ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ชูโชค
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 05 ม.ค. 2008
ตอบ: 2
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
01 มิ.ย.2008, 11:04 am |
  |
สวัสดีครับ ผมเคยลงตั้งกระทู้ถามท่านสมาชิก มีท่านสมาชิกบางท่านตอบ มาผมได้อ่านแล้ว รู้สึกขอบคุณสำหรับคำตอบ แต่เมื่อผมมาฟังธรรม เรื่องพุทธประวัติ ผมเห็นว่า พระพุทธเจ้า ตอนออกบวช ก็ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน อย่างนี้พระพุทธเจ้า ก็เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีตอนเป็นฆารวาสสิครับ จากที่ท่านได้ตอบมานะ |
|
_________________ -*- |
|
    |
 |
ต้นไทร
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2007
ตอบ: 22
|
ตอบเมื่อ:
04 มิ.ย.2008, 9:41 am |
  |
คิดใหม่อีกรอบนะครับ สำหรับการกล่าวว่า
พระพุทธเจ้าก็เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีตอนเป็นฆารวาสสิครับ
 |
|
_________________ ผมชื่อต้นไทร เป็นน้องชายพี่ใบโพธิ์ครับ |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
04 มิ.ย.2008, 12:12 pm |
  |
อืม
ผมดูพระเวสสันดร ตอนนำมาฉายที่ itv ผมก็ยังสงสัย
ว่าลูกเมีย ครอบครัว ประชาชน เป็นทุกข์จากสิ่งที่ท่านทำ
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เรียกว่าการบำเพ็ญบารมีได้อย่างไร
ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน ลงชื่ออยากรู้ด้วยคน
รอผู้รู้มาไขก๊อกนะคับ |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
โปเต้
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 10 พ.ค. 2008
ตอบ: 76
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
06 มิ.ย.2008, 10:04 pm |
  |
เคยคิดมาหลายเรื่องมากเลยค่ะ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า อย่างเช่นเรื่องนางมาคันธิยา หรือเรื่องให้ทานลูกแก่ชูชก
หลังจากที่ได้ศึกษาธรรมะมามาก ทำให้เริ่มเข้าใจในคำว่า ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน
ก่อนที่จะทรงเป็นพระพุทธเจ้า ก็ทรงมุ่งประโยชน์ตนก่อน(คือให้ได้สำเร็จพระโพธิญาณ)
หลังจาทรงบรรลุผล ตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ทรงมุ่งประโยชน์ท่าน(คือสอนชาวโลก ซึ่งชาวเมืองที่เป็ฯทุกข์จากการให้ทานช้าง ก็น่าจะได้เกิดมารับความอนุเคราะห์จากพระองค์ท่านเช่นกันนะคะ)
การให้ทาน กับการทิ้ง น่าจะเหมือนกัน
ท่านให้ทานช้างคู่บ้านคู่เมือง ก็เหมือนกับการทิ้งทุกสิ่งที่เป็นของตนให้กับคนที่เขาอยากได้
เพราะในที่สุดท่านก็ได้ทิ้งบัลลังก์ ประมาณว่าแม้จะทราบผลลัพธ์แล้วว่าจะถูกขับจากเมือง ก็ยังจะให้ทาน
ซึ่งผลก็ทำให้ท่านสละโลกียสุข ออกแสวงหาโมกขธรรมได้
ผลของกรรม สลับซับซ้อน ขึ้นกับเจตนาเป็นใหญ่ค่ะ
แม้บางครั้ง ไม่มีเจตนา แต่ถ้ากระทำโดยประมาท ขาดสติ ก็จะได้รับผลแห่งการประมาทและขาดสติเช่นกันค่ะ
แต่ถ้าเจตนาที่แน่วแน่ มั่นคง ผลที่ได้ก็จะเป็นไปอย่างที่ตั้งใจ เจตนาไว้แน่นอนค่ะ
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงได้บำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้า ทรงดำริอยู่ในใจเป็นเวลา 7 อสงไขว่าต้องการเป็นพระพุทธเจ้า หลังจากนั้น ทรงประกาศความตั้งใจออกมาเป็นวาจา ว่าต้องการสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าอีก 7 อสงไข แล้วจึงได้เริ่มต้นกระทำการ บำเพ็ญบารมีจนได้รับพุทธทำนายว่าจะได้สำเร็จผลตามที่ต้องการ |
|
|
|
  |
 |
jojam
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 27 พ.ค. 2004
ตอบ: 62
|
ตอบเมื่อ:
07 มิ.ย.2008, 1:44 pm |
  |
เจ้าชายสิทธัตถะ เป็น "มหาบุรุษ"
ปล.สลดสังเวสในธรรม ไม่มี ในปุถุชน พระองค์ เป็นผู้สละ ทรัพย์สมบัติ ไปผจญกับความลำบาก นะ
** ทุกข์ที่เกิดจากวิเวก ยังควร หากไปเทียบ ในสุขกามตัณหานั้น จะมีคุณค่าอะไร |
|
|
|
   |
 |
กุหลาบสีชา
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
07 มิ.ย.2008, 5:49 pm |
  |
ตอนเด็กๆ ก็เคยข้องใจสงสัยอยู่ไม่น้อยเหมือนกันค่ะ
ทั้งเรื่องพระเวสสันดร และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่ต่อมาค่อยเข้าใจว่า
แท้จริงแล้วเป็นการเสียสละอย่างใหญ่หลวง
หาใช่เป็นการเห็นแก่ตัวอย่างที่เข้าใจไม่
ทั้งพระนางมัทรี พระชาลีและพระกัณหา
ล้วนเคยอธิษฐานจิตร่วมเป็นกำลังสร้างเสริมบารมี
ให้แก่พระโพธิสัตว์ในทุกชาติ
จนกว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งกล่าวกันว่า ในกาลต่อมา....
พระนางมัทรี ก็ได้เสวยพระชาติเป็น
"พระนางพิมพายโสธรา" พระมเหสีของเจ้าชายสิทธัตถะ
พระชาลี ก็ได้เสวยพระชาติเป็น "พระราหุล"
พระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ
พระกัณหา ก็ได้เสวยพระชาติเป็น "พระนางอุบลวรรณาเถรี"
ผู้เป็นอัครสาวิกาเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า
แลเป็นพระอรหันต์ผู้เป็นเอตทัคคะทางฤทธิ์ผู้หนึ่งในพระพุทธศาสนา
ลองอ่านบทความต่อไปนี้เกี่ยวกับพระเวสสันดร
ที่มีท่านผู้รู้ได้กล่าวไว้ในหลายแหล่งที่มา
และกุหลาบสีชาได้นำมาเรียบเรียง
เพื่อให้พี่น้องผองเพื่อนได้พิจารณาดูนะคะ
เพราะพระเวสสันดรโพธิสัตว์ ทรงปรารถนา พระโพธิญาณ
เพราะต้องการช่วยเวไนยสัตว์
พระองค์ทรงต้องการรู้แจ้งเห็นจริงเกี่ยวกับวิธีการทำลายความทุกข์
และต้นเหตุของความทุกข์เพื่อจะได้สอนผู้อื่นให้รู้ด้วย
และหาทางหลุดพ้นพบกับความสุขอย่างแท้จริง
และเนื่องจากพระเวสสันดรโพธิสัตว์
ท่านได้สร้างบารมีมาแล้ว ๒๐ อสงไขย กับ ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป
ครั้งที่ได้รับพยากรณ์เป็น นิยตโพธิสัตว์
อีกทั้งสร้างบารมีชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
นานถึง ๔ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป
พระองค์ทรงทราบด้วยกำลังปัญญาบารมีของท่านตรวจดูแล้ว
จึงทราบว่านี่จะเป็นพระชาติสุดท้ายของการบำเพ็ญบารมี
และเป็นชาติของการบำเพ็ญมหาทานบารมีอย่างยิ่งยวด
พระองค์ทรงทราบดีว่าวิธีการที่จะสั่งสมบารมี
เพื่อก้าวขึ้นสู่ความเป็นพระพุทธเจ้า
ดังที่พระโพธิสัตว์ทุกๆ พระองค์
ท่านประพฤติปฏิบัติตามกันมาเป็นอริยวงศ์นั้น
คือ การบำพ็ญ ทศบารมี ถึงขั้นปรมัตถบารมี
และหนึ่งในทศบารมีที่ต้องบำเพ็ญอย่างยิ่งยวดก็คือ ทานบารมี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริจาคทานที่เรียกว่า ปัญจมหาบริจาค
คือ บริจาคทรัพย์ บริจาคอวัยวะ บริจาคชีวิต บริจาคบุตร บริจาคภรรยา
ซึ่งชาวโลกส่วนใหญ่นั้น มักจะหวงแหน หึงหวง
อีกทั้งตระหนี่ในบุคคลและวัตถุสิ่งของ ๕ ประการนี้
เพราะเมื่อได้ครอบครองแล้ว มักจะยึดติดว่า นั่นเป็นของเรา
ใครจะมาแตะต้องหรือมาแยกให้พลัดพรากจากกันไปไม่ได้
ซึ่งอันที่จริงสิ่งเหล่านี้ใช่ว่าจะอยู่กับเราไปตลอด
ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องพลัดพรากล้มหายตายจากกันไป
ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวของเราเอง
ดังเช่น การเสียสละลูกซึ่งเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ให้กับผู้อื่นนั้น
ถือว่าเป็นการเสียสละอันยิ่งใหญ่ซึ่งยากที่ใครจะทำได้
เพราะพ่อแม่ทุกคนย่อมรักและห่วงลูก
ลูกถือว่าเป็นเครื่องพันธนาการทางจิตใจเป็นเครื่องผูกมัดใจของคนเรา
เป็น โลกิยภูมิ คือเป็นวิสัยของมนุษยโลก
ฉะนั้น... หากตัดเครื่องผูกพันเหล่านี้ออกไปเสียได้
จิตจะค่อย ๆ หลุดออกไปจากภาวะวิสัยของชาวโลก
จิตหลุดออกไปอยู่เหนือโลก เรียกว่าเป็น โลกุตตระ
แปลว่า อยู่เหนือโลก หรือ ยิ่งไปกว่าโลก
ดังนั้นการกระทำของพระเวสสันดรจึงเรียกว่าเป็นการกระทำที่เหนือโลก
เพราะพระองค์ กล้าที่จะเอาชนะความตระหนี่ สละออกซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้
เมื่อชูชกเดินทางมาจากดินแดนอันไกลแสนไกลด้วยความยากลำบากทุลักทุเล
อ้างเหตุผลที่มาขอสองกุมารกับพระเวสสันดร
ว่าตนเป็นคนยากจน และร่างกายพิกลพิการ
และได้ทราบกิตติศัพท์เลื่องลือ
ถึงความมีพระเมตตาของพระเวสสันดรจึงอุตส่าห์เดินทางมา
ในเวลานั้นพระเวสสันดรไม่ทรงมีทรัพย์สมบัติใดๆ
นอกจากพระโอรสธิดาซึ่งเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจ
เมื่อทรงเห็นความจำเป็นของชูชกว่ามีมากกว่าพระองค์จึงประทานให้
ถ้าพระองค์ไม่ให้จึงจะน่ามองว่าพระองค์นั้นทรงเห็นแก่ตัว
และพระกัณหา-พระชาลีซึ่งเป็นพระโอรสของพระองค์เอง
ก็ทรงตระหนักและเข้าใจถึงความตั้งพระทัยมุ่งมั่นของพระบิดา
ในเรื่องการหวังบรรลุพระโพธิญาณ
จึงยอมขึ้นมาจากสระบัวเพื่อให้พระบิดาประทานให้เป็นทาสของชูชก
การกระทำนี้ถ้าใครไม่มองให้ลึกซึ้งแล้ว
ก็อาจจะกล่าวหาว่าพระเวสสันดรว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวได้
อย่างไรก็ตามพระองค์ก็ยังทรงมีลักษณะความเป็น ปุถุชน อยู่
คือทรงมีความห่วงใยพระโอรสและพระธิดาเป็นอย่างยิ่ง
จะเห็นได้จากที่ทรง คาดค่า สองกุมารไว้สูงมาก
ก่อนที่จะประทานให้ชูชก
คือกำหนดค่าตัวสองกุมารเอาไว้
เพื่อพระโอรสธิดาทั้งสองสามารถไถ่ตัวให้พ้นความเป็นทาสของชูชกได้
ซึ่งผู้ที่จะไถ่ตัวพระกุมารสองพระองค์ได้นั้น
ก็จะต้องเป็นบุคคลซึ่งอยู่ในฐานะที่มีทรัพย์ศฤงคารมากมาย
ใช่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหาได้ไม่
เพื่อว่าจะได้ไม่ตกเป็นทาสของชูชกไปตลอดชีวิตนั่นเอง
ดังนั้น การหวัง พระนิพพาน หรือหวัง พระโพธิญาณ
จึงเป็นความปรารถนาที่ไม่ใช่การเห็นแก่ตัว
แต่เป็นความหวังเพื่อประโยชน์สุข
และเกื้อกูลต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายในอนาคต
และมิใช่เพราะอานิสงส์ที่มาจากความตั้งพระทัยที่แน่วแน่
และอุดมการณ์อันสูงส่งของพระเวสสันดร
ในการเสียสละลูกและพระมเหสีหรอกหรือ
ที่ทำให้ต่อมาโลกเราบังเกิดมหาบุรุษ
ผู้ซึ่งในภายหลังได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นองค์บรมศาสดาแห่งพุทธศาสนา
ที่ชี้ทางเหล่าเวไนยสัตว์ให้ข้ามวัฏฏสงสารอยู่ ณ ขณะนี้
|
|
|
|
    |
 |
ratchadapa
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 05 ม.ค. 2008
ตอบ: 84
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร
|
ตอบเมื่อ:
07 มิ.ย.2008, 9:23 pm |
  |
ดิฉันคิดว่า การที่พระพุทธองค์ ละทิ้งสมบัติบรมจักร รวมทั้งครอบครัวทั้งหมด
ก็เพื่อจะกลับมาช่วยภายหลังนะคะ ถ้าเราเอาสติปัญญาอย่างเราๆ ไปวัดก็คงจะไม่ทำอย่างพระองค์ ซึ่งแน่นอนก็จะไม่มีมหาบุรุษเกิดขึ้นมาช่วยมวลมนุษย์อย่างนี้
ถ้าพระองค์จะช่วยผู้อื่น พระองค์ก็ต้องช่วยตนให้ได้ก่อน เหมือนคนว่ายน้ำ
ถ้าตัวเองว่ายไม่ได้ อย่าไปหวังช่วยใคร และอีกอย่าง แม้จะทอดทิ้งไปแล้ว
ก็ใช่ว่าครอบครัวจะตกระกำลำบาก พระราชบิดาเป็นกษัตริย์ คงไม่ปล่อยให้
พระชายา พระโอรสของท่านไร้ที่พึ่งแน่ๆ
แล้วเมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว ก็กลับมาโปรดทุกพระองค์ จนได้อริยมรรค อริยผล
กันทั่ว ตามที่รู้ๆกันอยู่
คุณลองคิดดู สมมติคุณอยู่ในบ้านไม่มีอะไรจะกินอยู่กับครอบครัว คุณคงต้องละทิ้งครอบครัวเสียชั่วคราว ออกไปหาเงินทอง อาหาร ของใช้ดำรงชีพมาให้
เพื่อให้อยู่รอดกันไปได้ ไม่งั้นก็อดตายกันหมด
ส่วนพระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นว่า สมบัติภายนอก เช่นโภคทรัพย์เป็นของไม่แน่นอน มีวิบัติได้ จึงทรงมอบอริยทรัพย์ซึ่งสูงค่ากว่าให้
แม้ในชาติสุดท้ายก่อนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร ทรงให้ลูกสุดที่รักเป็นทาน เป็นทาสของชูชก ก็ทรงกำหนดค่าตัวพระโอรสธิดาไว้สูงลิ่ว ผู้จะมาไถ่ตัวได้ ต้องเป็นพระราชาเท่านั้น คือทรงเล็งผลว่า พระราชบิดาจะมารับพระโอรสธิดาของพระองค์กลับไปดูแลแน่นอน ไม่ได้ให้ไปตามยถากรรม
แม้แต่ชีวิตพระองค์เองยังเคยให้เป็นทานมาแล้วไม่รู้กี่ภพชาติ เราเอาภูมิปัญญาปุถุชนไปวัดพระโพธิสัตว์ และพระพุทธเจ้าไม่ได้หรอกนะคะ
 |
|
_________________ พวกเธอจงยินดีในความไม่ประมาท
จงระมัดระวังจิตของตน
จงถอนตนออกจากหล่มกิเลส
เหมือนพญาช้างติดหล่ม
พยายามช่วยตัวเอง |
|
  |
 |
tajmahal
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2008
ตอบ: 9
ที่อยู่ (จังหวัด): bkk
|
ตอบเมื่อ:
08 มิ.ย.2008, 12:48 pm |
  |
เรื่องนี้ก็เคยคิดด้วยความสงสัย...ทำไมไม่ทำหน้าที่ของสามี ก่อนบริจาคได้ถามลูกเมียก่อนมั้ย..... |
|
_________________ จิตใจไม่สงบยุทธภพย่อมปั่นป่วน |
|
        |
 |
|