ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
12 มี.ค.2005, 9:24 am |
  |
...........ทูรํ คมํ เอกจรํ อสรีรํ คุหาสยํ............
...........เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสญฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.......
ผู้ใดจักสำรวมระวังจิต ที่ท่องไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำ
คือกายนี้ เป็นที่อาศัย ผู้นั้นจะพ้นบ่วงแห่งมาร.
|
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
12 มี.ค.2005, 10:13 am |
  |
>>ธรรมชาติ รู้ อย่างหนึ่ง ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ตัวตนเราเขา มีขื่อเรียก ได้หลายชื่อ มี จิตฺตํ มโน มานสํ หทยํ วิญญาณํ มนํ
>>เรียกตามหน้าที ที่จิตไปรับรุ้อารมณ์ทางทวาร 6
>>ท่านเปรียบการรับรุ้นั้น เหมือน แม่ทัพนายกอง ถ้าทำหน้าทีในสนามรบก้เรียกอีกอย่าง พออยุ่บ้านกะครอบครัวก็เรีอกอีกอย่าง ฯลฯ |
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
12 มี.ค.2005, 1:41 pm |
  |
ต่อจากเวบ บุดเปจ
ขอเน้นว่า การเจริญสตินั้น ต้องๆ ต้องมีคำบริกรรมตามกัมมัฏฐานที่เรา ถนัด
(สติปัฏฐานจะเกิดได้ต้องมีการภาวนา)
จะภาวนาว่า....
พุทโธ ธัมโม สังโฆ ฯลฯ (ท่องในใจ)
>>แต่ที่รู้กันโดยทั่วไปได้แก่ พอง-หนอ ยุบ-หนอ พุท-โธ
บริกรรมเพิ่ยงเท่านี้ก็เป็นสมถะทั้งสอง จนกว่า จะถึง อุทยพพยญาณ
อุทย+วย+ญาน= ปัญญาเห็นการเกิด และการดับไปของนาม-รูป |
|
|
|
|
 |
มาดู
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
12 มี.ค.2005, 3:38 pm |
  |
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
12 มี.ค.2005, 6:20 pm |
  |
และการทำทีให้สติปัฏฐานเกิด ต้องบริกรรมภาวนา ให้ครบทุกข้อในขณะ นั้นๆ เดี๋ยวนั้น (ไม่ใช่ทำทีละอย่าง ทำทีละข้อ)
>>ตัวอย่าง เช่น เราบริกรรมด้วยวิธีใดตามถนัด ตามจริตของตน บริกรรมไป 100 หน 1000 หน ทำมาก ๆ
>>จะยกพอง-ยุบเป็นตัวอย่าง อย่างอื่น ๆ ก็ทำลักษณะนี้
>>เดินจงกรม 15 นาทีแล้ว (เดินจงกรมจะกล่าวตอนต่อไป)
>>กำหนดบริกรรมรูปนั่ง นั่งขัดสมาธิวางมือไว้บนตัก มือไหนทับมือไหน ไม่สำคัญตามสะดวก (หรือจะนั่งบนเก้าอี้ก็ได้ท่านั่งท่าดังกล่าวไปถนัด) เลือกเอาท่าที่นั่งทนที่สุด และถูกสุขลักษณะที่สุด
มีต่อ
|
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
12 มี.ค.2005, 6:49 pm |
  |
>>เมื่อจัดท่านั่งได้เหมาะแล้ว หลับตาลงเบาๆ ถ้าพุท-โธ เอาสติมาแบบพุท-โธ
ถ้าพอง-ยุบ เอาสติมาจับที่อาการท้องพอง ท้องยุบ เป็นหลัก
>>หายใจเข้าท้องพองบริกรรมว่า พอง.......(สุดพอง) หนอ ท้องยุบลง เอาสติตามยุบไป ภาวนาในใจว่า ยุบ......(สุดยุบ) หนอ ทำไปเรื่อยๆ
>>ขณะกำลังบริกรรมพอง-หนอ ยุบ-หนอ อยุ่นั้น เกิดฟุ่งซ่านขึ้นมา ปล่อยอารมณ์คือพอง-ยุบก่อน
>เปลี่ยนมาเอาความฟุ่งซ่านเป็นอารมณ์บริกรรมแทน ว่า ฟุ้งซ่านหนอๆ ๆ ๆ ทำไปจนมันหาย ถ้าไม่หายเดี๋ยวนั้น พอจาง ๆ ลง ก็ปล่อย ไปเกาะ อารมณ์หลัก คือพอง-ยุบ ภาวนาไปตามเดิม พอง-หนอ ยุบ-หนอ ไปเรือยๆ (เป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีความฟุ่งซ่าน (ธรรมะ) เป็นอารมณ์ตอนนั้น)
มีต่อ
|
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
12 มี.ค.2005, 7:03 pm |
  |
......บริกรรมพอง-หนอ ยุบ-หนอ ไปเรือย ๆเหมือนก่อน
>>เกิดปวดขาขึ้นมา รู้ตัว ละจากอารมณ์หลัก (พองยุบ) ก่อนไปเกาะอาการปวดเป็นอารมณ์ภาวนาต่อ ว่า ปวดหนอ ๆ ๆ ๆ จนหายไปหรือจางลง กลับไปที่เก่า คือพอง-ยุบ ภาวนาในใจว่า พอง-หนอ ยุบ-หนอ ต่อไปเหมือนก่อน (เป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน = มีทุกขเวทนาเป็นอารมณ์)
>ภาวนาอารมณ์หลักต่อไป พอง-หนอ ยุบ-หนอ ๆ ๆ ไปเรือยๆ
.>ความคิดมันแว๊บไปนอกอารมณ์หลัก รู้ตัว ว่า คิด บริกรรมภาวนาว่า คิดหนอๆ ๆ ความคิดจาง หรือหายไป กลับมาที่เดิม พอง-หนอ ยุบ-หนอ ต่อไป
(เป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน= มีความคิด (จิต) เป็นอารมณ์)
|
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
12 มี.ค.2005, 7:24 pm |
  |
บริกรรมภาวนาต่อไป
พองหนอ-ยุบ-หนอ ไปเรือยๆ เอาความรู้สึกตัว เกาะไว้ กะท้องพอง ท้องยุบ (เป็น กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน= มีกายเป็นอารมณ์ )
เป็นอันว่า ขณะที่นั่งบริกรรมนี่ จะกี่นาทีก็ตาม ภาวนา (เจริญ) สติปัฏฐนเกิดได้ครบ
.....อารมณ์ใดๆ เกิดขึ้นจำเพาะหน้า พระโยคีฉวยเอาอารมณ์นั้นๆ มาบริกรรม ทำไป 100 หน 1000 หน เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี
>>ขนาดนี้ก็ยังเป็นสมถะไม่ว่า จะใช้วิธีใด ๆ
......พระโยคีทำไปเนือง ๆ เมือองค์ธรรม 5 คือ อินทรีย์ 5 ได้แก่ 1 สัทธินทรีย์ 2 วิริยินทรีย์ 3 สตินทรีย์ 4 สมาธินทรีย์ 5 ปัญญินทรีย์ แก่กล้าขึ้นตามลำดับก็....
หมายเหตุ......การดูตามดูรู้ทันกาย มีอิริยาบท 4 คือ ยืน เดิน นั่ง นอน
อิริยาบทย่อย ๆ ไม่ว่าจะคู้แขน เข้า เหยี่ยดออก เคลือนไหวกายไปที่ใดๆ เป็นกายานุปัสสนาหมด
มีต่อ
|
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
12 มี.ค.2005, 7:45 pm |
  |
ผู้ทีทำแบบพุท-โธ ก็ใช้ภาวนาสติปัฏฐานได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่จุดกำหนดรู้ลมเท่านั้นต่างกัน
.....กัมมัฏฐานมี 2 คือ
........1 สมถกัมมัฏฐาน
........2 วิปัสสนากัมมัฏฐาน
ถามว่า จะรู้ได้อย่างไร ว่าตรงไหน เป็นสมถะ ตรงไหนเป็นวิปัสสนา
รู้ได้
มีต่อ
|
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
12 มี.ค.2005, 7:53 pm |
  |
....รู้ได้เมือถึง อุทยัพพยญาน
อุทย= เกิด
วย= ความเสื่อม
ญาน= ปัญญา (เกิดจากภาวนา = ภาวนามยปัญญา)
= อุทยัพพยญาน ปัญญาซึ่งเห็นการเกิดดับของนาม-รูป
ถ้าไม่เห็นก็เป็นสมถะ
ไม่ว่าจะทำหรือบริกรรมด้วยอุบายใดๆ
มีต่อ |
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
12 มี.ค.2005, 8:20 pm |
  |
การทำกัมมัฏฐานนั้น
ต้องประกอบด้วยการเดินจงกรม
จงกรม= คือ เดินกลับไปกลับมา
เช่นเดินสุดที่แล้วก็ค่อยๆหมุนตัวกลับมาทางเดิม
เดินกลับไปกลับอย่างนี้แหละเรียกว่าจงกรม
.>>การเดินจงกรมที่สมบูรณ์ต้องผูกสติไว้กับตัว ไว้กับการเคลื่อนไหว กายด้วย ไว้กับขาทีก้าวออกไป
|
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
12 มี.ค.2005, 9:03 pm |
  |
......เดินจงกรม
เราได้สถานที่แล้ว เช่นในห้องนอน ฯลฯ เป็นต้น
ยืนเก็บมือไขว่หลังหรือเอามาประสานกันไว้ข้างหน้าก้อได้
ยืนตรงๆ ใช้ความรู้สึกดูรูปยืน ภาวนาในใจว่า ยืนหนอ ๆๆๆ สำรวจดูให้เห็นรูปยืน คิดจะออกเดินภาวนาที่ความรู้สึก รู้หนอ ๆ จะก้าวขาไหนรู้ เช่นขาซ้าย ก็ซ้าย- ย่าง-หนอ ...ซ้าย (ยก ขึ้น).....ย่าง....(ก้าวเดิน)....หนอ ....(ถึงพื้น) เหมือนเดินปกติ ขวา ย่าง หนอ ก็ทำแบบขาซ้าย ผู้สติให้เกาะอยู่กะขาซ้าย ขาขวา ทุกย่างก้าว.
.....
|
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2005, 8:36 am |
  |
..........การเดินจงกรม
จงกรม = คือการเดินกลับไปกลับมา
....เดินอย่างผูกความรู้สึกไว้การเดินนั้น ๆ อิริยาบท 4 คือ ยืน เดิน นั่ง นอน และอิริยาบทย่อย ได้แก่การเคลื่อนไหวกายต่าง ๆ
.....อานิสงส์ (ผล) การเดินจงกรม มี 5 อย่าง (ค้นดูเองในเวบที่เกี่ยวกะศาสนาน่าจะมี)
....แต่บอกให้อย่าง 1 คือ ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง อาพาธน้อย...
.....เมือได้พี้นที่เดิน เช่นในห้องหรือมุมไหน ๆ ของบ้านก็ได้
.....เก็บมือโดยไขว่ไว้ข้างหลัง หรือ ประสานไว้ข้างหน้าก็ได้ เอาความรู้สึกดูอาการยืนนั้น ภาวนาในใจว่า ยืนหนอๆๆ คิด อยากเดินก็ภาวนาว่า รู้หนอๆๆๆ จะก้าวขาไหนอออก ก็ รู้หนอๆๆ
..... |
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2005, 1:38 pm |
  |
....ต่อการเดินจงกรม
จงกรม = คือการเดินกลับไปกลับมา
>...เดินโดยผูกความารู้สึกไว้กับอาการเดินนั้น ๆ
อานิสงส์การเดิน จงกรม มี 5 อย่าง
>(มีอะไรบ้างหาดูเองตามเวบที่เกี่ยวกะศาสนาโดยทั่วไป)
>บอกให้อย่าง 1 คือ ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง อาพาธน้อย ฯลฯ
...เมื่อได้พื้นที่ในบ้านนั่นแหละพอสควร ยืนตัวตรง เก็บมือโดยไขว่มือไว้ข้างหลังหรือ ประสานไว้หน้าก็ได้ บริกรรมในใจว่า ยืนหนอๆๆๆ คิดเดินจะเอาขาข้างใดออกก่อน ก็ว่า รู้หนอ ๆๆ ก่อนจึงค่อยเดิน
>ซ้าย ย่าง หนอ (ซ้าย เอาสติไว้ทีขา ซ้าย, ย่าง กำลังก้าวไป หนอ วางถึงพื้น เกินตามปกตินั่นแหละ )
> ขวา ย่าง หนอ ก็ลักษณ์เดียวกัน เดินไปสุดที่แล้ว คิด หยุด ก็รู้หนอๆ ๆ ก่อน หยุดเดิน ภาวนารูปยืน เหมือนทีผ่านมา หมุนตัวกลับหลัง ช้า ๆ
> ภาวนาว่า กลับหนอ ๆ หมุน ตัวไปภาวนาไป กลับหนอ ๆ ตรงทางเดินแล้ว ก็ภาวนาเหมือนเดินมาถึงจุดนี้ ขวา ย่าง หนอ ซ้าย ย่าง หนอ ไปสุดทีก็ปฏิบัติเหมือนเดิม เดินกลับไปกลับมาอย่างนี้ เรียกว่า เดินจงกรม
> เมือเดินครบเวลาทีกะไว้แล้ว เช่น 15 นาที จึงนั่งบริกรรมภาวนา เหมือนวิธีดังกล่าวมาแล้ว
มีต่อ
|
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2005, 1:41 pm |
  |
....สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ.
....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงยังสมาธิให้เกิด (เพราะ) ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว
(สมาธิ) ย่อมรู้ตามความเป็นจริง.
> มีสมาธิมี 2 อย่างคือ
>1 ขณิกสมาธิ
>2 อัปนาสมาธิ
>อัปปนาสมาธินั้น ท่านว่า เป็นสมาธิทีลึก มีตัวอย่างเช่น ฤาษี เข้าอัปปนาสมาธิ นี้แล้ว ขับเกวียนผ่าน 500 เล่มก็ไม่ได้ยิน
>แต่สมาธิที่กำลังเจริญนี้เป็นขณิกสมาธิ เพือให้เป็นบาทของวิปัสสนา เมื่อจิตไม่ตั้งมั่นแล้ว จะรู้ความจริงไม่ได้ดังพุทธภาษิตนั้น เพราะในองค์ธรรมะ 5 ซึ่งเป็นองค์ธรรม ของโพธิปักขิยธรรม 37 ก็มีสมาธิอยู่ด้วย เป็นสมาธิตัวนี้ ดู องค์ธรรม 5 มี สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ธรรมะ 5 นี้ พละก็ก็ได้ เป็น อินทรีย์
.....อย่าได้กลัวว่าทำอย่างนี้ (บริกรรมภาวนา) แล้วจะเป็นการทำสมาธิ ไม่ใช่วิปัสสนา
>กล่าวไว้ต้นๆ แล้วว่า จะทำโดยวิธีใดก็ตาม ถ้าไปไม่ถึง อุทยพพยญาน แล้วก็เป็นสมถะหมด
>หรือทำแบบว่า นั่งดูเฉย ๆ ไม่บริกรรมอย่างใด (โดยเข้าใจว่าเป็นวิปัสสนา) ถ้ายังไม่ อุทยพพยญาน ก็ไม่เป็นวิปัสสนา
มีต่อ
|
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2005, 2:23 pm |
  |
....ขออภัยที่ทำให้สับสน เรื่องเดินจงกรมเพราะความไม่รู้...เอง
หน้า1 โพสถึงหน้า 10 พิมพ์โพสใหม่ ไม่เห็นต่อ 11 นึกว่า ไม่ขึ้นให้เรา จึงไปตั้งกระทู้ใหม่เป็น....2
กลับมาสังเกตอีกที่....เห็นหน้า 2 พอตามไปดูไปขึ้นให้เราอยุ่นั่น
เป็นอันว่า เดินจงกรม ก็เป็นอย่างที่ขึ้นไว้ ความเห็นและจะได้ไปต่อไป คงจะต่อตรงนี้เลยไม่ไป.....2 แล้ว จะได้อยุ่เป็นกลุ่มเดียวกัน....
|
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2005, 2:42 pm |
  |
.....ควรรุ้จักเวทนา 3 นิวรณ์ 5 ด้วย เพราะผู้ทำกัมมัฏฐานต้องพบแน่ ๆ เมื่อกำลังผจญกะมัน....จะได้ไม่ตกใจ
..และแก้ได้ด้วยตนเอง
>เมื่อกำลังนั่งก็ดี เดินก็ตาม เวทนา 3 อย่างใดอย่างหนึ่งเกิด ต้องบริกรรมทันทีที่รู้ตัว
เวทนา 3 คือ 1 สุขเวทนา 2 ทุกขเวทนา 3 อุเบกขาเวทนา
รู้สึกว่า สุขสบายเกิดขึ้น บริกรรมในว่า สุข หนอ ๆ ๆ 3-4 ครั้ง แล้วกลับไปที่อารมณ์หลักตามที่กล่าวมมาแล้ว
> ทุกข์ / เฉย ๆ ก็เช่นกัน ทำตามแบบสุขเวทนา ฯลฯ บริกรรมตามความรู้สึก
...นิวรณ์ 5 มี คือ
1 กามฉันทนิวรณ์ 2 พยาปาทนิวรณ์ 3 ถีนมิทธนิวรณ์ 4 อุทธัจจะกุกกุจนิวรณ์ 5 วิจิกิจฉานิวรณ์
นิวรณ์ แปลว่า เครื่องกั้นหรือเครืองขัดขวางจิตไม่ให้ถึงคุณธรรม
|
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2005, 2:54 pm |
  |
กามฉันทะ= ยินดีพอใจในอิฏฐารมณ์
กาม ตัวนี้ มีความหมายกว้างกว่า ....ที่คิด รวมไปถึงความกำนัดยินดี ในอารมณ์ 6 ที่ผ่านมาด้วย มี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธัมมารมณ์ (ความตรึกทางใจ)
>นั่งบริกรรมไป 100 หน พันหน เห็นอะไรแว็บ ขึ้น ต้องบริกรรมว่า เห็นหนอ ๆ ๆ
> ได้ยินเสียงที่มากระทบหู จิตไปเกาะกะเสียงนั้น บริกรรมว่า เสียงหนอ ๆ ๆ ได้กลิ่น อะไร ก็กลิ่นหนอ ๆ ๆ หอม ก็ หอมหนอๆๆ เหม็น ก็ เหม็นหนอ ๆ ๆ
อย่างนี้เป็นตัวอย่าง
ในขณะที่กำลังบริกรรมอยุ่นั้น โพธิปักขิยธรรม ก็เกิดตามสมควรแก่การบริกรรม (การบริกรรมเท่าเจริญสติทุกครั้ง)
|
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2005, 3:07 pm |
  |
>ผู้เจริญด้วยวิธี พุท-โธ หรือด้วยวิธีใดก็ตาม ถ้าปรารถนาให้ สติปัฏฐานเกิดทุกข้อ (ครบ) ต้องทำแบบทีกล่าวนี้
> หากทำมุ่งไปอย่างเดียวก็เป็นสมถะแน่ ๆ
...ทำให้มาก เป็นวัน ๆ ละ หลาย ๆ ช.ม. เป็นเดือน ๆ แล้ว องค์ธรรมเป็นเครื่องแทงตลอด หรือองค์ธรรมเป็นเหตุรู้ จะรวมตัวกันเป็นหนึ่ง ผู้....จะก้าวเข้าสู่วิปัสสนาญาน.
>วิปัสสนาญาน = ปัญญาเห็นการเกิด- ดับของนามรูป
> วิ+ปสฺส+ยุ= อน
|
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2005, 6:32 pm |
  |
....เมือปฏิบัติตามที่บอกมา (สังเกตตนเอง) ว่าหลงลืมน้อยลงแล้ว บริกรรมต่าง ๆ ได้ชัดเจนพอประมาณแล้ว ขยับการนั่งและเดินขึ้นไปอีก 5 นาที เป็น 20 นาที คือ เดินภาวนา 20 นาที นั่งบริกรรมภาวนา 20 นาที
>>เท่ากับ เพื่ม อินทรีย์ เพืมพละธรรม
>>เป็นการปรับอินทรีย์ด้วย
ปรับอินทรีย์คือองค์ธรรมซึ่งเป็นอินทรีย์ 5 ที่กล่าวมาแล้ว ให้เท่าๆ กันมีวิธี
สัทธินทรีย์ + ปัญญินทรีย์ วิริยินทรีย์ + สมาธินทรีย์ สตินทรีย์ เจริญมากเท่าไรยิ่งดี
|
|
|
|
|
 |
|