Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ราหู กลัวพระพุทธเจ้ามาก !!
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
สายลม
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245
ตอบเมื่อ: 12 มี.ค.2005, 5:02 pm
ไล่ล่าหาความลับราหูยก 12 มี.ค. ปรากฏการณ์ใหญ่ที่เกิดทุก 18 ปี
...........................
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 มีนาคม 2548 14:09 น.
สังคมไทยกับเรื่องไสยศาสตร์นั้น ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ยากจะแยกกันออกได้ ด้วยเหตุนี้ บรรดาเครื่องรางของขลังต่างๆ จึงยังคงได้รับความนิยมอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย เช่นเดียวกับเรื่องของโชคชะตา ราศีและอิทธิพลของดวงดาว
ในวันที่ 12 มีนาคมนี้ เป็นอีกวันหนึ่งที่คนที่เชื่อในเรื่องดังกล่าวให้ความสนใจ เพราะเป็นวันสำคัญในทางโหราศาสตร์ กล่าวคือ ดาวราหู จะย้ายจากราศีเมษเข้าราศีมีน ซึ่งผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างก็กำลังเตรียมพิธีบูชาราหูกันยักใหญ่ และวัดที่ได้รับการคาดหมายว่าจะมีผู้เดินทางไปบูชาราหูมากที่สุดใน พ.ศ.นี้ เห็นจะหนีไม่พ้น วัดศีรษะทอง จ.นครปฐม
ราหูมีความสำคัญอย่างไร ทำไมถึงต้องบูชา คงต้องไปสืบสาวราวเรื่องเพื่อให้กระจ่างแจ้งกัน
นายลักษณ์ เรขานิเทศ หมอดูชื่อดังบอกว่า ตามหลักโหราศาสตร์ ราหูมี 2 ภาค ภาคหนึ่งรักษาโลก เป็นตัวแทนรักษาโลกให้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข อีกภาคของราหู เป็นยักษ์ ซึ่งเกินเลือดกินเนื้อ โดยเฉพาะยามหิว
อย่างไรก็ดี สำหรับวันที่ 12 มีนาคม ซึ่งราหูจะมีการเคลื่อนย้ายนั้น ไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนกจนเกินไป เพราะตามหลักโหราศาสตร์ราหูเคลื่อนมาที่ราศีมีน ซึ่งเป็นธาตุลม จะไม่มีสถานการณ์อะไรร้ายแรงมากนัก แต่อยากเตือนคนที่เดินทางทางอากาศให้ระมัดระวังตัวบ้าง ระหว่างเดินทางอาจจะมีอากาศแปรปรวนตกหลุมอากาศบ้าง ส่วนทางทะเลอาจมีคลื่นลมทำให้ทะเลปั่นป่วนได้
สำหรับประชาชนแห่ไปไหว้ราหูที่วัดศีรษะทอง กันอย่างเนื่องแน่น หรือเซ่นไหว้ด้วยของดำ 8 อย่าง ตามหลักโหราศาสตร์นั้นไม่ถูกต้อง ประชาชนควรทำใจให้สงบสวดคาถาชินบัญชรเป็นเวลา 7 วัน หรือไหว้พระที่วัดไตรมิตรวิทยาราม ซึ่งมีพระนารายณ์ทรงครุฑ เพราะพระนารายณ์เปรียบเสมือนเทพพระเจ้าปราบมาร
ทั้งนี้ ที่แนะนำให้ไหว้วัดนี้เพราะเป็นวัดที่ได้มีการทำพิธีเซ่นไหว้ถูกต้องตามราชประเพณีโบราณ พระสงฆ์จะสวดบทนพพระเคราะห์ เพื่อปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บออกไป หรือสิ่งชั่วร้ายออกไปหมด
ราหูจะเคลื่อนที่ทุกๆ 18 ปี ซึ่งมักจะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง ต้องย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ว่าเมื่อ 18 ปีที่แล้วหรือปี 2530 มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับบ้านเมืองหรือประเทศชาติบ้าง
ราหูย้ายมีผลกับบ้านเมืองหรือไม่
นายลักษณ์กล่าวต่อไปว่า เมื่อราหูเคลื่อนย้ายจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับดวงเมือง ตามหลักโหราศาสตร์จะมีการย้ายเมือง หมายถึงจะมีเมืองใหญ่เกิดขึ้น อย่างสมัยก่อนกรุงธนบุรีอ่อนแรงก็มาตั้งกรุงเทพมหานคร ซึ่งก็เฉกเช่นเดียวกันสนามบินดอนเมืองที่มีสภาพทรุดโทรมมากเกินกว่าจะปรับปรุงทำให้มีการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ พอมีการสร้างสนามบินใหม่บริเวณใกล้เคียงจะเกิดชุมชนใหม่ขึ้น
อีกอย่างเมืองไทยมีแนวโน้มจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องเพราะเมืองไทยเป็นเมืองสงบ เหมาะกับการตั้งฐานการผลิตด้านอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ดวงเมืองจะเจริญก้าวหน้ามากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับดวงผู้นำประเทศด้วย หากดวงของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้มแข็งจะพาชาติและเศรษฐกิจไทยรุ่งเรือง
กำเนิดพระราหู
ส่วนประวัติและตำนานของพระราหูนั้น จากการสืบค้นข้อมูลของ ผู้จัดการออนไลน์ ทำให้พบว่า เรื่องราวของราหูนั้นมีอยู่หลายภาคส่วนด้วยกัน
ตำนานแรกมีอยู่ว่า..
เมื่อครั้งที่เทวดาและอสูรช่วยกันกวนเกษียรสมุทร เพื่อให้ได้น้ำอมฤตซึ่งเมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะไม่มีวันตาย คือ มีชีวิตเป็นอมตะ แต่เมื่อได้น้ำอมฤตมาแล้ว พวกเทวดาเล่นไม่ซื่อเก็บน้ำอมฤตไว้ดื่มกันเองไม่แบ่งให้พวกอสูร
มีอสูรตนหนึ่งนามว่า "ราหู" ไม่ยอมให้เทวดาองค์ไหนเอาเปรียบได้ง่ายๆ เนื่องจากราหูมีร่างกายใหญ่โต แตกต่างจากอสูรทั้งหลายและมีอิทธิฤทธิ์มาก มีตำแหน่งเป็นถึงอุปราชแห่งอสูรพิภพ จึงไม่กลัวเกรงเทวดาหน้าไหนทั้งนั้น
อสูรราหูจึงได้ปลอมตัวเข้าไปปะปนกับพวกเทวดา และร่วมดื่มน้ำอมฤตด้วย แต่เนื่องจากอสูรไม่ใช่เทวดา จึงมีหางเป็นนาค หรือ งู เมื่อปลอมตัวเข้าไปเก็บหางไม่มิด จึงถูกพระอาทิตย์กับพระจันทร์จับได้ และนำเรื่องไปฟ้องพระนารายณ์ พระนารายณ์ทรงพิโรธมากจึงขว้างจักรไปตัดตัวราหูขาดเป็นสองท่อน
แต่เนื่องจากราหูได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปแล้วแม้ร่างจะขาดเป็นสองท่อนก็ยังไม่ตาย ท่อนบนที่เหลือครึ่งตัวยังเป็นราหูอยู่ ส่วนครึ่งตัวท่อนล่างได้กลายเป็นอสูรอีกตนหนึ่งชื่อว่า เกตุ (ดาวเกตุหนึ่งในกลุ่มดาวนพเคราะห์) ด้วยเหตุนี้ราหูจึงมีความอาฆาตพยาบาทต่อพระจันทร์และพระอาทิตย์เป็นอย่างมาก ถ้าพบกันเมื่อไหร่ก็จะพยายามกลืนกินทันที
ดังนั้น เมื่อเกิดจันทรคราส หรือ สุริยคราสขึ้นเมื่อใด คนโบราณก็จะบอกลูกหลานให้ช่วยกันตีเกราะเคาะไม้เพื่อให้ราหูตกใจ จะได้คายพระจันทร์ หรือ พระอาทิตย์ออกมา
นอกจากนิยามปรัมปราของชาวอินเดียแล้ว ยังมี นิยายของชาวไทย ช่วยแต่งเติมเรื่องราวเกี่ยวกับราหูอมจันทร์ให้วิจิตรพิสดารขึ้นไปอีก คือ เล่าเรื่องในอดีตชาติของอสูรราหู พระจันทร์ และพระอาทิตย์ไว้ว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเป็นศัตรูกันนี้ ทั้งสามเคยเกิดเป็นพี่น้องท้องเดียวกันมาก่อน โดยเกิดเป็นลูกเศรษฐี เมื่อบิดาเสียชีวิต บุตรทั้งสามได้นิมนต์พระมาทำบุญที่บ้าน พี่ชายคนโตตักบาตรด้วยขันทอง พี่ชายคนกลางตักบาตรด้วยขันเงิน ส่วนน้องคนเล็กตักบาตรด้วยกระบุง
ครั้นพี่น้องทั้งสามตายไป พี่ชายคนโตไปเกิดเป็นพระอาทิตย์ มีผิวสุกปลั่งเป็นสีทอง พี่ชายคนกลางไปเกิดเป็นพระจันทร์ มีผิวพรรณขาวนวลเป็นสีเงิน เพราะตักบาตรด้วยขันเงิน ส่วนน้องคนเล็กไปเกิดเป็นราหูมีร่างกายกำยำดำมืด เพราะตักบาตรด้วยกระบุง เมื่อพี่น้องทั้งสามเกิดมาแล้ว ระลึกชาติได้ สำหรับพี่ชายคนโตและคนกลางที่ได้เกิดใหม่เป็นพระอาทิตย์ พระจันทร์ ต่างก็มีความพึงพอใจในสรีระอันงดงามของพวกตน
ยกเว้นน้องคนเล็กที่เกิดเป็นราหู รูปชั่วตัวดำ ให้รู้สึกน้อยใจนักที่ตนเองอุตส่าห์ทำบุญเหมือนกัน แต่มาถือกำเนิดในร่างกายที่น่าเกลียด จึงคิดอิจฉาพี่ชายทั้งสองที่งดงามกว่าตน ฉะนั้นยามใดที่มีโอกาสก็จะพยายามจับพระจันทร์ และพระอาทิตย์กลืนกินเสีย แต่ก็ไม่สำเร็จสักครั้งเพราะมนุษย์กลัวโลกจะมืดจึงส่งเสียงขับไล่ จนราหูทนฟังไม่ไหวต้องคายพระอาทิตย์ หรือ พระจันทร์ออกมา
วรรณกรรมทางพุทธศาสนาก็มีเรื่องราวกล่าวถึงราหูกลืนกินพระอาทิตย์ พระจันทร์ไว้เหมือนกัน โดยเล่าไว้ว่า ราหูกลัวพระพุทธเจ้ามาก เมื่อราหูจับพระจันทร์ได้ พระจันทร์ก็จะระลึกถึงพระพุทธเจ้า ขอให้พระพุทธองค์เป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงราหูว่า พระจันทร์ถือพระองค์เป็นที่พึ่งแล้ว ขอให้ปล่อยพระจันทร์เสีย เท่านั้นแหละ ราหูก็ตกใจปล่อยพระจันทร์ทันที เมื่อจับพระอาทิตย์ได้ก็เป็นอย่างเดียวกัน เพราะพระอาทิตย์ก็ถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเช่นเดียวกัน
สำหรับของดำ 8 อย่างที่มีผู้นิยมนำไปไหว้ราหูประกอบด้วย 1.ไก่ดำหรือองุ่นดำ 2.เหล้าดำ 3.กาแฟดำ 4.เฉาก๊วย 5.ถั่วดำ 6.ข้าวเหนียวดำ 7.ขนมเปียกปูน และ 8.ไข่เยี่ยวม้า โดยมีความเชื่อว่าสามารถสะเดาะเคราะห์ได้
.....................................
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9480000034945
_________________
"อย่าลืมตัว อย่าลืมปัจจุบัน อย่าลืมปฏิบัติ"
สายลม
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245
ตอบเมื่อ: 12 มี.ค.2005, 5:12 pm
ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ส่วนตัวแล้วก็เฉยๆ กับเรื่องราวเหล่านี้ และไม่ตั้งเพื่อให้คนอื่นเชื่อในสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งดีที่ควรเชื่อควรนำไปปฏิบัติตามนั้นมีอยู่มากมายแล้วในพระพุทธศาสนา สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่นอกพระพุทธศาสนา
ตั้งกระทู้นี้ เพราะไปอ่านเจอในเว็บหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และเป็นเรื่องราวที่เรา ๆ ท่านๆ ก็คงจะได้รับทราบกันมาแล้ว จึงได้นำเรื่องราวเหล่านี้มาโพสไว้ในกระดานสนทนาแห่งนี้ เพื่อการจะนำเรื่องราวเหล่านี้มาพูดในเชิงแนวความคิดของพระพุทธศาสนาโดยตรง ไม่อิงหลักความเชื่อทางศาสนาอื่น หรือไสยศาสตร์
ฉะนั้นจึงขอให้ท่านที่มีความรู้ความเข้าใจ ได้พูดคุยในเรื่องนี้ เพื่อผู้ที่ผ่านเข้ามาคลิกอ่านบทความนี้ได้มีความรู้ความเข้าใจที่แจ่มแจ้งชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องราวความเชื่อในเรื่องนี้นะครับ
amai
บัวบาน
เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435
ตอบเมื่อ: 14 มี.ค.2005, 5:19 pm
จริงค่ะไปไหว้ราหูกันเพียบเลยค่ะ
อมัยยังไปเลย ทำไงได้ค่ะ คนส่วนใหญ่จิตใจอ่อนแอ
ก็ต้องมีที่พึ่งทางใจ กันไว้ดีกว่าแก้นี่ค่ะ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th