Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ในการปฏิบัติบอกว่า ผู้ปฏิบัติจะต้องดำเนินตามอริยสัจสี่อยากท อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
บุญยงค์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 มี.ค.2005, 1:06 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อธิบายด้วยครับ
 
ยงค์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 มี.ค.2005, 1:43 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เอ--------- ป็นอริยสัจตรงไหนหว่าาาาาา
 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 มี.ค.2005, 5:40 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออธิบายอย่างนี้นะ



1 อ้างจากธรรมจักกัปวัตนสูตร



พระพุทธเจ้าทรงสอนปัญจวัคคีย์ให้รู้จักทางสายกลาง ทางสายกลางที่ว่าก็คือ ไม่ใช่เป็นทางที่ปฏิบัติด้วยวิธีการทรมานตนอย่างเช่นพวกฤๅษีสมัยนั้นพากันทรมานตน เพื่อทำให้ร่างกายมีความเป็นทุกข์ และมิใช่ทางที่ประกอบด้วยการบำเรอความสุขทางกามให้แก่ตนเอง





ทั้งสองทางนั้นถือว่าเป็นทางสุดโต่ง ส่วนทางสายกลางนั้นหมายความว่า ทางที่จะต้องปฏิบัติตามอริยมรรคที่มี องค์แปด (สังเกตให้ดีนะ ว่าทางปฏิบัติที่ทรงสอน คืออริยมรรคมีองค์แปด แล้วการปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปดนี่จะไปเข้าอริยสัจจ์ได้อย่างไร ตามที่สงสัย จะอิบายอริยมรรค ที่มีองค์แปดให้เข้าในอริยสัจจ์ให้ดู ขอให้ติดตามต่อไป

 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 มี.ค.2005, 5:53 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

2. อ้างความหมายของสัมมาทิฏฐิ



เมื่อปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปด ก็ต้องปฏิบัติตาม "สัมมาทิฏฐิ" สัมมาทิฏฐิที่แปลว่าความเห็นชอบคืออะไร เห็นอย่างไรจึงเรียกว่าเห็นชอบ



ในสติปัฏฐานสี่ว่า สัมมาทิฏฐิ คือความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความรู้ในธรรมเป็นที่ดับทุกข์ ความรู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์



ความรู้ในมรรคข้อแรกที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐินั้น เป็นการรู้ในอริยสัจจ์สี่นั่นเอง ดังนั้นการปฏิบัติจึงต้องศึกษาให้รู้อริยสัจจ์สี่เสียก่อนจึงนำไปปฏิบัติ เมื่อเป็นดังนี้ก็ไม่ต้องสงสัยว่าการปฏิบัติเป็นอริสัจจ์สี่ได้อย่างไร



อันแรกปฏิบัติตามหลักทางสายกลางเข้าไปยังมรรคก่อน และมรรคคือสัมมาทิฏฐินั้นก็ไปรู้ตัวอริยสัจจ์สี่ ซึ่งรวมทั้งรู้ในอริยมรรคนั่นเองด้วย



อาจมีคำถามว่าในการปฏิบัติ เช่นบริกรรมบ้าง เจริญสติด้วยการระลึกรู้สมหายใจเข้าออก จะเป็นอริสัจจ์สี่ได้ยังไง จะว่าต่อไป
 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 มี.ค.2005, 6:08 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในการปฏิบัติตามสติปัฏฐานสี่ ที่เจริญสติใน กาย เวทนา จิต ธรรม นั้น การเจริญสตินั้น



ถือว่าเป็น "สัมมาสติ" ในมรรคแปด



ผลจากการเจริญสตินั้นทำให้มีสมาธิเรียกว่า"สัมมาสมาธิ"



การอบรมสมาธิทำให้เกิดปัญญายิ่งขึ้น เพื่อจะเห็นอริยสัจจ์ในระดับที่ชัดเจนมากขึ้น เรียกว่า"สัมมาทิฏฐิ"อีกครั้งหนึ่ง



ในการเจริญสมาธิ ต้องใช้ความเพียรเพื่อให้เกิดสมาธิ คือต้องสำรวมอินทรีย์ที่เรียกว่า"สังวรศีล" คือดำริไม่พยาบาท ดำริออกจากกาม ดำริไม่เบียดเบียน"คือ "สัมมาสังกัปปะ"ในอริยมรรค



ถ้าจะว่าไปก็ยาวไปเรื่อยๆถึงมรรคทั้งหมด



เนื่องจากไม่มีเวลาจึงสรุปว่า ในเรื่องของทุกข์ สมุหทัย นิโรธที่ไม่กลาวถึงนั้น ก็ให้เอาจากสัมมาทิฏฐิที่เห็นว่า เป็นการเห็นในอริยสัจจ์สี่นั้น เป็นการเห็นอริยสัจจ์สี่ไปแต่ในละระดับ จนเกิดวิปัสสนาญาณเห็นไตรลักษณ์ก็ถือว่าเป็นการเห็นทุกข์ (แม้จะเห็นอนิจจัง หรืออนัตตา ก็ถือว่าเห็นทุกข์ด้วย เพราะเมื่อเห็นสิ่งหนึ่งย่อมเข้าใจในสิ่งหนึ่ง ถือว่าเห็นไตรลักษณ์ไปทั้งหมดด้วย)



ดังนั้นปัญญาที่จะเกิดในวิปัสสนาญาณทั้งหมดจึงครอบคลุมในอริยสัจจ์สี่ นี่เรียกว่าการปฏิบัติดำเนินไปตามอริยสัจจ์สี่
 
ยิ้ม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 08 มี.ค.2005, 6:17 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

 
ppj
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 08 มี.ค.2005, 12:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อริยะสัจ คือความจริงอันประเสริฐ อาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน ในการร่วมวงสนธนา อย่าเชื่อใครโดยไม่ไตร่ตรองนะ
 
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 08 มี.ค.2005, 8:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน





สาธุๆๆ ด้วยครับ



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 มี.ค.2005, 11:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เจริญอริยสัจจ์สี่ตามในธัมมจักกัปวัตนสูตร ดังนี้ก็ได้

(รอบ3 อาการ 12) ดูบทสวดมนต์ประกอบ



1 เจริญในทุกข์อริยสัจจ์ ด้วยปริญญากิจ

รอบที่ 1 สัจจญาณ อาการ 1

รอบที่ 2 กิจจญาณ อาการ 2

รอบที่ 3 กตญาณ อาการ 3

2 เจริญในสมุทัยอริยสัจจ์ ด้วย ปหานกิจ

รอบที่ 1 สัจจญาณ อาการ 4

รอบที่ 2 กิจจญาณ อาการ 5

รอบที่ 3 กตญาณ อาการ 6

3 เจริญในนิโรธอริยสัจจ์ ด้วย สัจฉิกิจ

รอบที่ 1 สัจจญาณ อาการ 7

รอบที่ 2 กิจจญาณ อาการ 8

รอบที่ 3 กตญาณ อาการ 9

4 เจริญในนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรค) ด้วยภาวนากิจ

รอบที่ 1 สัจจญาณ อาการ 10

รอบที่ 2 กิจจญาณ อาการ 11

รอบที่ 3 กตญาณ อาการ 12



หมายเหตุ สัจจญาณ หมายถึงญาณหยั่งรู้ในอริยสัจจ์ กิจจญาณ หมายถึงญาณหยั่งรู้กิจในอริยสัจ กตญาณ หมายถึงญาณหยั่งรู้กิจอันได้ทำแล้วในอริยสัจจ์



รอบสามอาการ 12 หรือญาณ 12 ในธรรมจักกัปวัตนสูตรเป็นดังนี้
 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 11 มี.ค.2005, 4:45 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



หมายเหตุตามความเห็นที่ 8 ได้กล่าวถึงอาการ 12 จึงได้ยกบทสวดมนต์ในธัมจักกัปวัตนสูตรมา และแยกให้เห็นอาการ 12 ที่อยู่ในบทสวดมนต์ใชดเจนว่าเป็นการปฏิบัติตามอริสัจจ์สี่ ที่เป็นการปฏิบัติตรงตามนั้นอย่างแท้จริง









อาการ 1



อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ดวงตาคือ ปัญญาเห็นธรรม และการกำหนดรู้ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราอย่างนี้ว่า "ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความเศร้าโศก ความร่ำไรรำพัน ความเสียใจ และความคับแค้นใจ เป็นตัวทุกข์อย่างแท้จริง" ฯ



อาการ 2





ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า "ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหล่านี้เป็นต้น อันเป็นตัวทุกข์อย่างแท้จริงนั้นแล เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ตลอดเวลา" ฯ



อาการ 3



ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือ ปัญญาเห็นธรรม และการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้งและความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า "ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหล่านี้เป็นต้น อันเป็นตัวทุกข์อย่งแท้จริงนี้นั้นแล เราได้หยั่งรู้ด้วยปัญญาโดยตลอดแล้ว" ฯ





อาการ 4



อิทัง ทุกขะสุมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรม และการกำหนดรู้ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่างในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วอย่างนี้ว่า "ตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดที่มีอยู่ในใจนี้ เป็นเหตุทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริง" ฯ



อาการ 5



ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า "ตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดที่มีอยู่ในใจ อันเป็นเหตุทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริงนี้นั้นแล เป็นสิ่งที่ต้องละให้ขาด" ฯ



อาการ 6



ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะ*นันติ (ให้อ่านว่า ปะฮีนันติ..Amine) เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า "ตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดที่มีอยู่ในใจ อันเป็นเหตุทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริงนี้นั้นแล เราได้ละขาดไปจากใจแล้ว" ฯ





อาการ 7



อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วอย่างนี้ว่า "การดับตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดนี้ให้หมดไปจากใจ คือ การดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง" ฯ





อาการ 8



ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า "การดับตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดนี้ให้หมดไปจากใจ คือ การดับทุกข์ได้อย่างแท้จริงนี้นั้นแล เป็นสิ่งที่ต้องทำให้แจ้งในใจตลอดเวลา" ฯ





อาการ 9



ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า "การดับตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดนี้ให้หมดไปจากใจ คือ การดับทุกข์ได้อย่างแท้จริงนี้นั้นแล เราได้ทำให้แจ้งในใจอยู่ตลอดเวลาแล้ว" ฯ





อาการ 10



อิทัง ทุกขะนิโรธคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วอย่างนี้ว่า "มรรคคือทาง ๘ ประการ เป็นข้อปฏิบัติให้ทุกข์ดับไปจากใจได้อย่างแท้จริง" ฯ



อาการ 11



ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วอย่างนี้ว่า "มรรคคือทาง ๘ ประการ อันเป็นข้อปฏิบัติให้ทุกข์ดับไปจากใจได้อย่างแท้จริงนี้นั้นแล เป็นธรรมที่ต้องทำให้มีในใจไว้ตลอดเวลา" ฯ





อาการ 12



ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วอย่างนี้ว่า "มรรคคือทาง ๘ ประการ อันเป็นข้อปฏิบัติให้ทุกข์ดับไปจากใจได้อย่างแท้จริงนี้นั้นแล เราได้ทำให้มีในใจไว้ตลอดเวลาแล้ว" ฯ



จบอาการ 12 หรือ ญาณ 12













ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความจริง ๔ อย่าง อันทำให้ใจ*งไกลจากกิเลสนี้ ถ้าหากเรายังไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง โดยอาการหมุนเวียนแห่งปัญญาญาณ ครบ ๓ รอบทั้ง ๔ อย่าง รวมเป็นอาการ ๑๒ รอบ

( อาการ ๑๒ รอบนี้ เรียกว่า ญาณ ๓ คือ



1. สัจจญาณ : การหยั่งรู้ให้ทราบชัดในความจริงแต่ละอย่างในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ว่าเป็นทุกข์แท้จริง , ตัณหาคือเหตุเกิดทุกข์แท้จริง , การดับตัณหาคือการดับทุกข์ได้แท้จริง , มรรคคือ ทาง ๘ ประการเป็นข้อปฏิบัติให้ทุกข์ดับไปจากใจได้อย่างแท้จริง



2. กิจจญาณ : การหยั่งรู้ให้ทราบชัดว่า จะต้องทำอย่งไรกับความจริงแต่ละอย่างนั้น ว่า ตัวทุกข์ควรต้องกำหนดรู้ตลอดเวลา , ตัณหาต้องละให้ขาด , การดับตัณหาเป็นสิ่งที่ต้องทำให้แจ้งในใจตลอดเวลา , มรรค ๘ เป็นธรรมที่ต้องทำให้มีในใจไว้ตลอดเวลา และ



3. กตญาณ : การหยั่งรู้ว่าได้ทำหน้าที่ทุกอย่างในความจริงแต่ละอย่างนั้นได้โดยบริบูรณ์แล้ว คือ ทุกข์รู้ด้วยปัญญาโดยตลอดแล้ว , ตัณหาได้ละขาดไปจากใจแล้ว , การดับตัณหาได้ทำให้แจ้งในใจตลอดเวลาแล้ว , มรรค ๘ ได้ทำให้มีในใจไว้ตลอดเวลาแล้ว )



 
บุญยงค์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 11 มี.ค.2005, 9:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ ขอขอบคุณอนุโมทนาทุกท่านครับที่ได้ให้ความกระจ่าง
 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 มี.ค.2005, 3:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การพิจารณาธรรมตาม"ธัมมจักกัปวัตนสูตร" นี้เมื่อพิจารณาแล้ว ไม่ได้พิจารณาตามลำดับของอาการ 1 ถึง 12 ตามที่ได้เรียงลำดับอาการ 1 ถึง 12 ไว้ดังข้างต้น



แต่พิจารณาตามลำดับตามรอบ 3 รอบ คือ



รอบที่ 1 พิจารณา 4 อาการ คือพิจารณา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และ มรรค

รอบที่ 2 พิจารณา 4 อาการ พิจารณาในทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค

รอบที่ 3 พิจารณา 4 อาการ พิจารณา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เช่นเดียวกัน



ในรอบหนึ่งจะพิจารณาในกิจของอริยสัจจ์สี่ตามกิจของญาณ หรือพิจารณาดังนี้

รอบที่ 1 พิจารณา อาการ 1,อาการ4,อาการ7,และอาการ 10

รอบที่ 2 พิจารณา อาการ2,อาการ5,อาการ8,และอาการ11

รอบที่ 3 พิจารณา อาการ 3 อาการ 6,อาการ 9 และอาการ 12



เพราะฉะนั้นอาจเรียงอาการใหม่ตามรอบก็สามารถจะทำได้ แต่ไม่เป็นไปตามลำดับในบทสวดมนต์ของธัมมจักกัปวัตนสูตร แต่ให้เข้าใจว่าการพิจารณาให้เรียงตามรอบตามควาเห็นที่ 11 นี้
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง