Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 คิดอย่างไรกับการที่คนต่างศาสนา บอกว่าศาสนาอื่นเกิดจากซาตาน อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ผู้ไม่รู้
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 มิ.ย.2006, 3:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากทราบความเห็นครับ สาธุ
 
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 14 มิ.ย.2006, 4:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ซาตานก็คือมาร
สำหรับศาสนาพุทธ หากเจ้าชายสิตธัตถะ ไม่พบ มาร คือ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็คงไม่ได้ออกบวช และตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ สาธุ สาธุ ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
วรากร
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 มิ.ย.2006, 8:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม ไม่เคยสอนให้เห็นเป็นเช่นนั้น
ผู้นับถือศาสนาใดก็ตามควรจะศึกษาให้ถึงแก่นแท้ของศาสนาที่ตนนับถือให้ได้ แล้วเขาจะรู้ว่า ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ผู้ที่เห็นแตกต่างก็คือเราเอง

ศาสนาทุกศาสนาล้วนมีหลักธรรมและคำสอนให้คนเป็นคนดี ปฏิบัติดี จนสามารถหลุดพ้น หากจะเห็นความแตกต่างก็เป็นเพียงการปฏิบัติเท่านั้น

หากเห็นว่าศาสนาอื่นเป็นมารแล้ว เราเองที่เป็นคนสร้างมารขึ้นมา แล้วเราจะเป็นอะไรละ
 
jojam
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 27 พ.ค. 2004
ตอบ: 62

ตอบตอบเมื่อ: 15 มิ.ย.2006, 12:07 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เทวทูต ทั้งสี่เป็น สิ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะ เห็นในสิ่งที่ นอกวังมี และอะไรบ้างสิ่งที่ในวังไม่มีให้เห็น
เราต้องแก่ หรือ ฉันนะ เราต้อง มีความเจ็บป่วยแก่เรา หรือ ฉันนะ เราต้องมี ความตายเป็นที่สุดหรือ แม้ กษัตริย์ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ หรือ ฉันนะ (ผู้ติดตามรับใช้ในวัง)
เราจะออกหาเพื่อความหลุดพ้น ปรบมือ

ปล. ซานตาน นั้นเป็นสิ่งที่อยู่ในใจ ที่แฝงไว้ หรือก็คือสิ่งที่จะมาลวงให้ออกนอกทางที่วางไว้
แต่ธรรมะเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่ได้มีใครสร้างไว้ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะทำลาย ไม่มี
(มาตอบผิดกระทู้ ตื่นเต้น )
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ภูเขาน้ำแข็ง
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 13 พ.ค. 2006
ตอบ: 46

ตอบตอบเมื่อ: 15 มิ.ย.2006, 12:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขำ ไม่มีความคิดเห็น (เฉยๆ)
 

_________________
อย่าดับความอยากด้วยการสนอง จงดับโดยวางเฉย
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ผู้เฝ้าดูลูกแกะของพระเจ้า
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 มิ.ย.2006, 9:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดังที่คุณวรากรได้ตอบไว้
ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม ไม่เคยสอนให้เห็นเป็นเช่นนั้น
ผู้นับถือศาสนาใดก็ตามควรจะศึกษาให้ถึงแก่นแท้ของศาสนาที่ตนนับถือให้ได้ แล้วเขาจะรู้ว่า ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ผู้ที่เห็นแตกต่างก็คือเราเอง

ศาสนาทุกศาสนาล้วนมีหลักธรรมและคำสอนให้คนเป็นคนดี ปฏิบัติดี จนสามารถหลุดพ้น หากจะเห็นความแตกต่างก็เป็นเพียงการปฏิบัติเท่านั้น

หากเห็นว่าศาสนาอื่นเป็นมารแล้ว เราเองที่เป็นคนสร้างมารขึ้นมา แล้วเราจะเป็นอะไรละ


เอ่อ... คุณแน่ใจเหรอครับว่าเป็นเช่นนั้น แน่ใจเหรอครับว่าไม่มีอะไรแตกต่าง

คริสต์เชื่อว่าการกราบไหว้รูปเคารพเป็นบาป แน่ล่ะ หมายถึงพุทธ พราหมณ์และเชนแน่นอน ที่ผมสงสัยก็เพราะ คริสต์เองก็มักจะสร้างรูปเคารพหรือสิ่งแทนพระเจ้า พระเยซูหรือ
พระแม่มาเรียเช่นกัน เห็นได้ง่าย ๆ ตามโรงเรียนคริสต์ ยืนหลาเลย แถมมีธูปเทียนจุดไว้เต็มเลย ขอโทษ ตะวันตกมันมีธูปด้วยเหรอ นี่มันต้องการให้คนไทยหลงคิดว่าพวกนั้นเค้าก็
กราบไหว้รูปเคารพด้วยน่ะรู้รึเปล่า ลูกแกะเอ๋ยกรุณาอย่าออกมาบอกว่านั่นเป็นสิ่งระลึกถึงพระเจ้า หรือบอกว่าผมไม่ได้กราบไหว้ครับ แค่กุมมือและระลึกถึงเท่านั้น


คริสต์ไม่เชื่อในการทำความดีหรือผลของการทำความดี คริสต์อาศัยเพียงว่า ถ้าคนไหนมีศรัทธา เชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า เมื่อคนนั้นตายก็จะได้มีชีวิตนิรัดร์ในดินแดนของพระเจ้า จากหนังสือ
เอเฟซัส บทที่ 2:8,9 กล่าวว่า "ด้วยท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า มิใช่ความรอด
โดยการพระพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้" และ ในพระคัมภีร์กล่าวว่า "ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าโดยการรักษาบทบัญญัติ ทว่าบทบัญญัติทำให้
เรารู้ตัวว่ามีความบาป แต่บัดนี้ ความชอบธรรมจากพระเจ้าซึ่งอยู่นอกเหนือบทบัญญัตินั้นเป็นที่ประจักษ์แล้ว เป็นความชอบธรรมซึ่งหนังสือบทบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะ
ได้เป็นพยานถึง ความชอบธรรมของพระเจ้านี้ผ่านมาทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ไปถึงคนทั้งปวงที่เชื่อ ไม่มีข้อแตกต่างกัน"

อย่างนี้ก็แจ๋วสิ ถ้าพวกมือปืนไปเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้าให้หมด ก็ฆ่าคนได้อย่างสบายใจ เพราะ ฆ่าคนไปก็ไม่เป็นไรแค่เชื่อในพระเจ้าก็ได้ขึ้นสวรรค์เหมือนกัน ว้าววววดีจัง

พุทธองค์ท่านไม่ได้สอนให้เชื่อท่านด้วยซ้ำ ท่านตรัสว่า
"จงอย่าเชื่อเพราะผู้ที่พูดนั้นเป็นบิดา มารดา"
"จงอย่าเชื่อเพราะผู้ที่พูดนั้นเป็นครูบาอาจารย์"
"จงอย่าเชื่อเพราะผู้ที่พูดนั้นเป็นผู้ที่มีคนนับถือมาก"
"แต่จงใช้ปัญญาไตร่ตรองว่า สิ่งที่ผู้นั้นพูด เป็นความจริงที่มีเหตุผลเพียงพอที่จะเชื่อได้หรือไม่"
นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนต้องจบด๊อกเตอร์ หรือเป็นปราชญ์ถึงจะสามารถตัดสินทุกข้อความ ทุกปัญหาได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าเป็นลูกแกะคงใช้สัณชาตญาณการเอาชีวิตรอดแล้วเข้าไปซุกอก
พระพี่เลี้ยงทันที

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เธอจะนับถือตถาคตหรือไม่ก็ตามจะยกย่องหรือไม่กราบไหว้ก็ตาม ถ้าเธอทำชั่ว ผลชั่วย่อมมี เธอนับถือตถาคตเหลือเกินแต่ถ้าเธอไปฆ่าสัตว์ ไปลักทรัพย์ประพฤติผิด
ในกาม การนับถือนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ต้องรับผลกรรม"

ทุกศาสนาไม่มีความแตกต่างกันเหรอครับ คุณมองและทำความเข้าใจแต่เพียงผิวเผินเหลือเกิน

ที่มาของมนุษย์ในแต่ละศาสนาก็ต่างกันแล้ว คริสต์บอกว่ามนุษย์เกิดจากการสร้างของพระเจ้า พุทธบอกว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาเอง ซึ่งรับกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และหลักการทางวิทยาศาสตร์กว่าเห็นๆ คริสต์ไม่เชื่อเรื่องวิวัฒนาการ และไม่อาจจะเชื่อได้ เพราะคริสต์เชื่อว่ามนุษย์เกิดมามีรูปลักษณ์เดียวกับพระเจ้า คริสต์รับไม่ได้กับการที่จะต้องมีต้นกำเนิดเป็นสัตว์ก่อนประวัติศาสตร์ และวิวัฒนาการจะเป็นโฮโมเซเปียนจนเป็นคนในปัจจุบัน

คริสต์ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในแบบพุทธ คริสต์เชื่อว่าเมื่อคนเราตายแล้วจะต้องรอการตัดสินของพระเจ้าอยู่ในหลุมศพนั่นแหละ แต่กลับมีการกล่าวถึงนรก ซึ่งไม่สอดคล้องกัน ไม่เป็นเหตุเป็นผล เพราะเมื่อต้องรอการตัดสินของพระเจ้าแล้วคุณจะต้องลงนรกไปรับผลจากบาปที่คุณทำมาก่อนทำใมเล่า?

พุทธเชื่อว่าคนเมื่อตายแล้วต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปซึ่งบางคนก็มีการระลึกชาติได้ ที่ผมพูดถึงการระลึกชาติก็เพราะว่า ไม่ใช่แต่คนที่นับถือพุทธถึงจะระลึกชาติได้ มีรายงานว่ามีคนระลึกชาติได้กระจายอยู่ทั่วโลก ล่าสุดที่ผมอ่านข่าวเจอมีด็อกเตอร์ชาวตะวันตกคนหนึ่งพยายาม
ค้นคว้าเรื่องการระลึกชาติ เขาติดต่อพูดคุยกับคนที่ระลึกชาติ (ทั้งจริงและมั่วนิ่ม)ได้ถึง 600 คนแล้ว และยังศึกษาอยู่จนปัจจุบันทั้งที่ตัวด็อกเตอร์คนนั้นเองก็ไม่ได้นับถือพุทธ

ผมคิดว่าคงมีการโต้เถียงกันในกระทู้นี้อีกสักพัก ผมจะหาเวลามาอ่านเรื่อยๆ เท่าที่เวลาจะอำนวยครับ
 
แมวขาวมณี
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307

ตอบตอบเมื่อ: 23 ส.ค. 2006, 12:12 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เชื่อม่ะ ว่า มนุษย์ทุกคน เคยเกิด สมาธิขึ้นจนถึงขั้นเกิดฌาณในระดับต่างๆ โดยไม่ได้ฝึกในศาสนาพุทธ
แต่บุญกุศลจากฌาณ นั้นๆ ย่อมมีผลแน่นอน
จึงพบว่ามีผู้ระลึกชาติได้ใน มนุษย์ แทบทุกชาติทุกภาษา
บางคนอำนาจจิตแสดงฤทธิ์ได้(ศึกษาในเรื่องวิทยาศาสตร์ - พลังจิต)ส่วนมากพบในชาติรัสเซีย
คนที่ไม่สามารถทำได้ ก็เกิดความกลัว แต่ฉลาดพอที่จะโบ้ยว่าเป็นเรื่องของมาร ซาตาน เพื่อใช้พลังสังคมกำจัดพวกที่มีฤทธิออกไป ไม่เช่นนั้นสังคมอาจปั่นป่วน ชวนเชื่อได้ง่าย
แต่เชื่อเถอะ เขาหลอกตัวเอง ข่มความอยากรู้ในเรื่องของศาสนาพุทธไม่ไหวหรอก
พวกเราๆนี่แหละอยู่ติดกับพุทธะขนาดนี้ ปฏิบัติกันมั้งรึยัง อย่ารอให้แก่ก่อนจึงเข้าวัดนะจ๊ะ ยิ้มเห็นฟัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ศุภิสรา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 24 ส.ค. 2006, 10:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เถียงกันจนตายก็ไม่จบหรอกค่ะ เรื่องศาสนาเนี่ย ดูแลตัวเองให้ดีก็แล้วกัน
 
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 26 ส.ค. 2006, 1:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปฏิบัติกันดีกว่าค่ะ ใครจะคิดอะไรก็เรื่องของเขา เราไม่ใส่ใจมันก็จบ พอเหนื่อยเขาก็หยุดเอง
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ความเห็นส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 ส.ค. 2006, 6:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เชื่อว่าผู้นับถือแล้วยังพูดออกมาดังกล่าว ไม่มีความเข้าใจเป้าหมายของศาสนาตัวเองเลย สำหรับผมเองไม่ได้เป็นคริสต์ยังเข้าใจแบบผิวเผินว่า ศาสนาดังกล่าวสอนให้คนรู้จักคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ให้รู้จักการให้ความรักความเมตตาแก่กัน ไม่ถือสาเอาความกันแม้นความเห็นจะไม่ตรงรอยกันก็ตาม อย่างมีคนมุ่งร้ายตีแก้มซ้ายก็ยังหันแก้มขวาให้อันบ่งบอกได้ชัดเจนถึงการให้อภัยและความเสียสละเพื่อความสันติสุขของมวลมนุษย์ ดังนั้นผู้ใดที่นับถือศาสนาใดแล้วแสดงออกถึงการไม่ให้ความเคารพในสิทธิของการนับถือศาสนาอื่นของผู้อื่น ค่อนข้างเชื่อว่าเป็นผู้นับถือศาสนาเพียงตามเอกสารราชการมากกว่าผู้มีความศรัทธา ไม่ต่างกับผู้นับถือหรือพระในศาสนาพุทธตามข่าวที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับพุทธศาสนา หากกล่าวสิ่งใดล่วงเกินก็กราบขออภัยล่วงหน้าเพราะไม่ได้มีเจตนาให้ร้ายครับ สาธุ
 
พรเทพคนงาม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 ส.ค. 2006, 2:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมนับถือพุทธศาสนามาก ส่วนศาสนาอื่นจะเป็นยังไงไม่ขอไปยุ่งเกี่ยว ปฏิบัติของเราไปเถอะ ยิ้ม
 
ชยชัย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 ส.ค. 2006, 11:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ ให้ใช้หลักกาลามสูตรอย่างที่คุณเฝ้าดูลูกแกะฯแนะนำครับ อย่าเชื่อง่ายแต่ให้เชื่อเมื่อคุณได้ใช้สติพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบแล้ว(โยนิโสมนสิการ)
 
แค่แวะมาเอง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ก.ย. 2006, 12:11 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เจ้าของกระทู้บอกมาเป็นเรื่องจริงนะ เมื่อก่อนเขาเคยสอนว่าอย่างนั้นแหละ
แต่ตอนหลังเอาคำสอนเราไปใช้เลยไม่กล้าพูดแบบนี้แล้ว ว่างๆใครลองแอบเข้าโบสถ์ไปนั่งฟังดูสิ จะเห็นคำสอนแปลกแตกต่างกว่าเดิมเยอะเลยละ และ "คุณเฝ้าดูลูกแกะฯ" พูดมานั้น ..ใช่เลยยยย... ส่วนความคิดเห็นเพิ่มเติมที่เจ้าของกระทู้ตั้งขึ้นมา คือ ไม่สนใจหรอก ช่างปะไร
 
montasavi
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84

ตอบตอบเมื่อ: 08 มิ.ย.2008, 2:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อัลเบิร์ต ไอสไตน์ กล่าวถึงพระพุทธศาสนาก่อนเสียชีวิต

มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง " The Human Side " ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลผู้นี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาแห่งโลกอนาคตว่า

The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism. (Albert Einstein)

"ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา(คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้นเมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนาที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้
....ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา"

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฏีสัมพัทธภาพ

คำพูดของไอสไตล์นั้นมีความนัยที่สำคัญซ่อนอยู่และรอคอยการค้นพบ และทฤษฎีเอกภาพหรือทฤษฎีสรรพสิ่งที่ต้องการค้นหานั้น ที่จริงพระพุทธเจ้าได้ตอบให้เบ็ดเสร็จก่อนหน้านั้น 2500 ปี

[1954, from Albert Einstein:The Human Side, edited by Helen Dukas and Banesh Hoffman, Princeton University Press]
May 19th, 1939, Albert Einstein’s speech on “Science and Religion” in Princeton, New Jersey, U.S.A

ดูต่อที่ : http://www.tlcthai.com/club/list_topic.php?club=buddhism&club_id=1278&table_id=1&cate_id=788


http://en.wikipedia.org/wiki/Albert_Einstein
http://www.mlahanas.de/Privat/quotations.htm http://members.shaw.ca/sanuja/buddhismquorts.html

ศาสนาพุทธ เเละ วิทยาศาสตร์ อยู่บนวิถีทางเดียวกัน คือ เรื่องของความจริง เเต่ศาสนาพุทธนอกจากจะ "ความจริงเเล้ว" ยังสอนให้เราหลุดพ้นไปจากความจริงนั้นได้ด้วย ขณะที่วิทยาศาสตร์จะหยุดอยู่เเค่ "ความจริง" เท่านั้น




อะไรคือความจริงแท้ .. "ความจริง" คืออะไร

ตอบว่า.. ความจริงแท้ คือ สิ่งที่พิสูจน์ได้ ด้วยอุปกรณ์ และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ แต่..อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ ก็ยังพิสูจน์ความมีอยู่จริงของ นรก สวรรค์ และ มรรค ผล นิพพาน ไม่ได้

แต่..พุทธศาสนาท้าให้พิสูจน์ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน มาตลอด 2000 ปี เมื่อยังมีผู้ตัดสินใจบวชถวายชีวิตในพุทธศาสนาอยู่ นั่นก็แสดงว่า ผู้นั้นได้ยอมจำนนต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข.. นี่แล..คือความจริง เหนือจริงของพุทธศาสนา


"Science without religion is lame, religion without science is blind."
ศาสตร์ที่ไร้ศาสน์ คือความพิกลพิการ, ศาสน์ที่ไร้ศาสตร์ คือความมืดมนอนธการ
'Albert Einstein' อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์




บทพิสูจน์

งานวิจัยเรื่อง “ 20 ผู้กลับชาติมาเกิด” โดย Ian Stevenson, M.D. (ศาสตราจารย์ น.พ.เอียน สตีเวนสัน) มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย พิมพ์โดย อภิธรรมมูลนิธิ หน้าพุทธมณฑล อ. พุทธมณฑล จ. นครปฐม 73170

อ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ : http://books.google.com/books?id=vIDES6VWl1MC&pg=PA181&dq=%22Stevenson%22+%22Twenty+Cases+Suggestive+of+Reincarnation%22+&sig=QORGdIeFDeRLJjtrmEqLZCnnW9Q#PPA184,M1


ถ้าไม่จริง เด็ก 2 ขวบ จะรู้จักชื่อของลูกเมีย ญาติพี่น้องของตนในชาติก่อนได้อย่าง โดยที่ ศาสตราจารย์ น.พ.เอียน สตีเวนสัน ได้นำเด็กคนนั้น...ไปหาญาติพี่น้องตามที่เด็กกล่าวอ้าง จนพบจริง ๆ ในประเทศบลาซิล มีอยู่ถึง 6 คน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 10 มิ.ย.2008, 12:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
คิดอย่างไรกับการที่ชาวคริสต์บอกว่าศาสนาอื่นเกิดจากซาตาน



เอามาจากไหน
ชาวคริสต์ที่ว่า เป็นใคร.....
........... เป็นมหามติของชาวคริสต์ทุกนิกายรวมกันแถลง?
...........หรือคนคนหนึ่งที่เผอิญนับถือคริสต์ แล้วอุตริคิดว่าตัวเองเป็นศาสนาคริสต์ (ตัวกู ของกู)



ศาสนา ประกอบด้วยศาสนิกหลายคน
แต่แค่ศาสนิกไม่กี่คน
หรือร้ายกว่านั้น ... ก็แค่คนเดียว (individual) ... มีสิทธิ์อะไรใช้คำว่า... "ชาวคริสต์บอกว่า"



เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว คนที่ถามแบบนี้ก็มีแต่ซาตานนั่นแหละ ที่ถาม
เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว ก็มีแต่ซาตานนั่นแหละ ที่สนใจแต่เรื่องพวกนี้
เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว ก็มีแต่ซาตานนั่นแหละ ที่คิดได้แค่นี้ คิดเป็นแค่นี้ มีปัญญาแค่นี้

ตัวอย่าง.....ก็พวกอิสลามหัวรุนแรงไงเล่า ที่คิดว่าตัวเองคือศาสนา ...

อ้างศาสนา ซึ่งเปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่
แต่ตัวเองเป็นแค่คนกลุ่มหนึ่ง พวกหนึ่ง เป็นแค่"ส่วนหนึ่ง"ในไม้ต้นใหญ่
กลับหลงคิดว่าตัวเองเป็น..."ไม้ทั้งต้น"

เมื่อความคิดผิด
ก็ทำให้พูดผิด ... ทำผิด ... แล้วก็นำไปสู่ความคิดผิดๆอีก ไม่จบไม่สิ้น
แล้วเที่ยวใช้ความคิดผิดๆอันนี้ สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายให้กับชาวโลก

ผู้ที่สนใจประเด็นประเภทนี้ พึงระลึกว่า ตัวเองมีส่วนแห่งความเป็นซาตานหรือไม่
ก็ในเมื่อยังคิดว่า เป็นตัวกู ของกู ศาสนากู ต้นไม้นี้ของกู


ไม่ใช่ทุกคำถาม ที่ต้องหาคำตอบ
พึงเลือกคิดบ้าง เลือกถามบ้าง
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เสกสรรค์
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 02 ส.ค. 2007
ตอบ: 22
ที่อยู่ (จังหวัด): นครพนม

ตอบตอบเมื่อ: 21 มิ.ย.2008, 8:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยิ้ม คุณลองถามเขาว่า มีอะไรเป้นเครื่องพิสูจน์ แต่หลักธรรมของพุทธศาสนา สามารถพิสูจน์ได้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2008, 8:16 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตามประวัติ ที่ได้ศึกษาได้ยินจากครูบาอาจารย์ ท่านเล่าให้ฟังว่า ศาสดาของศาสนาคริสต์นั้นที่จริง ก็ได้ศึกษาหลักธรรมไปจากพระพุทธเจ้าของเรานั่นเอง แล้วได้แยกตัวออกไป คล้ายกับว่า ตั้งศาสนาขึ้นมาใหม่

และมีองค์ศาสดาชื่อว่า พระเยซู

ถ้าเป็นดังนี้จริง รากฐานของศาสนาคริสต์ ก็จะ มาจากศาสนาพุทธนั่นเอง แต่ถ้ามองโดยหลักพื้นฐาน ในการใช้ชีวิตก็ การทำบุญในส่วนต่างๆ ก็ดี ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นว่า ศาสนาทุกศาสนา นั้นต้องยึดหลักศีล 5 เป็นพื้นฐานทั้งนั้น ไม่ว่าจะศาสนาใดในโลกนี้

แต่ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชนชาวไทย หรือพุทธโดยตรงนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้ถือหลัก 3 ข้อในการดำเนินชีวิตคือ ทาน ศีล และภาวนา

ถ้าเป็นพระภิกษุสงฆ์ ก็จะสูงขึ้นไป เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา

ซึ่งจะเว้นทานเสีย เพราะได้สละชีวิตฆราวาสวิสัยออกบวชแล้ว ถือว่าการเสียสละเช่นนี้ เหนือกว่า ทานทั่วไปแล้ว

ส่วนท่านที่นับถือศาสนาอื่น ถ้าได้อ่านข้อความนี้ โปรดแสดงความคิดเห็นหรืออธิบายหลักธรรมคำสั่งสอน ของศาสนาท่าน อันเป็นพื้นฐานของชีวิต เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนสหธรรมมิก และข้าพเจ้าเองด้วย

ขอบคุณมากครับ

สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
natdanai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok

ตอบตอบเมื่อ: 15 ก.ค.2008, 6:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่ใช่เรื่องของเราครับ เรามีศรัทธาในศาสนาใดก็ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนานั้นครับ
 

_________________
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 22 ก.ค.2008, 4:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โลกเราเป็นที่รวมของพุทธะ และมาร พระพุทธเจ้าเรียกผู้ที่ยังไม่เข้ากระแสพระนิพพาน บรรลุโสดาบัน
ว่า ยังไม่พ้นมือมาร

ซาตานก็คือมารที่ชักนำให้ไปสู่ความชั่ว พระเจ้าในศาสนาอื่นคือ ผู้ที่ชักนำให้ไปสู่ความดี แต่นั่นไม่ใช่
พระเจ้าแท้จริง พระพุทธเจ้าเรียก ซาตาน(ที่ชักนำให้ไปสู่ความชั่ว) และพระเจ้า(ที่ชักนำให้ไปสู่ความดี)ว่า
มาร

ส่วนพระเจ้าแท้จริง คือ พระนิพพาน ตัวแทนของพระเจ้าแท้จริง คือ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง