Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 บุญแห่งการภาวนา : ศิยะ ณัญฐสวามี อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 21 มี.ค.2008, 9:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

บุ ญ แ ห่ ง ก า ร ภ า ว น า
ศิยะ ณัญฐสวามี (ดร.ไชย ณ พล)

ภาวนา คือการทำให้เกิดขึ้น
ภาวนา นี้จะเชื่อมโยงกับ ตบะ
ตบะ แปลว่า การทำให้ตั้งมั่น


ตัวภาวนาเองคือทำให้เกิดขึ้น
ทำอะไรให้เกิดขึ้น ทำสมาธิทำปัญญาให้เกิดขึ้น
เราจะได้ยินอยู่ ๒ คำก็คือ

สมถะภาวนา กับ วิปัสสนาภาวนา
ทั้งสองอันนี้มีจุดมุ่งหมายอันเดียวกัน
คือ ต้องการให้เกิดสมาธิและปัญญา
สมาธิและปัญญามันจะเชื่อมต่อกัน
เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งรวมกัน


ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ที่ ถู ก ต้ อ ง

สติเป็นพื้นฐานของสมาธิ
สมาธิเป็นพื้นฐานของปัญญา
สติสัมปชัญญะ คือทำความรู้ตัวทั่วพร้อมให้ปรากฏ
เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งรวมกัน
สติสัมปชัญญะจะทำให้เกิดสติ สมาธิ ปัญญา โดยธรรมชาติ

สติสัมปชัญญะจำให้กลับมารู้จักตนเอง
ส่วนสติปัญญาจะทำให้เข้าใจความเป็นจริง
สมาธิกับปัญญานั้น มันเป็นตัวเสริมซึ่งกันและกัน
หมายความว่า ถ้าเรามีสมาธิมาก
ปัญญาของเราก็จะยิ่งกว้างใหญ่ไพศาล
พอเรามีปัญญามากเราก็จะยิ่งเข้าสมาธิได้ลึกซึ้ง

สมถะกับวิปัสสนาคือสองสิ่งที่จะต้องไปด้วยกัน
เหมือนคนละด้านของเหรียญเดียวกัน
คือด้านหัวกับด้านก้อย


ในขณะที่เราหงายด้านหัวขึ้น
ก็ต้องมีด้านก้อยรองรับ
ขณะที่หงายด้านก้อยขึ้น
ก็ต้องมีด้านหัวรองรับ
หมายความว่าในขณะที่เราเจริญวิปัสสนาให้ได้ผล
เราจะต้องมีสมถะรองรับเสมอ


ถ้าจะเปรียบอีกอย่างได้อย่างนี้

วิ ธี ก า ร ป ฏิ บั ติ ท า ง จิ ต ใ จ

สมถะเหมือนการเดินหน้าเข้า คือ ดำดิ่งจิตไปเลย
ทำให้จิตสงบดิ่งมั่งมั่นลง
ไปสู่ความสงบ ความเวิ้งว้าง ความบริสุทธิ์
เรียกว่าเดินหน้าเข้า
ส่วนวิปัสสนาเหมือนถอยหลังเข้ามองข้างนอกก่อน เช่น

มองโลกเป็นของไม่เที่ยง ปล่อยวางโลก
มองสังคมเป็นของไม่เที่ยง ปล่อยวางสังคม
มองร่างกายเป็นของไม่เที่ยง ปล่อยวางร่างกาย

มองความคิดก็ไม่เที่ยง ปล่อยวางความคิด
มองความรู้สึก ความรู้สึกก็ไม่เที่ยง ปล่อยวางความรู้สึก


เมื่อปล่อยไปเรื่อยๆ
มันก็เข้าไปสู่ความสงบลึกล้ำเหมือนกัน
พอเข้าไปสู่ความสงบล้ำลึกก็ได้ปัญญาญาณอันยิ่งใหญ่เช่นกัน


ฉะนั้นสมถะเหมือนเดินหน้าเข้า
วิปัสสนาเหมือนเดินถอยหลังเข้า
แต่มันเข้าไปสู่ที่เดียวกัน
คือ มันเข้าไปสู่ความสงบ
ความสะอาดหมดจด

พอมันสะอาดหมดจดมันจึงเป็นบุญ
เพราะบุญคือการชำระให้บริสุทธิ์


ฉะนั้นสมถะกับวิปัสสนาต้องไปด้วยกันและอาศัยกันและกันเสมอ
เพราะข้างหน้าข้างหลังเป็นอยู่ด้วยกันตลอด


เพราะมันคือสองด้านของสิ่งเดียวกัน

คือมันไปด้วยกัน
เพียงแต่จะเอาด้านไหนไปด้วยกัน
ด้านไหนเป็นตัวตามเท่านั้น
แต่มันต้องติดตามกันไปตลอดไม่อาจพรากจากกัน
ถ้าพรากจากกันเมื่อไรก็หลุดจากกรรมฐาน

(มีต่อ)
 


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 21 มี.ค.2008, 10:26 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 21 มี.ค.2008, 9:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ผ ล า นิ ส ง ส์ ข อ ง ก า ร ภ า ว น า

เมื่อภาวนา คือการทำให้เกิดขึ้น
ทีนี้รู้อะไรที่เราต้องทำให้เกิดขึ้น
พระพุทธเจ้าบอกว่า เมื่อเราภาวนาแล้ว
เราสามารถทำสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นได้ คือ

๑. ความสุข : ความสุขเกิดขึ้นแน่ๆ จากการภาวนา
๒. ปัญญา : ปัญญาเกิดขึ้นแน่ๆ จากการภาวนา
๓. อำนาจ : มันจะมีพลังอำนาจเกิดขึ้นจากการภาวนา
๔. ความบริสุทธิ์ : ถ้าเราภาวนาไปเรื่อยๆ จะเต็มรอบโดยลำดับขึ้น


ทั้งหมดนี้ คือขบวนการแห่งบุญอันเกิดจากการภาวนา

คิดดู ความสุขใครไม่ต้องการ
ปัญญาใครไม่ต้องการ อำนาจในตนเองใครไม่ต้องการ
ความบริสุทธิ์ใครไม่ต้องการ
ทั้งหมดนี้ คือสุดยอดของคุณค่าแห่งชีวิตเลยทีเดียว
เราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้โดยการภาวนา

วิ ธี ก า ร ภ า ว น า

ทำอย่างไรล่ะ เราจึงจะภาวนาให้ได้ผล
และภาวนาวิธีไหนให้ดีที่สุด
ถ้าภาวนาหลายๆ วิธีตีกันไหม
อันนี้เป็นคำถามที่ได้ยินได้ฟังมามาก


เคยตั้งใจไว้ว่า จะฝึกภาวนาทุกวิธีที่มีสอนอยู่ในโลกนี้

ก็ไปฝึกมาเกือบหมดเกือบทุกศาสนา
ไปฝึกจากหลายๆ อาจารย์
กับฤาษีหลายท่าน
กับพระหลายท่าน
ฝึกตามคัมภีร์หลายคัมภีร์ในหลายศาสนา
และตามเทคนิคในศาสตร์สมัยใหม่ต่างๆ มามากมาย

จึงได้พบความจริงว่า

เทคนิคต่างๆของการฝึกจิต
มันก็เหมือนอาหารต่างๆ แต่ละประเภท


พอเรากินหลายๆ อย่างไป
ถามว่าอาหารมันตีกันไหม

มันก็ไม่ได้ตีกัน
มันกลับไปผสานสร้างคุณสมบัติของเราให้เข้มแข็ง
แข็งแกร่งและพร้อมรับทุกสภาพ
เพราะในเทคนิคการฝึกแต่ละวิธีมันให้ผลไม่เหมือนกัน

สารแต่ละประเภทมันทำงานไม่เหมือนกัน
การฝึกจิตก็เช่นกัน
เทคนิคการฝึกแต่ละวิธีทำงานก็ไม่เหมือนกัน เช่น


(มีต่อ)
 


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 21 มี.ค.2008, 10:40 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 21 มี.ค.2008, 10:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

กสิณ การรวมศูนย์ทำให้เกิดพลังอำนาจ

อัปปนาสมาธิ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
เป็นการกระจายออกจากศูนย์กลาง
เพื่อทำให้จิตยิ่งใหญ่ ทำให้มีความสุข

อนัตตาญาณ ทำให้มันมองอะไรทะลุปรุโป่ง ทำให้ปัญญาไร้ขอบเขต

การพิจารณาอสุภะ สิ่งไม่สวยงามทั้งหลาย
มันจะตรงข้าม เมตตา

ถ้าเรา เมตตา มากๆ มันจะไปรักคนง่าย
พอรักคนง่ายมันจะหลงอีกแล้ว
เมตตา มากก็อาจะหลงได้อีก เพราะมันรักคนง่าย
แล้วคนก็มารักเรามากเหลือเกิน เพราะ เมตตา มันฉ่ำ
ใครอยู่ใกล้ก็สบายใจ
จึงควรเจริญ อสุภะ ควบคู่ไปด้วย
อสุภะ จะเป็นตัวล้างฉันทะทำให้มีเมตตาในอุเบกขาได้

แต่ละเทคนิคมันทำหน้าที่กันคนละหน้าที่

ดังนั้น จิตใจที่สมบูรณ์มันจะต้องมีกรรมฐานทุกอย่าง
จะต้องมีวิธีการฝึกทุกๆ วิธี
และพร้อมที่จะใช้เทคนิคที่เหมาะสมเสมอในทุกขณะ
ในทุกๆปรากฏการณ์แห่งชีวิต
แล้วมันจะได้จิตใจที่สมบูรณ์


ถ้าไปฝึกอย่างเดียว
ฉันจะต้องไปฝึก กสิณ อย่างเดียว
อย่างอื่นฉันไม่สนก็ได้
ก็อาจจะเก่งมากในเรื่อง กสิณแต่คุณสมบัติอื่นๆจะไม่ค่อยได้

จะเก่งในการรวมศูนย์
พวกนี้จะไม่ชอบพูด
พวก กสิณ จะบรรยายธรรมไม่ค่อยเก่ง จะชอบอยู่นิ่งๆ
มีอะไรมาไหวนิดนึงมาสั่นคลอน เสียสมาธิ

แต่ถ้า เมตตา อย่างเดียวก็เพลิดเพลินกับมหาชน
มันเพลิดเพลินกับหมู่คณะไปหมด
เสียศูนย์ง่ายอีกเช่นกัน

มันจะต้องมีทุกอย่างผสมผสานกัน

ดังนั้น จากประสบการณ์แห่งชีวิต
รับรองว่าสมาธิไม่ตีกัน
แต่ที่ตีกันนั้น คือ ทิฏฐิมานะ อันเกิดจากการยึดถือ


สมาธิ คือสภาวะจิตใจ
วิธีการฝึกหลายวิธีก็เพื่อตะล่อมใจให้เข้าสมาธิได้ทุกด้าน
เพียงแต่เราจะต้องรู้จักการประกอบให้ถูกส่วน
และการใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์


และแม้เราจะฝึกมาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งจนชำนาญ
เวลาไปฝึกวิธีอื่นจะง่ายเลย

เช่น ถ้าเราฝึก อานาปนสติ มาแล้วจนได้ฌาณ
เพียงฝึก กสิณ ทีเดียวก็ได้สมาธิเลย
หรือฝึก กสิณ เข้าสมาธิแล้ว
ฝึก อสุภะ ทีเดียวเลยก็เช่นกัน

ถ้าได้สมาธิโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง
แล้วไปฝึกวิธีอื่นยิ่งง่ายใหญ่เลย

ดังนั้น จงเรียนรู้....จงฝึกฝน
อาจารย์ท่านใดสอน ฝึกไปให้หมด
วิธีไหนเหมาะกับภาวะใด
เอามาใช้ให้ถูกภาวะ
แล้วท่านจะได้ประโยชน์ยิ่งใหญ่จากการภาวนา


สาธุ สาธุ สาธุ

(ที่มา “บุญแห่งการภาวนา” ใน ฤทธิศาสตร์ : ศาสตร์ลัดแห่งความสำเร็จ
โดย ศิยะ ณัญฐสวามี, หน้า ๒๒๓-๒๒๘)


เทียน รวมคำสอน “ดร.ไชย ณ พล (ศิยะ ณัญฐสวามี)”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=48689
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2008, 7:54 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอนไหนจิตอยากสงบ ก็ใช้ภาวนา (สมถะ)
ตอนไหนจิตชอบคิด ก็ใช้วิปัสสนา (ปัญญา)

ขึ้นอยู่กับแต่ละช่วงของจิตว่า เป็นอย่างไร

ทักทาย ..สาธุโมทนาด้วยนะครับ.. สาธุ
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2008, 10:03 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุจ้า...คุณกุหลาบสีชา

ธรรมะสวัสดีค่ะ

ทักทาย ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
chill
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 22 ก.พ. 2008
ตอบ: 85

ตอบตอบเมื่อ: 16 ก.ค.2008, 7:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณคะ อนุโมทนานะคะ สาธุ
 

_________________
มีชีวิตอยู่เพื่อทำความดี..
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง