Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 การติดบุหรี่ หรือติดหมาก กับนิพพาน อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่หัวข้อนี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไข หรือตอบได้
ผู้ตั้ง ข้อความ
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ค.2008, 3:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้ามีบุคคลพยามทำให้เข้าใจว่า ได้ถึงอรหันต์ หรือ ถึงนิพพาน
แต่ยังเคี้ยวหมากก็ดี สูบบุหรี่ก็ดี มีอารมณ์โกรธก็ดี

ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นไม่ได้ถึงดังอ้าง ใช่หรือไม่ครับ

และการติดอย่างนี้ จะไปถึงได้อย่างมากที่ชั้นไหน
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
wiroot
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 18 ส.ค. 2006
ตอบ: 3

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ค.2008, 5:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จากการที่อ่านข้อความ น่าจะหมายถึง พระสุปฏิปันโนบางรูป ซึ่งเราในฐานะที่เป็นคนธรรมดา อย่าไปคาดคะเน หรือเดาเอาว่า พระอรหันต์ต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนั้น เพราะบางอย่างก็ไม่ได้มีกฏเกณฑ์ที่ตายตัว หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านมรณภาพ อัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุ แต่ท่านสูบบุหรี่ ครูบาอาจารย์เช่น หลวงปู่ขาว อนาลโย อัฐิท่านก็เป็นพระธาตุ แต่ท่านเคี้ยวหมากนะคับ หลวงปู่ตื้อ พระสายหลวงปู่มั่น ปกติท่านพูดโผงผาง ดุด้วย ภายนอกเหมือนท่านมีแต่ความโกรธ แต่กระดูกก็เป็นพระธาตุเช่นกัน. อย่าลืมนะคับว่าเราไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลยไม่รู้ว่า สภาวะเป็นอย่างไร อย่างหลวงปู่ดุลย์ บอกว่า มีความโกรธ แต่ไม่เอาความโกรธ ดังนั้นอย่าคาดเดา แล้วก็อย่าว่าพระนะคับ ทำให้เราเป็นบาปเปล่าๆ แม้ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ หรือแสดงความคิดเห็น แบบมีเหตุมีผลเช่นไรก็ตาม...

ขอบคุณมาก
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ค.2008, 7:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

wiroot พิมพ์ว่า:
จากการที่อ่านข้อความ น่าจะหมายถึง พระสุปฏิปันโนบางรูป ซึ่งเราในฐานะที่เป็นคนธรรมดา อย่าไปคาดคะเน หรือเดาเอาว่า พระอรหันต์ต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนั้น เพราะบางอย่างก็ไม่ได้มีกฏเกณฑ์ที่ตายตัว หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านมรณภาพ อัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุ แต่ท่านสูบบุหรี่ ครูบาอาจารย์เช่น หลวงปู่ขาว อนาลโย อัฐิท่านก็เป็นพระธาตุ แต่ท่านเคี้ยวหมากนะคับ หลวงปู่ตื้อ พระสายหลวงปู่มั่น ปกติท่านพูดโผงผาง ดุด้วย ภายนอกเหมือนท่านมีแต่ความโกรธ แต่กระดูกก็เป็นพระธาตุเช่นกัน. อย่าลืมนะคับว่าเราไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลยไม่รู้ว่า สภาวะเป็นอย่างไร อย่างหลวงปู่ดุลย์ บอกว่า มีความโกรธ แต่ไม่เอาความโกรธ ดังนั้นอย่าคาดเดา แล้วก็อย่าว่าพระนะคับ ทำให้เราเป็นบาปเปล่าๆ "แม้ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ หรือแสดงความคิดเห็น แบบมีเหตุมีผลเช่นไรก็ตาม...
ขอบคุณมาก


พระทุกรูปในประเทศนี้ ผมคิดว่าถ้ามันไม่ถูก ผมทักท้วงได้
เพราะเราเป็น 1 ในพุทธบริษัท 4 เป็นผู้ช่วยสืบต่อศาสนาเหมือนกัน
เป็นผู้ได้เสียในผลประโยชน์เหมือนกัน

และเท่าที่ผมรู้ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเหตุผล ล้วนๆ
เมื่อมีเหตุผล ย่อมรับฟังได้ ย่อมพูดได้
ไม่ใช่ว่า... ต่อให้มีเหตุผลก็ห้ามว่าพระ ...
ซึ่งเป็นการเอา .."คนที่เป็นพระ" .. มารับรอง "ธรรม"
ธรรมนั้นไม่มีทางผิด ทนต่อการพิสูจน์ ...
แต่คนผิดได้ มั่วได้ และจะรู้ว่าเขาผิดหรือถูกในเรื่แองใดๆ เราก้ต้องเอาธรรมเข้าสอบ


พอสอบโดนจุดก็บอกว่า ห้ามว่าพระ บาป....


การเชื่อถือเลื่อมใสไปเสียทั้งหมด แบบไม่ต้องลืมหูลืมตา
ต่อว่าไม่ได้ ท้วงไม่ได้ ถามไม่ได้ ... เป็นความยึดมั่นถือมั่นอย่างหนึ่ง
ที่เป้นเครื่องกีดขวางปัญญา
และผมคิดว่าเป็นศัตรูร้ายกาจของการสืบต่อพระศาสนา
ผมจึงต่างจากท่านในจุดยืนอันนี้

ถ้าผมไปด่าผรุสวาท ชี้หน้าด่ากราด ให้สาดเสียเทเสีย มีเจตนาไม่ดี ก็ว่าไปอย่าง แต่อันนี้ ชื่อพระผมก็ไม่ออก วัดก็ไม่ออก ไม่ชี้ช่องอะไรเลยว่าคือใคร พระเคี้ยวหมากติดบุหรี่มีเป็นหมื่น

ี้ผมเพียงแค่สอบสวนความเข้าใจของผม ว่าด้วยปัญญาอันจำกัดเกินกว่าจะไปทราบว่าอรหันต์ที่แท้เป็นอย่างไร
มันพอจะมีวิธีง่ายๆอะไรไหม ที่ได้ผล เชื่อถือได้ ในการเอาไว้สอบสวนอรหันต์ปลอม
จะได้แยกอรหันต์มั่วออกไปจากหัวผม
แล้วก็รู้ว่าอรหันต์จริงๆต้องมีคุรสมบัติง่ายๆ อย่างไร

ถ้ามีพระมาบอกผมว่าเขาเป็นพระพุทธเจ้ากลับมาเกิด ... ผมต้องเชื่อไหม
ก็ในเมื่อผมไม่ได้ถึงสภาวะพระพุทธเจ้า
ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าที่แท้เป็นอย่างไร
... ดังนั้นผมเลยต้องเชื่อว่าเขาเป็นพระพุทธเจ้ากลับมาเกิด???
ถ้าไม่เชื่อเขา จะเป็นบาป?????

... ่ผมไม่ต้องเป็นพระพุทธเจ้า ผมก็แยกของเก๊ได้ง่ายนิดเดียว
ก็เพราะพุทธเจ้าที่แท้ ของแท้ ... สอนไว้ก่อนตาย ว่าฉันจะไม่เกิดอีกแล้ว
พ้นจากวงจรนี้ไปแล้ว เหลือธรรมเท่านั้น
... เมื่อรู้ดังนั้นแล้วจะมีพระพุทธเจ้ากลับมาเกิดได้อย่างไร????


การเคารพ ต้องมีปัญญาในการเคารพ ต้องเคารพผู้ควรบูชา
เมื่อขาดปัญญา หิน ยังเป็นเครื่องรับรองความเป็นอรหันต์ได้

เมื่อขาดปัญญา ... ท่าานก็เอากระดูกธาตุมารับรองว่านั่นคือเครื่องรับรองว่าท่านเหล่านั้นเป็นอรหันต์
แต่ในทางกลับกัน แค่ผมถามว่า
การเคี้ยวหมากล่ะ เป็นอรหันต์ไหม ได้ไหม
ท่านหลับบอกว่าผมห้ามถามแบบนี้ บาป ห้ามว่าพระ ????

ผมไม่ถือด้วยหรอกคับ ที่ว่า ใครจะมาบัญญัติว่านู่น นี่ นั่น คือบาป
ถ้าผมไม่รู้ด้วยตัว สอบสวนด้วยเหตุด้วยผล ด้วยธรรม จนสิ้นสงสัย

ยุค 14 ตุลา ยังมีพระมาบอกว่า ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป ...
นั่นพระนะที่พูด ... ผมต้องเชื่อไหมอ่ะ
ไม่เอาอะ .. ถ้าสอบสวนด้วยธรรม
ถ้ามันเป็นธรรมด้วยกัน สอบยังไงก็ไม่ขัด ยิ่งสอบมีแต่จะยิ่งแน่ใจว่าอะไรเป้นอะไร

แต่ยังไงก็ขอขอบคุณที่ตอบคับคับ
...


ปล. 1 - คนที่ผมคิดในใจ อีกคนหนึ่ง ยังอยู่คับ ยังไม่ตาย ยังไล่ตะเพิดคนอยู่ แล้วก็พูดในหลายๆโอกาสว่าเป็นอรหันต์ แม้จะไม่พูดตรงๆ แต่มักจะอ้างอาการของคนเป็นอรหันต์
ผมถึงสงสัยนัก ว่ามันอะไรกันแน่ แล้วทำไมต้องโออวดนักหนา
ทำไมอรหันต์ติดหมาก ทำไมอรหันต์ติดบุหรี่ ทำไมอรหันต์ไล่ตะเพิดคน


ปล2. - การที่ผมไม่ออกชื่อ ไม่ชี้ช่อง ไม่มีตัวย่ออะไรนั้น
น่าจะชัดเจนพอสมควรว่า ผมไม่ได้มาด่าใคร
ไม่น่าจะคะเนไปว่าผมหมายถึงคนนั้น คนนี้
แล้วก็มากล่าวหาว่าผมไปต่อว่าพระ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ค.2008, 8:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แล้วฟังเสียงขลุ่ย อย่าง คห. 6 ล่ะ พอจะจัดเข้าขั้นไหน

ได้บ้างครับ อายหน้าแดง
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
โปเต้
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 10 พ.ค. 2008
ตอบ: 76
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ค.2008, 11:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระอรหันต์ คือผู้ที่ไกลจากกิเลส คือผู้ที่ดับทุกข์ได้แล้ว
ทุกข์เกิดเพราะความตัณหา ความเพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ วิภวตัณหา ความไม่อยากมีอย่างนั้น ไม่อยากได้อย่างนี้ ภวตัณหา คือความอยากได้ อยากมีอย่างนั้นอย่างนี้
ทุกข์ คือความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ความโศกเศร้า ร่ำไร รำพัน ความคับแค้นใจ

การเคี้ยวหมาก สูบบุหรี่ หรือการแสดงออกซึ่งความพอใจ หรือโกรธเกรี้ยว อาจแยกได้เป็นสองนัยยะ
คือ เป็นเพียงกิริยา อาการภายนอก แต่ภายในไม่ได้ยึดติด กับความเพลิดเพลินติดใจในอารมณ์นั้นๆ ไม่อาจขาดไปเสียได้

พระอรหันต์ท่านมีเพียงกิริยา ซึ่งกิริยาทางกายกับอาการทางใจอาจต่างกัน
ทางกายก็จะเคี้ยวหมาก สูบบุหรี่ หรือแสงออกถึงความพอใจ ความโกรธ
แต่ทางใจแล้ว ท่านไม่ได้รู้สึกยินดี หรือยินร้ายไปกับสิ่งที่ท่านแสดงออกไป
ถ้าจิตเรานิ่งพอที่จะรับรู้ได้ ก็จะไม่เห็นหรือสัมผัสถึงความลุ่มหลง เพลิดเพลิน หรือความเร่าร้อน แทรกอยู่เลย
ถามว่า ถ้าท่านไม่เคี้ยวหมาก หรือสูบบุหรี่ จะได้มั้ย
เชื่อได้ว่าไม่มีปัญหา และท่านก็จะไม่มีอาการเดือดร้อน กระวนกระวาย ถึงกับเป็นทุกข์ เป็นร้อน ที่จะขวนขวายหามาเสพด้วย
ที่ทำไปก็เพียงแต่อนุเคราะห์ญาติโยมที่นำมาถวายเท่านั้นเอง

ถ้าได้ลองปฏิบัติจิต ภาวนา ถึงจุดๆนึงแล้ว จะเข้าใจได้เองค่ะ
 

_________________
สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ค.2008, 6:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โปเต้ พิมพ์ว่า:
พระอรหันต์ คือผู้ที่ไกลจากกิเลส คือผู้ที่ดับทุกข์ได้แล้ว
ทุกข์เกิดเพราะความตัณหา ความเพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ วิภวตัณหา ความไม่อยากมีอย่างนั้น ไม่อยากได้อย่างนี้ ภวตัณหา คือความอยากได้ อยากมีอย่างนั้นอย่างนี้
ทุกข์ คือความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ความโศกเศร้า ร่ำไร รำพัน ความคับแค้นใจ

การเคี้ยวหมาก สูบบุหรี่ หรือการแสดงออกซึ่งความพอใจ หรือโกรธเกรี้ยว อาจแยกได้เป็นสองนัยยะ
คือ เป็นเพียงกิริยา อาการภายนอก แต่ภายในไม่ได้ยึดติด กับความเพลิดเพลินติดใจในอารมณ์นั้นๆ ไม่อาจขาดไปเสียได้

พระอรหันต์ท่านมีเพียงกิริยา ซึ่งกิริยาทางกายกับอาการทางใจอาจต่างกัน
ทางกายก็จะเคี้ยวหมาก สูบบุหรี่ หรือแสงออกถึงความพอใจ ความโกรธ
แต่ทางใจแล้ว ท่านไม่ได้รู้สึกยินดี หรือยินร้ายไปกับสิ่งที่ท่านแสดงออกไป
ถ้าจิตเรานิ่งพอที่จะรับรู้ได้ ก็จะไม่เห็นหรือสัมผัสถึงความลุ่มหลง เพลิดเพลิน หรือความเร่าร้อน แทรกอยู่เลย
ถามว่า ถ้าท่านไม่เคี้ยวหมาก หรือสูบบุหรี่ จะได้มั้ย
เชื่อได้ว่าไม่มีปัญหา และท่านก็จะไม่มีอาการเดือดร้อน กระวนกระวาย ถึงกับเป็นทุกข์ เป็นร้อน ที่จะขวนขวายหามาเสพด้วย
ที่ทำไปก็เพียงแต่อนุเคราะห์ญาติโยมที่นำมาถวายเท่านั้นเอง

ถ้าได้ลองปฏิบัติจิต ภาวนา ถึงจุดๆนึงแล้ว จะเข้าใจได้เองค่ะ


ขอบคุณมากๆเลยคับคุณโปเต้
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ค.2008, 6:51 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โปเต้

เศร้า เศร้า

สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ค.2008, 9:28 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


ขอถามหน่อยครับว่า คำว่า "อริยะ" ก็มีผู้นำไปใช้ๆ พูดๆกันบ่อยๆ

หมายถึงอะไรครับ ใช่หมายถึงพระอรหันต์หรือไม่ครับ เช่นอริยะขัด

ขืน อริยบุคคล ต่างกันตรงไหนครับ สาธุ
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ค.2008, 9:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กรัชกาย พิมพ์ว่า:

ขอถามหน่อยครับว่า คำว่า "อริยะ" ก็มีผู้นำไปใช้ๆ พูดๆกันบ่อยๆ

หมายถึงอะไรครับ ใช่หมายถึงพระอรหันต์หรือไม่ครับ เช่นอริยะขัด

ขืน อริยบุคคล ต่างกันตรงไหนครับ


พี่ๆ ผมว่ามันใช้คำว่า อารยะขัดขืน น่ะคับ
มันมาจากคำว่า civil disobedience

ลองอ่านเพิ่มใน wiki pedia >>>
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%87


ส่วนอันอื่นผมไม่ค่อยรู้เท่าไหร่คับ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
โปเต้
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 10 พ.ค. 2008
ตอบ: 76
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ค.2008, 10:05 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เข้าใจว่าน่าจะเป็นอย่างที่คุณคามินธรรมว่านะคะ คือ อารยะ ที่หมายความว่า เจริญ ไม่ป่าเถื่อน
แต่ความหมายของคำว่าอริยะในทางพุทธศาสนา จะหมายถึงบุคคลชั้นโสดามันบุคคลขึ้นไปค่ะ
เอ... รู้สึกว่าคุณกรัชกายน่าจะเข้าใจได้ดีอยู่แล้วนี่คะ ยิ้มเห็นฟัน
ส่วนที่มีผู้นำไปใช้ ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ใช้จะใช้ได้อย่างถูกต้องเสมอไป
ด้วยความไม่รู้ แต่นำมาใช้เพราะเห็นว่าดูดีจัง น่าจะช่วยเสริมให้ตัวเรา หรือสิ่งที่เนื่องด้วยเราดูดีขึ้น เท่านั้นเอง
 

_________________
สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ค.2008, 10:24 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณครับน้องคามินธรรม และคุณโปเต้

เท่าที่เห็นมันใช้อริยะขัดขืนครับ


แต่จะใช้ อารยะขัดขืนก็ได้ ความหมายเดียวกัน แปลว่าผู้เจริญ

พระพุทธเจ้านำศัพท์นี้มาใช้เรียกพระอริยบุคคล 4 จำพวก มีพระ

โสดาบัน เป็นต้น คือใช้ในแง่ดี (ตามรูปศัพท์) ในทางสันติ

สุข ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่สภาพแวดล้อม

คือ หมายความว่า พระอริยบุคคลมีพระโสดาบันเป็นต้นเหล่านั้น

จะไปอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด ท่านจะประพฤติตนอยู่ในกฎระเบียบของ

สังคมนั้น

ไม่มีพิษมีภัยแก่ใคร ๆ จึงได้นามตามศัพท์ว่า อริยบุคคล คือ คนเจริญ

แล้ว


แต่ดูข้อความของเด็กที่ระบายความรู้สึกออกมาเป็นตัวอักษรว่า



ในฐานะรุ่นพี่คนหนึ่งและเป็นคณะกรรมการนักเรียน

หนูขอพูดจากใจนักเรียนเลยนะค่ะ และเพื่อนๆในห้องเกือบ 50 คนว่า

ทำไมถึงไม่อยากให้มีการชุมนุม

-คุณจะชุมนุมหรือไม่ชุมนุมก็เป็นสิทธิ์ของคุณ หนูไม่มีสิทธ์ห้ามแต่

การที่ทำให้คนอื่นเดือนร้อน ส่งเสียง กลิ่นเหม็น และคำหยาบคายที่กรอก

หูทุกๆวัน ทั่งเวลาเรียนและเวลาพัก หรือเวลาหนูหรือเพื่อนหนูเดินมา

ผ่านตรงนั่น พวกคุณแซวพวกหนูเสียๆหาย

แล้วคุณไปอ้างกับศาลว่า กลัวความไม่ปลอดภัยของผู้ชุมนุม

พวกผู้ใหญ่บ้าหรือเปล่าค่ะ แล้วความปลอดภัยของหนูและเพื่อนๆหนู

หล่ะ ใครจะรับผิดชอบ


อันนี้ถนนหลวงมีไว้ใช้จราจร ไม่มีป้ายไหนเลยบอกว่า ใช้เพื่อการ

ชุมนุม

แหกตาอ่านดูหรือเปล่าค่ะ


ใครคนไหนบอกว่า โรงเรียนไม่เห็นด้วย กล้าออกมาดีเบตกับคุณ

สรยุทธ์ไหมดิฉันจะนำเพื่อนนักเรียน ม.6 และ ม.5 และรุ่นน้องไปรับรอง

ไม่ต่ำกว่า 500 คน ไม่เกี่ยวกับครูอาจารย์นะ

ลองดูสิว่าเสียงของเด็ก 500 คนนี้ จะพอให้พวกคุณเลิกชุมนุมไหม

วันนี้คุณไปยื่นอุทธรณ์ ถามจริงๆเถอะอายหมาไหม

ศาลก็ไม่รับแล้ว

คุณยังหน้าด้านบอกว่าจะชุมนุมต่อไป มาดูถูกครูนักเรียนโรงเรียนอีกว่า

รับเงิน

แหกปากอะไรค่ะ คนแก่ทั่งหลาย วันๆไม่มีสาระอะไรเลยด่าแต่คน

อื่น

IP: 124.120.153.XXX
โดย: 5/1 ราชวินิต เขียนเมื่อ 02:03 น. 3 ก.ค. 2008


อ่านแล้วสงสัยจึงถามครับ

เพราะฉุกคิดว่า ว่าระหว่างเด็กเหล่านั้น กับคนเกิดก่อนเหล่านั้น ใคร

กันเล่าหนอเจริญกว่ากัน
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ค.2008, 11:31 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พี่อยากจะคุยเรื่องพันธมิตรใช่ม๊า เอาซะหน่อยละกัน

พวกนั้นเขาผิดตั้งแต่คิด
เมื่อคิดผิด ก้ทำผิด แล้วพูดผิด

เมื่อต้นเป็นพิษ ผลไม้ที่ออกย่อมเป็นผลไม้พิษ
ความคิดที่ผิด ทำให้กระทำ และพูดผิด แล้วก็ย้อนกลับมาทำให้คิดผิดยิ่งขึ้นไปอีก ไม่จบ

ที่ว่าคิดผิด กล่าวคือ เขาคิดว่า
ความชอบธรรม = ความถูกต้อง หรือ
ธรรมะ = ความถูกต้อง
ซึ่งไม่ใช่เลย
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=67075#67075


สำหรับเหล่าพันธมิตร ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน เกลียดมากๆเหมือนกัน
แต่ยิ่งเรียนรู้มากเท่าไหร่ ยิ่งโกรธน้อยลง เกลียดน้อยลง
เพราะตัวตนเขา ปัญญาเขา ระบบความคิดเขา ...
... มันเข้าข่าย none sense ไปแล้วสำหรับผม
เหมือนทะเลาะกับเด็กที่นิสัยเสียมากๆ

จะว่ายังไงดี ... เอาเป็นว่าสำหรับผม
... พวกเขามีค่า... เท่าอากาศธาตุ ....


ผมก็แนะนำพี่กรัชกาย ปล่อยๆวางๆมันบ้างเถอะนะคับ จะได้สบายใจ



ถ้าพูดกับคนคิดเป็น รู้จักตรรกะ รู้จักปรัชญา มีระบบคิด
มันยังพอมีทางแก้ ทางออก .. ขึ้นมาได้

ถ้าพูดกับพวกสาวกพันธมิตร มันเหมือนพูดกับหมูหมากาไก่
ไม่ได้ด่าให้สนุกปากนะ แต่อยากจะเปรียบเทียบอย่างนั้น มันชัดเจนดี

แม้บางคนจะเรียนสูง งานดี iq ดีๆกันเยอะ ... แต่เป็นคนละเรื่องกับปัญญามองเห็นธรรม
เช่นถ้าเราถามคนว่า ... "จะไปตลาด... เราจะไปยังไงดี"
ก้จะมีคนสองจำพวก ที่แตกต่างกัน

พวกแรก
เขาจะเถียงกันว่า ไปเส้นนั้นดีกว่า เส้นนี้ดีกว่า ไปรถนี้ดี เดินไปดีกว่า ฯลฯ
แล้วก็ฆ่ากันตายเพราะต่างคิดว่าวิธีตัวเอง ดีที่สุด ซึ่งก็จริง
วิธีไหนก็ถึงตลาดเหมือนกัน ... ไม่มีคำว่าผิดถูก ..
ขึ้นอยู่กับว่าเอาอะไรเป็นบรรทัดฐาน เอาประหยัด หรือเอาเร็ว หรือเอาสบาย เป็นต้น ฯลฯ

พวกที่สอง
เขาต้องถามว่า .. ทำไม่ต้องไปตลาด?
เรียกว่า สอบสวนให้เสร็จตั้งแต่ความคิดเลย ว่าความคิดนี้
สมควรเป็นหน้าที่ เป็นภาระ (เป็นธรรมะ) หรือไม่
เรามีหน้าที่ต่อทุกข์นั้นอย่างไร เป้นต้น




แต่การพูดกับแกนนำหลักๆ 2 คนอย่างพลตรีจำลอง กับ นายสนธิ
ไม่ใช่เขาโง่นะ ... เขาฉลาดมากต่างหาก .. เขาอัจฉริยะ ... และรู้วิธีใช้สอยคนทั้งโง่ ทั้งฉลาด
แล้วก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจที่เราพูด เข้าใจหมด รู้ดีรู้ชั่วหมด
แต่... หลง... มีอัตตาเป็นใหญ่ ... แต่คิดว่าตัวเองมีธรรมะเป็นใหญ่



มีภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า
โลกนี้มีคนสองประเภทที่เปลี่ยนไม่ได้
1 คือคนที่โง่มากๆ
2 คือคนที่ฉลาดมากๆ




รู้อย่างนี้แล้วก็ปารถนาให้พี่ได้มีความสบายใจนะคับ
ผมเห็นพี่ออกแนวภูเขาไฟระเบิดทุกทีที่เกี่ยวกับพันธมิตร
แต่เขาไม่มารับรู้อะไรกับเราหรอกพี่
หนำซ้ำ ต่อให้เราได้พูดกับเขา เราพูดได้ไม่ถึง 1 นาทีหรอกคับ ผมว่านะ

คน 2 ประเภท อย่างที่ภาษิตจีนว่าไว้ ถูกแล้ว
เราอย่าไปสนมันเลย
ทิ้งๆมันออกไปบ้าง.. นะพี่น๊า


ส่วนบ้านเมือง ไม่มีทางพังหรอกพี่
ชนชั้นปกครอง ... เขาจะฆ่าเป็ดที่ออกไข่ให้... ได้ยังไง

เรามันก็เหมือนหญ้าแพรกในสนามที่มีช้างชนกันอยู่
ถ้าเรารู้ทัน เราก็ไม่ถูกเหยียบ
แม้จะเอาตัวออกมาไม่ได้ ต้องได้รับผลกระทบไปตามเศรษฐกิจ สังคม
แต่ใจของต้นหญ้า ยังผ่องใส อยู่รอดในทุกสภาวะการณ์

เมื่อไหร่ช้างมันตีกันจนพังไปข้าง สมประโยชน์แล้ว มันก็เลิก
แล้วเดี๋ยวก็จะมีช้างใหม่ มาตีกันอีก เป็นวงเวียนไปเรื่อยๆ

ถามว่าแล้วผมจะช่วยเหลืออะไรประเทศได้ไหม ปล่อยไปอย่างนั้นเหรอ
ตอบง่ายนิดเดียว ... เมื่อทำอะไรไม่ได้ ทำแล้วไม่ได้ผลอะไร
ก็เลยไม่ทำ

ความจริงถ้าศึกษาวิวัฒนาการการปกครองในหลายๆอารยะธรรม ทั้งอินเดีย จีน โรมัน ฯลฯ โดยศึกษาในแต่ละยุคด้วย

จะพบว่า pattern มันไม่ได้ต่างอะไรจากประเทษไทยวันนี้เลย
ยิ่งสามก๊ก ยิ่งเหมือน เหมือนชนิดที่เรียกว่าระบุตัวละครได้เลย
ว่าใครคือใครในวันนี้

โอย ชักจะยาวและมั่วแล้ว

ขอผมทำมาหาเลี้ยงชีพก่อนนะ
อยากมีเวลาคิดอยู่หรอก ... แต่ต้องใช้ความรู้มาก ต้องศึกษามาก ต้องใช้เวลามากกว่าที่มี ...

ทำมาหากินก่อน. เอาลูกดอกออกจากตัวก่อน
แล้วถ้ามีเวลา... ค่อยไปสนใจว่าลูกดอกนั้นทำมาจากอะไร ยิงมาจากทางไหน ใครยิง ฯลฯ

ขอบคูณคับ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ค.2008, 6:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:

ผมก็แนะนำพี่กรัชกาย ปล่อยๆวางๆมันบ้างเถอะนะคับ จะได้สบายใจ


ขอบคุณครับน้องคามินธรรมที่แนะนำ
มิได้หนักอกหนักใจอะไรนักหนาหรอกครับ
เห็นแล้วนึกขำสะด้วยซ้ำ
เห็นชื่อกระทู้นี้ และเห็นรูปภาพ คห.ที่ 6 นี้

.... เออ เป็นไปได้นะทิฏฐิคน

อ้างอิงจาก:

ผมเห็นพี่ออกแนวภูเขาไฟระเบิด ทุกทีที่เกี่ยวกับพันธมิตร
แต่เขาไม่มารับรู้อะไรกับเราหรอกพี่

หนำซ้ำ ต่อให้เราได้พูดกับเขา เราพูดได้ไม่ถึง 1 นาทีหรอกคับ ผมว่า


คุณพูดถูกเราคงพูดไม่ถึง 1 นาที
คงโดนมากมาย
ขนาดดาราหนุ่มคนหนึ่งพูดหน่อยเดียวยังโดนมิใช่น้อย
เช่นที่ว่า

“ผมไม่ได้รังเกียจการเมืองครับ แต่ผมไม่ชอบให้ใครทำให้พระเจ้าแผ่นดินเราไม่สบายใจ
คุณชอบเหรอ
(มองการเมืองยังไง) ไม่มองการเมืองครับ มองแค่นี้ ใครทำให้ในหลวงนอนไม่หลับไม่ชอบ”


อีกอย่างหนึ่งที่ได้เห็นเขานำศัพท์ อริยะ/อารยะ ที่แปลว่า ผู้เจริญ ผู้
ประเสริฐ ฯลฯ
เป็นศัพท์ที่ทางศาสนาใช้นำหน้าบุคคลผู้เป็นโสดาบันบัน (แท้ๆ) เป็น
ต้น ว่าหมายถึงผู้ละสังโยชน์ได้แล้วตามขั้น
ชาวพุทธเข้าใจกันอย่างนี้ แม้แต่คุณโปเต้เองก็เข้าใจอย่างนั้น

เมื่อมีกลุ่มคนนำศัพท์ดังกล่าวใช้ประพฤติในทางลบ (อริยะขัดขืน/อารยะขัดขืน)
เกิดเยาวชนเห็นการกระทำเช่นว่านั้น อาจเข้าใจผิดพลอยมองคำสอน
ทางศาสนาเพี้ยนก็ได้ว่า เออ...อริยบุคคล/อารยะชน ในพุทธศาสนา ก็คงออกแนวเดียวกับพวกอริยะขัดขืนในปัจจุบัน คือขืนฝืนสังคมอันดีงามทุกเรื่องดื้อกัลยาณชนว่าซ้าย ก็แถเสียว่าขวา ฯลฯ

ชาวพุทธค่อนข้างศรัทธาจริต
ผู้นำบอกว่า พวกเรามาประท้วงกันวันนี้ ได้บุญได้บุญทุกคน
ยังเชื่อยังศรัทธากันเลย

จึงเห็นด้วยกับคุณที่ว่า

อ้างอิงจาก:

การเชื่อถือเลื่อมใสไปเสียทั้งหมด แบบไม่ต้องลืมหูลืมตา
ต่อว่าไม่ได้ ท้วงไม่ได้ ถามไม่ได้ ... เป็นความยึดมั่นถือมั่นอย่างหนึ่ง
ที่เป็นเครื่องกีดขวางปัญญา
และผมคิดว่าเป็นศัตรูร้ายกาจของการสืบต่อพระศาสนา
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่หัวข้อนี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไข หรือตอบได้
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง