่งจุดมุ่งหมายดังกล่าวด้วย |
|
_________________ ตั้งใจทำความดี เพื่อชาตินี้ และชาติหน้า |
|
  |
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2007, 11:10 pm |
  |
การเจริญภาวนานั้นมี 2 อย่าง คือ การเจริญสมถภาวนา และการเจริญวิปัสสนาภาวนา
สมถภาวนา เป็นการปฏิบัติเพื่อยังจิตให้เข้าถึงความสงบ โดยเพ่งอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง จนกระทั่งจิตนิ่งสงบเป็นสมาธิ
วิปัสสนาภาวนา เป็นการเจริญสติให้เกิดปัญญา เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงว่า อ๋อ ! สังขารชีวิตนี้เป็นธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลง เกิดดับ บังคับไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน อย่างนี้เรียกว่าเกิดปัญญา ปัญญาก็จะชำแรกจะประหารกิเลส เมื่อกิเลสลดน้อยลง ความร้อนใจทุกข์ใจก็ลดลง ความเย็นก็ปรากฏ ความสุขก็ปรากฏ ยิ่งความร้อนมอดลงไปดับสนิทเมี่อไร ก็พบกับความเย็นสนิทมากเท่านั้น เรียกว่านิพพาน
นิพพานก็คือความเย็น หรือความที่เพลิงทุกข์เพลิงกิเลสดับสนิทนั้นแหละ นิพพานก็เป็นไปตามชั้นของอริยบุคคล พระโสดาบันก็ละกิเลสได้ระดับหนึ่ง พระสกทาคามีก็ละกิเลสได้อีกระดับหนึ่ง พระอนาคามีก็ละกิเลสได้ยิ่งขึ้นอีกระดับหนึ่ง จนกระทั่งระดับพระอรหันต์ก็ดับเพลิงทุกข์เพลิงกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง ใจก็จะเย็นสงบสนิทอย่างชนิดความเร่าร้อนความเศร้าหมองจะไม่กำเริบขึ้นมาได้อีกเลย
เราก็มาเดินตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า คือเดินตามคำสอนของพระพุทธองค์ อย่าคิดว่าเราไม่มีหน้าที่ปฏิบัติ เพราะเราทำงาน เรายังอายุไม่มาก เราไม่ได้อยู่วัด ไม่ใช่หน้าที่ของเรา อย่าไปคิดอย่างนั้น บุคคลใดที่มีความทุกข์ บุคคลใดที่ยังมีกิเลส บุคคลนั้นก็มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติก็เพื่อที่จะดับความทุกข์ เพื่อที่จะชำระกิเลส เหมือนคนที่ไม่มีโรค ก็เห็นว่าหมอไม่จำเป็น แต่คนที่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีความเจ็บปวด ก็จำเป็นที่จะต้องใช้ยา ต้องได้รับการรักษาจากหมอ พวกเราก็มีโรคคือกิเลส จึงจำเป็นต้องมียารักษา ซึ่งธรรมโอสถที่พระพุทธเจ้าได้ประทานไว้ให้ก็คือ สมถะและวิปัสสนากรรมฐาน
การเจริญภาวนา
โดย พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรํสี)
สำนักปฏิบัติกรรมฐาน วัดมเหยงคณ์
ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
อ่านต่อตามลิ้งค์
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6897 |
|
|
|
   |
 |
กุหลาบสีชา
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
21 ก.ค.2007, 1:23 am |
  |
|
    |
 |
นวโยคี
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 04 พ.ค. 2007
ตอบ: 20
ที่อยู่ (จังหวัด): bkk
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ค.2007, 8:41 am |
  |
๚๏ มีความละอายใจต่อบาปทั้งปวง
๚๏ มีศีลห้าเป็นปกติ ไม่ต้องคอยควบคุมหรือคอยระวังรักษา
๚๏ มีความกตัญญูรู้คุณ
๚๏ ไม่เป็นคนเจ้าเล่ห์ ไม่มีมายาสาไถย ลับลมคมใน ปิดบังซ่อนเร้น
๚๏ ปราศจากความตระหนี่ พอใจในการให้เพื่อเกื้อกูลผู้อื่น
๚๏ เป็นผู้ไม่โกรธ ให้อภัยต่อบุคคลที่แม้คิดร้ายเป็นศัตรู
๚๏ เชื่อในกฎแห่งกรรม ทุกอย่างมีเหตุมีปัจจัย ไม่ใช่การดลบันดาล
๚๏ เห็นในสรรพสิ่งว่า ไม่เที่ยง ไม่เศร้าโศกต่อสิ่งที่ต้องพลัดพราก |
|
|
|
  |
 |
จิรายุ
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 04 ก.ค. 2007
ตอบ: 16
ที่อยู่ (จังหวัด): ปทุมธานี
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ค.2007, 9:02 am |
  |
ขอบคุณมากครับสำหรับคำอธิบาย ของคุณนวโยคี คุณกุหลาบสีชา และคุณปุ๋ย เกี่ยวกับการเจริญสติปัฏฐาน 4 เราต้องปฏิบัติอย่างไรครับ |
|
_________________ ตั้งใจทำความดี เพื่อชาตินี้ และชาติหน้า |
|
  |
 |
sittidet
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 26 ธ.ค. 2007
ตอบ: 53
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
27 ธ.ค.2007, 5:09 pm |
  |
ลองอ่านได้ฟรีจากหนังสือคุณดังตฤนก็ได้ อธิบายละเอียดดีครับ หรือจะเป็นเรื่อง 7 เดือนบรรลุธรรมก็ได้ครับ หาได้จากกูเกิลใช้คำว่าดังตฤนได้เลยครับ อนุโมทนาบุญครับ สาธุ |
|
_________________ ผู้ใดมีตนเป็นที่พึ่งนับว่าหาที่พึ่งอันหาได้ยาก |
|
  |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
28 ธ.ค.2007, 7:56 pm |
  |
จิรายุ พิมพ์ว่า: |
เนื่องจากความตั้งใจว่าอย่างน้อยการเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ มีบุญที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา ดังนั้นจึงอยากจะฝึกฝนตนเอง เพื่อให้สามารถตัดกิเลส และทำให้ใจมีความสุขสงบเย็นจากการเข้าถึงธรรมะ ซึ่งตนเองนั้นตั้งใจมั่นว่าอย่างน้อยในชาตินี้อยากบรรลุซึ่งโสดาบัน จึงอยากขอความกรุณาท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายได้กรุณาแนะนำขั้นตอนการปฏิบัติ เพื่อให้ไปถึงซึ่งจุดมุ่งหมายดังกล่าวด้วย |
ตอบ..
คาดเดาเอาจากชื่อของคุณ น่าจะเป็นผู้หญิง ผู้หญิงมีโอกาสปฏิบัติธรรมได้สำเร็จดีกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีความอดทนทางจิตใจมากกว่าผู้ชาย แต่ผู้หญิงมีอวัยวะที่ผิดแปลกน่าจะมีมากกว่าผู้ชาย ในที่นี้หมายถึงอวัยวะภายใน (ไม่ค่อยแน่ใจเพราะลืมไปแล้วว่าของใครมากกว่ากัน)
ถ้าคุณอยากบรรลุโสดาบันจริง ให้คุณนำเอาหลักการที่จะกล่าวต่อไปนี้ไปใช้ฝึกได้เฉพาะคุณนะห้ามสอนต่อและคุณต้องใช้สมองสติปัญญาของคุณพิจารณาเอาเอง ถ้าคุณสมองดี มีประสบการณ์ชีวิต ได้รู้ได้เห็น และมีความจำพอสมควร คุณจะบรรลุโสดาบันได้อย่างแน่นอน ดังนี้,-
1. ฝึกสมาธิ หรือจะเรียกว่าฝึกเอาใจจดจ่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเอาใจเข้าไปผูกอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ลมหายใจ หรืออื่นใด (อันนี้ไม่บอกเพราะอันตราย) เอาแค่ลมหายใจเหมือนฝึกสมาธิที่วไปก็คงได้
ที่ให้ฝึกสมาธิก่อนก็เพราะ เมื่อฝึกสมาธิแล้ว ก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า สติ สัมปชัญญะตามมา ขัอนี้สำคัญ เพราะหากไม่มีสมาธิที่ดี ไม่มีสติสัมปชัญญะที่ดี อาจจะไม่ประสบผล ก็ได้
2. ต้องมีความรู้ ความรู้ของคุณมีอยู่แล้ว ความรู้ที่ว่านี้ก็คือความรู้ทั่วๆ ไปที่คุณได้พบเห็น และมีอยู่ในความจำของคุณอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความรู้เกี่ยวกับการกระทำของตัวเอง หรือของผู้อื่น ที่คุณได้พบเห็น เป็นความรู้ทั้งสิ้น และเป็นความรู้ที่นับเข้าในวิปัสสนาได้ทั้งนั้น จะมีเพียงบางอย่างบางสิ่งที่จะรู้ก็ได้ ไม่รู้ก็ได้
และความรู้นี้จะหมายรวมถึง ความรู้ในหลักธรรมคำสอน ดังต่อไปนี้ด้วย
การครองเรือน,ทาน
กตัญญู,เจรจา
สรรพอาชีพ,ประพฤติ
ระลึก,ดำริ
ทั้ง 4 คู่ 8 ข้อข้างต้น เป็นสิ่งที่ทำให้เกิด ความทุกข์ , เป็นเหตุแห่งความทุกข์,เป็นสิ่งดับทุกข์ , และเป็นหนทางแห่งความดับทุกข์
อันนี้ให้คุณไปพิจารณาแยกแยะเอาเอง เพราะหากจะอธิบายก็คงต้องใช้สมองมาก ตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังพักผ่อนสมอง ขอใช้สมองน้อยหน่อย
3. ทำความรู้อันประกอบไปด้วยสมาธินั้น ให้เป็นการปฏิบัติ ถ้าเป็นศัพท์ในทางศาสนาพุทธก็เรียกว่า "วิปัสสนา"
วิปัสสนา ก็ไม่ยากอะไร ก็นั่งสมาธินั่นแหละ แต่พิจารณาหลักธรรมคำสอนไปด้วย ก็เท่านั้นแหละ
ถ้าคุณสมองดี มีความเข้าใจ บรรลุโสดาบันได้อย่างแน่นอน
แต่คุณต้องทำความเข้าใจไว้อย่างหนึ่งว่า การจะบรรลุโสดาบัน หรือบรรลุธรรม ไม่ใช่อย่างในนิยายหรือในภาพยนต์นะ คือไม่ใช่ว่า พอได้ฟัง ได้อ่าน ได้เห็น ก็บรรลุธรรมปุ๊ป อย่างนั้นไม่ใช่นะ
แต่อาจจะคิดได้เป็นบางข้อบางเรื่อง ถ้าคุณเข้าใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ดีในระดับหนึ่ง คุณก็จะขจัดหรือตัดกิเลสในเรื่องนั้นได้ เป็นเรื่องๆไป และที่สำคัญบางเรื่องก็จะเกี่ยวโยงสัมพันธ์กัน ได้เรื่องหนึ่ง ก็จะไปหาอีกเรื่องหนึ่ง
พิจารณาดูเถิด
เพราะถ้าข้าพเจ้าจะรอให้พระสงฆ์มาเรียนกับข้าพเจ้าคงอีกนาน เอาแบบใครอ่านใครเข้าใจก็บรรลุไปก่อนก็แล้วกัน |
|
|
|
  |
 |
วิชชา
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 05 พ.ย. 2007
ตอบ: 31
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่
|
ตอบเมื่อ:
29 ธ.ค.2007, 12:58 pm |
  |
เนื่องจากความตั้งใจว่าอย่างน้อยการเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ มีบุญที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา
ดังนั้นจึงอยากจะฝึกฝนตนเอง เพื่อให้สามารถตัดกิเลส
การจะตัดกิเลสได้ก็ด้วย "โลกุตตรปัญญา" ครับ และการที่จะไปถึงปัญญาขั้นนั้นก็ต้องเริ่มต้น
ปัญญาที่เกิดจากขั้นการฟังพระธรรมให้เข้าใจในขั้นปริยัติก่อน เพราะอริยสัจจธรรมมี ๓ รอบ
คือ สจญาน กิจญาน และ กตญาน ถ้าไม่มีสจญาน คือ ปัญญาขั้นฟัง ปัญญาขั้นอื่นก็ไม่ควร
ไปหวัง เพราะเกิดไม่ได้แน่นอนครับ ขอให้ฟังพระธรรมจากบุคคลที่แสดงธรรมอย่างมีเหตุ
และผล ให้ท่านเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ครับ ยังไม่ต้องรีบเชื่อก่อน ยังไม่ต้องยึด
ถือเกจิอาจารย์ชื่อดังที่ไหนแต่ขอให้ตรวจสอบ พิจารณาพระธรรมว่าตรงตามที่พระพุทธองค์
ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกหรือไม่ จนเป็นความเข้าใจของตนเอง เป็นปัญญาที่เกิดกับจิต
ของท่านเอง เป็นผู้ที่รอบคอบ ละเอียด ไม่เผิน ไม่เอาความคิดตัวเองหรือของใครเป็นใหญ่
แต่สอบถามผู้รู้ สนทนาธรรม และอ้างอิงข้อความจากพระไตรปิฎก...ดีที่สุด
และทำให้ใจมีความสุขสงบเย็นจากการเข้าถึงธรรมะ
ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน การเข้าถึงธรรมะด้วยอัตตา ย่อมเป็นสิ่งที่
เป็นไปไม่ได้ ผู้ที่เข้าถึงธรรมะได้ ต้องศึกษาให้เข้าใจในลักษณะที่เป็นอนัตตาของสภาพ
ธรรมที่กำลังปรากฏอยู่ในขณะนี้ว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา
ได้อย่างไรก่อนเป็นอันดับแรก จากความเข้าใจในขั้นการฟังพระธรรม
ซึ่งตนเองนั้นตั้งใจมั่นว่าอย่างน้อยในชาตินี้อยากบรรลุซึ่งโสดาบัน
พระอริยบุคคลเป็นผู้ที่สั่งสมบารมีมานาน ไม่ใช่เพียงชาตินี้ชาติเดียว เราจะรู้ได้อย่างไร
ว่า ปัญญาที่สั่งสมมาของเราเพียงพอจะประจักษ์แจ้งแทงตลอดอริยสัจจธรรม บรรลุเป็นพระ-
โสดาบันได้หากเราไม่ได้ศึกษาพระธรรมของพระพุทธองค์เลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะชี้วัดปัญญา
บารมีของท่านได้ดีที่สุด คือ การเริ่มศึกษาพระธรรมขั้นปริยัติก่อน เพราะถ้าไม่เริ่มศึกษา เวลาไป
ปฏิบัติท่านก็ย่อมไม่รู้ว่า ผู้ที่ชี้แนะท่านนั้น เขารู้จริง รู้ชัด รู้ทั่ว รู้ถูก รู้ตรง จากพระไตรปิฎกหรือ
เปล่า หรือว่าเขาก็ไม่รู้ แต่กล่าวตู่พระพุทธเจ้าว่าพระองค์สอนตามที่ท่านเหล่านั้นสอน
ซึ่งจะทำให้แทนที่ท่านจะดำเนินบนทางถูก คือ สัมมามรรคมีองค์ ๘ แต่เพราะการไม่พิจารณา
โดยแยบคายก็อาจจะทำให้ท่านหลงไปกับความเห็นผิด บนหนทางผิดๆ ของผู้อื่น ซึ่งเป็นมิจฉา
มรรคมีองค์ ๘ ได้
เรื่องของความเชื่อ ไม่ใช่เรื่องที่จะบังคับกันได้ ท่านจะเลือกเชื่อใคร ในเมื่อครูที่สูงสุดของท่าน
คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่แค่ความคิดเห็นของสาวกปุถุชนในสมัยนี้
โปรดอ่านพิจารณาเพิ่มเติมได้ที่......
http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=2136 |
|
_________________ ไม่มี |
|
      |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
30 ธ.ค.2007, 9:45 pm |
  |
การสอนธรรมะในทางศาสนาไม่เหมือนกับการสอนหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์หรือฆราวาสก็ตาม ต้องจดจำในข้อนี้ไว้เพราะเหตุว่า
การสอนธรรมะ ถ้าตนเองทำไม่ได้ หรือเป็นการสอนสิ่งที่ไม่มีในตนเอง เขาเรียกว่า "อวดอุตริฯ" หรือถ้าจะกล่าวเป็นศัพท์ภาษาทั่วไป เรียกว่า "หลอกลวงผู้อื่น"
เขาต้องการบรรลุโสดาบัน ใครไม่บรรลุโสดาบัน อย่าสอนเป็นอันขาด แสดงความคิดเห็นได้ แต่ต้องอ่านให้ดี อย่าแสดงความคิดเห็นแบบสอน
แล้วก็ไม่ต้องถามข้าพเจ้านะขอรับว่า ข้าพเจ้าสอนในสิ่งที่มีในตัวเอง หรือทำได้หรือไม่
ดูชื่อที่ข้าพเจ้าใช้ ก็คงรู้นะขอรับ |
|
|
|
  |
 |
บ่อน้ำ
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 5
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
30 ธ.ค.2007, 11:39 pm |
  |
สวัสดีครับทุกท่าน :)
-------------------------------------
... ขอให้ท่านเจ้าของกระทู้ลองอ่านจากพระสูตรที่ยกมาให้นี้เพิ่มเติมนะครับ
คหบดีวรรคที่ ๕
๑. ปัญจเวรภยสูตรที่ ๑
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=1812&Z=1883&pagebreak=0
[๑๕๑] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... ครั้งนั้นแล ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาท แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า
ดูกรคฤหบดี เมื่อใดแล ภัยเวร ๕ ประการ ของอริยสาวกสงบแล้ว เมื่อนั้นอริยสาวกย่อมประกอบด้วยธรรมเป็นองค์แห่งโสดาปัตติ ๔ อย่าง และญายธรรมอย่างประเสริฐ อริยสาวกเห็นดีแล้ว แทงตลอดด้วยปัญญา อริยสาวกนั้นหวังอยู่ พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานสิ้นแล้ว มีปิตติวิสัยสิ้นแล้ว มีอบาย ทุคติ วินิบาตสิ้นแล้ว เราเป็นโสดาบันมีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงจะตรัสรู้ในภายหน้า ฯ .... (มีต่อ)
>>> อ่านรายละเอียดข้างในทั้งหมดได้จาก Link ที่พิมพ์ไว้ด้านบนนะครับ
------------------------------------------------
ธรรมที่ยังบุคคลให้เป็นพระโสดาบัน (โสดาปัตติยังคะ)
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=31&A=5633&w=โสดาปัตติ
[๔๔๔] ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ในโสดาปัตติยังคะ ๔ จะพึงเห็น
ความประพฤติแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เป็นไฉน ฯ
พึงเห็นความประพฤติแห่งสัทธินทรีย์ ด้วยอรรถว่าเป็นใหญ่ในความ
น้อมใจเชื่อ ในโสดาปัตติยังคะ คือ การคบหาสัปบุรุษ พึงเห็นความประพฤติ
แห่งวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่าประคองไว้ พึงเห็นความประพฤติแห่งสตินทรีย์ด้วย
อรรถว่าตั้งมั่น พึงเห็นความประพฤติแห่งสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน พึง
เห็นความประพฤติแห่งปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่าเห็น ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์
พึงเห็นความประพฤติแห่งสัทธินทรีย์ ด้วยอรรถว่าเป็นใหญ่ในความน้อมใจเชื่อ
ในโสดาปัตติยังคะ คือ การฟังธรรมของท่าน ฯลฯ ในโสดาปัตติยังคะ คือ
การทำไว้ในใจ โดยอุบายอันแยบคาย ฯลฯ ในโสดาปัตติยังคะ คือ การ
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม พึงเห็นความประพฤติแห่งวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า
ประคองไว้ พึงเห็นความประพฤติแห่งสตินทรีย์ด้วยอรรถว่าตั้งมั่น พึงเห็นความ
ประพฤติแห่งสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน พึงเห็นความประพฤติแห่ง
ปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่าเห็น ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ ด้วยสามารถแห่ง
สัทธินทรีย์ในโสดาปัตติยังคะ ๔ จะพึงเห็นความประพฤติแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วย
อาการ ๒๐ เหล่านี้
------------------------------------------------------
สรุป
1. การคบหาสัปบุรุษ
2. การฟังธรรมของท่าน
3. การทำไว้ในใจ โดยอุบายอันแยบคาย
4. การปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม
------------------------------------------------------ |
|
|
|
  |
 |
banyat
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 01 ม.ค. 2008
ตอบ: 3
ที่อยู่ (จังหวัด): พระนครศรีอยุธยา
|
ตอบเมื่อ:
01 ม.ค. 2008, 12:07 pm |
  |
จิรายุ พิมพ์ว่า: |
เนื่องจากความตั้งใจว่าอย่างน้อยการเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ มีบุญที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา ดังนั้นจึงอยากจะฝึกฝนตนเอง เพื่อให้สามารถตัดกิเลส และทำให้ใจมีความสุขสงบเย็นจากการเข้าถึงธรรมะ ซึ่งตนเองนั้นตั้งใจมั่นว่าอย่างน้อยในชาตินี้อยากบรรลุซึ่งโสดาบัน จึงอยากขอความกรุณาท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายได้กรุณาแนะนำขั้นตอนการปฏิบัติ เพื่อให้ไปถึงซึ่งจุดมุ่งหมายดังกล่าวด้วย |
ไม่ต้องทำอะไรมากหรอกครับ ศึกษาเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา 3 อย่างนี่แหละ
1. รักษาศีล (อย่างน้อยศีล 5) ให้เป็นปรกตินิสัย อย่าให้กลายเป็นสีลพตปรามาสไปเสีย รักษาให้เกิดความเคยชิน
2. เจริญสมาธิตามวิธีที่ถูกต้อง อย่างต่อเนื่อง-พยายามอย่าให้ขาดจากชีวิตประจำวัน และทำจิตให้น้อมเข้ามาในทางธรรมตลอดเวลา หากจะคิดออกนอกเรื่องนอกราวไปบ้าง เมื่อมีสติระลึกได้ ก็ดึงกลับเข้ามาที่เดิม
3. เจริญปัญญา คือรักษาศีลก็ให้ถูกวิธี ทำสมาธิก็ให้ถูกวิธี อย่าอยากได้มรรคผลอะไรทั้งนั้น รู้ให้เท่าทันกับอารมณ์และความคิด โดยดูถึงความเป็นอนิจัง ทุกขัง อนัตตาของมัน
ถึงวันดีคืนดี เมื่อ 3 อย่างนี้สมดุลกันเมื่อไร มรรคผลก็เกิดขึ้นเอง. |
|
_________________ "ขอเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย" |
|
  |
 |
RARM
บัวบาน

เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417
|
ตอบเมื่อ:
14 ม.ค. 2008, 7:23 pm |
  |
ทำใจให้มั่นคง ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และ ฝึกฝนตนเอง โดยหาครูบาอาจารย์ที่ท่านสามารถ แก้ อารมณ์ของเราได้ เมื่อติดขัดในอารมณ์ที่ปฏิบัติอยู่
โดยเชื่อฟังท่าน ตามที่ท่านแนะนำ
ผมเองได้รับฟังคำแนะนำจากท่านพระอาจารย์ชัยรัตน์ สุธมฺโม วัดท่าแก้ว ชัยนาท มาเป็นเวลา 8 ปีแล้วครับ
ทำตามมาตลอด คือเชื่อ หรือศรัทธาในตัวท่านมาก และได้ปฏิบัติตามคำแนะนำมาทุกอย่าง เท่าที่ปัญญาของผมจะจำได้และทำได้ การปฏิบัติก็ดีบ้างล้มลุกคลุกคลานบ้าง ต้องอดทนใช้เวลาสะสมบารมีต่อไป ต่อเมื่อเราบารมีเต็มเมื่อไหร่ ก็จะถึงวาระของเราเองที่จะได้รู้เห็นธรรมตามความเป็นจริงทุกประการ
ที่บ้าน ปฏิบัติธรรมกันทุกคน
นี่เป็นการเล่าให้ฟังนะครับ เป็นปฏิปทาในครอบครับผมเอง ครับ
ลองพิจารณาดูนะครับ |
|
|
|
  |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
14 ส.ค. 2008, 3:18 am |
  |
หมั่นฝึกฝน โดยไม่ย่อท้อ เจริญในธรรม สาธุ  |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
|