Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 กายทิพย์มีจริงหรือไม่ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ซุปเปอร์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ย.2004, 6:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กายทิพย์มีจริงหรือไม่

คำตอบ คือ กายทิพย์มีจริง หมายความว่ามนุษย์ (ในที่นี้กล่าวถึงเฉพาะมนุษย์เท่านั้น) ทุกคนสามารถมีกายทิพย์ได้

กายทิพย์คืออะไร กายทิพย์ คืออะตอมภายในสรีระร่างกายของมนุษย์ที่แยกตัวออกจากเซลล์ของสรีระร่างกาย เพราะภายในสรีระร่างกายของมนุษย์นั้นจะประกอบไปด้วยเซลล์ต่างๆ เซลล์เหล่านั้นก็จะมีอะตอมอยู่ เมื่อบุคคลใดฝึกตนถูกหลักวิธี อีกทั้งมีความรู้ที่ถูกต้อง ฝึกตนถึงระดับหนึ่ง ก็จะสามารถแยกอะตอมภายในร่างกายของตัวเองได้ ซึ่งอะตอมที่แยกตัวนั้น อาจจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ หรืออาจสามารถบังคับแยกอะตอมได้

กายทิพย์มีลักษณะเช่นใด กายทิพย์เป็นอะตอม ดังนั้นจึงโปร่งแสง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า กายทิพย์จะคงรูปอยู่ครบถ้วนหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการฝึกตน ในที่นี้หมายถึงมองเห็นเป็นรูปร่างครบถ้วน

กายทิพย์สามารถเคลื่อนที่เคลื่อนย้ายได้ กล่าวคือ กายทิพย์สามารถเคลื่อนย้ายหรือเคลื่อนที่ไปได้ตามใจนึก ซึ่งก็ย่อมขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจและวิธีการฝึกตนที่ถูกต้อง ดังนั้นผู้มีกายทิพย์ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ที่ฝึกตนดีแล้วมีสมาธิที่ดีแล้ว

กายทิพย์เกิดขึ้นได้เมื่อใด สำหรับผู้ที่ฝึกตนดีแล้วมีความรู้ถูกต้องแล้วจึงจะสามารถมีกายทิพย์ได้ ดังนั้นกายทิพย์จะเกิดได้ทุกเวลาที่ต้องการ บางครั้งจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัต บางครั้งสามารถกำหนดให้เกิดได้ตามใจของบุคคลนั้นๆ

ที่กล่าวไปทั้งหมดเป็นลักษณะ ของกายทิพย์ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงมีจริง

 
เด็กขี้สงสัย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ย.2004, 8:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กายทิพย์มีจิงหรอ ม่ายอยากจะเชื่อ อยากรุ้วิธีจังเลยค่ะ เคยมีคนทำรึยังคะเนี่ย ช่วยบอกหน่อย
 
สำเร็จ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ย.2004, 1:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องกายทิพย์ เป็นเรื่องที่มองไม่เห็น
เรื่องอะตอม ก็เป็นเรื่องมองไม่เห็น

เรื่องแบบนี้เกินความสามารถมนุษย์ธรรมดา
ว่ากายทิพย์คืออะตอม ...อะตอมคือกายทิพย์
กลายเป็นว่า..สิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต...เป็นสิ่งเดียวกันซะแล้ว

พูดตามใครหรือเปล่า....อย่าคิดเรื่องแบบนี้เลย

กายทิย์จะมีหรือไม่มี พิสูจน์ยาก...
ไม่เหมาะกับคนธรรมดาอย่างเราที่จะพูด
ปล่อยให้พวกผู้วิเศษ..พูดไปเรื่อยๆ...เราฟังเฉยๆ ดีกว่า
 
ซุปเปอร์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ย.2004, 5:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณก็ลองหาหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือเกี่ยวกับกายวิภาคการแพทย์มาอ่านดู ก็จะรู้เอง

กายทิพย์ ไม่ใช่เรื่องของผู้วิเศษ แต่เป็นความรู้ที่เหล่าบรรดาท่านทั้งหลายควรศึกษาไว้จะได้ไม่ถูกหลอก อะตอมแม้เป็นสิ่งไม่มีชีวิต แต่อะตอมก็มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตเป็นส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
 
รชฏะ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ย.2004, 9:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมไม่แน่ใจว่า ผู้ที่เข้าใจในคำสอนศาสนาอิสลาม เวลาเขาพูด เขาสอน เขาจำเป็นต้องไปโยงเอาวิทยาศาสตร์เข้ามา เพื่อให้ต่างชาติหรือผู้ฟังยอมรับว่า เขาก็เป็นคนศิวิไลซ์นะ หรือไม่ ?



ผมไม่แน่ใจว่า ผู้ที่เข้าใจในคำสอนศาสนาคริสต์ เวลาเขาพูด เขาสอน เขาจำเป็นต้องไปโยงเอาวิทยาศาสตร์เข้ามา เพื่อให้ต่างชาติหรือผู้ฟังยอมรับว่า เขาก็เป็นคนศิวิไลซ์นะ หรือไม่ ?



แต่คนไทยพุทธ เหมือนคนมีปมด้อย ไม่ค่อยจะมั่นใจในศาสนาที่ตนนับถือ พยายามจะไปอิงวิทยาศาสตร์ เพื่อให้คนเชื่อว่าที่เขาพูดนะ น่าเชื่อถือ หรือว่าเขาเป็นคนที่ศิวิไลซ์นะ เพราะพูดเป็นวิทยาศาสตร์ ทั้งๆที่พูดให้คนไทยด้วยกันฟัง
 
สำเร็จ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ย.2004, 10:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



ขอตอบคุณซุปเปอร์...ครับ



ศาสตร์เรื่องกายทิพย์..เป็นเรื่องเหนือความสามารถมนุษย์

คุณซุปเปอร์ไปจำขี้ปากพวกนักวิทยาศาสตร์มาพูด

อธิบายว่าเป็นอะตอมเข้าไปนั่น....อธิบายอย่างตาเห็น



ยังมีหน้ามาบอกให้ผมไปหาหนังสือวิทยาศาสตร์มาอ่าน..คงคิดว่าผมโง่

คำอธิบายเพ้อเจ้อ..ผมอ่านมาหลายปีแล้ว...อวดรู้ทั้งนั้น

ความรู้แค่หางอึ่ง..อวดแสดงว่ารู้

มีคนเขียนเรื่องแบบนี้ถมถืด



พวกนักวิทยาศาสตร์เคยอธิบายว่าส่วนที่เล็กที่สุดของสสารคืออะตอม

ประกอบด้วยประจุไฟฟ้าบวก ลบ และเป็นกลาง

ผมก็เรียนมาสอบทีไรก็ตอบแบบนั้น...





ที่คุณซุปเปอร์พูด...กำลังมั่ว...เอาวิทยาศาสตร์ไปปนกับวิญญาณศาสตร์

ผมจึงบอกว่าอย่าคิดเลย...มันเกินความสามารถมนุษย์

คนอย่างคุณ..ศึกษานิดหน่อยก็อวดรู้มากซะแล้ว

มีอยู่มากมายในสังคม...



การที่คุณว่าแยกอะตอมได้คือกายทิพย์....ถ้าจะผิดไป

การแยกอะตอมทำได้ง่ายมาก...ไม่ใช่ศาสตร์ลึกลับ

คุณแยกน้ำด้วยไฟฟ้า...ก็ได้ 2 ธาตุ



คุณบอกว่าผู้ที่ฝึกตนจึงมีกายทิพย์ได้

ผมฟังผู้วิเศษบอกว่ากายทิพย์มีอยู่แล้ว...ฝึกแล้วแยกออกจากกายหยาบได้

ก็ได้แต่ฟัง...เท่านั้นเอง...ไม่โต้เถียงอะไร..เป็นเรื่องที่ผมยังโง่

ผมจึงไม่อวดฉลาด...จำขี้ปากใครมากล่าว...



ผมไม่ใช่ว่า...ไม่เชื่อว่ามีกายทิพย์

ผมก็ไม่ใช่ว่า...เชื่อว่ามีกายทิพย์

ผมบอกว่าเป็นเรื่องเกินความสามารถมนุษย์ธรรมดา



เรื่องแบบนี้ทำให้คนเป็นบ้าได้...ถ้าคิดเอาเอง

ผมเพียงแต่เตือนคุณไว้ดีๆ...กลัวคุณจะบ้าไปก่อน...เท่านั้นเอง



 
TU
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589

ตอบตอบเมื่อ: 03 พ.ย.2004, 7:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน





หนังสือแนวคำสอนสมเด็จโต สมาธิ ทางสงบ ถอดจิต


http://www.geocities.com/book_2546









 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวYahoo Messenger
สำเร็จ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 พ.ย.2004, 10:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอขอบคุณ คุณบัวตูม ที่แนะนำหนังสือ



ผมเคยอ่านเรื่องแนวกายทิพย์มาหลายเล่ม



เทียบเคียงแล้ว..บางส่วนไม่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า



อย่างเช่นอธิบายว่า กายทิย์ห่อหุ้มดวงจิหรือวิญญาณเป็นชั้นๆ

ตามการเกิดในแต่ละภพ เกิด 10 ครั้งก็หุ้ม 10 ชั้น



อธิบายอย่างนี้...ไม่ถูกตามคำสอนของพระพุทธองค์

จิตมีสภาพเกิดดับตลอดเวลา กายทิพย์จะห่ออะไรเมื่อจิตดับไป



เหมือนคนตาบอดแต่กำเนิด..ไม่รู้จักสีแดง เขียว เหลือง...

ไม่รู้ตั้งแต่เกิด ...ใครพูดยังไงก็ว่าไปตามเขา...

คนตาบอดแต่กำเนิดจะรู้จักสีต่างๆได้อย่างไร..





ผมจึงว่า..เป็นเรื่องเกินความสามารถมนุษย์ธรรมดา

ไม่ได้หมายความว่า..มนุษย์รู้ไม่ได้

ที่รู้ได้ต้องเป็นมนุษย์ที่มีความสามรถพิเศษ...นี่คือคำอธิบายของผม

ผมไม่อยากเถียงกับใคร...



แต่ถ้าเริ่มต้นแล้ว...คุณแยกแยะสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต...ยังไม่ได้

คุณศึกษาต่อไม่ได้

ทางพระท่านเรียกว่า....รูปกับนาม...ต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร...

ไม่ใช่ท่องจำเอา

การจะรู้เรื่องนี้ได้...ต้องได้ญาณขั้นที่ 1 ใน ญาณ 16





เมื่อก่อนก็เคยคิดว่าเป็นไปเหมือนคุณซุปเปอร์.....ใหม่ๆก็อย่างนี้ทั้งนั้น

 
ซุปเปอร์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 พ.ย.2004, 7:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณสำเร็จ คุณคิดว่า การที่ข้าพเจ้าเขียนกระทู้ขึ้นมาเขียนมาด้วยความบ๊อง หรือเขียนมาจากตำรา หรือเขียนมาจากความบ้า ไม่สามารถเป็นจริงมีจริง กระนั้นหรือ

ข้าพเจ้า เขียนขึ้นจากประสบการณ์จากการค้นคว้าศึกษา วิจัย และปฏิบัติได้แล้วจึงเขียนขี้นมา จึงกล่าวไว้ว่าสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีจริงเป็นจริง

ปัจจุบันข้าพเจ้าก็มีสรีระร่างกายเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ทำไมข้าพเจ้าปฏิบัติได้ แล้วมนุษย์ทั่วไปจะปฏิบัติไม่ได้หรือกระไร

แน่นอนหากไม่รู้หลักการและวิธีปฏิบัติและไม่มีความรู้ที่กว้างขวาง ก็ย่อมไม่มีทางสามารถปฏิบัติได้

จะต้องมีความรู้ ต้องมีหลักการ ต้องมีวิธีการที่ถูกต้องจึงจะสามารถปฏิบัติได้

สรุปแล้วถ้าคุณอยากพิสูจน์ก็มาหาข้าพเจ้าได้ที่ ร.ร.สารพัดช่าง ห้วยแก้วเชียงใหม่ เพราะตอนนี้ ผมไปเรียนคลายเหงาอยู่ที่นั่นได้ทุกเวลา จบ
 
สำเร็จ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 04 พ.ย.2004, 11:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอบคุณซุปเปอร์

ต้องขออภัยที่ทำให้คุณเข้าใจผิด..
ผมไม่ได้บอกว่าคุณเขียนกระทู้ด้วยความบ๊องส์
และผมก็ไม่ได้แสดงว่าคุณบ้าไปแล้ว
ผมเพียงแต่อยากชี้ความเข้าใจผิดบางอย่าง...ไม่ใช่ทั้งหมด

ผมบอกว่าเรื่องแบบนี้ทำให้คนเป็นบ้าได้...ถ้าคิดเอาเอง
ผมบอกว่าเป็นเรื่องเกินความสามารถของมนุษย์ธรรมดา
ไม่ใช่มนุษย์..รู้ไม่ได้...หมายความว่ารู้ได้แต่ต้อง..เป็นมนุษย์พิเศษ
มีการอบรม มีการศึกษา ที่ถูกต้อง

ขอถามคุณว่า...มีตรงไหนที่ผมบอกว่า ไม่มีกายทิพย์
ขอถามคุณว่า....มีตรงไหนที่ผมบอกว่า...มีกายทิพย์
ผมไม่โต้เถียงเรื่องแบบนี้

แต่ผมโต้เถียงเรื่องที่คุณอธิบายว่ากายทิพย์เป็นอะตอม..อะตอมคือกายทิพย์
เมื่อแยกอะตอมแล้วได้กายทิพย์...แสดงว่าต้องแยกอะตอมก่อนกายทิพย์จึงเกิด
แต่ที่เคยอ่านเรื่องราวมา...กายทิพย์มีอยู่แล้ว..สามารถแยกออกจากกายหยาบได้
ก็ฟังมา..ไม่รู้เท็จจริงเป็นอย่างไร..ยอมรับว่าโง่
ผมก็แสดงความเห็นไปตามที่คิด...ด้วยความระมัดระวัง

ครั้งแรกคุณอธิบายกายทิพย์คืออะตอม...อะตอมคือกายทิพย์
ผมคิดว่าคุณสับสนระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต
ก็เลยแย้งมา

คุณรู้หรือไม่..ความรู้ว่าอะไรคือสิ่งมีชีวิต...กับไม่มีชีวิต
คุณหรือผมและบุคคลทั่วไป..รู้หยาบๆว่า..มันรวมกันอยู่
แต่ถ้าแยกให้ชัด...ต้องศึกษามาก

ถ้าจะรู้ให้ชัดคุณต้องศึกษาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
แยกให้ออกว่าอะไรเป็นสิ่งมีชีวิต อะไรเป็นสิ่งไม่มีชีวิต
ทางพระท่านเรียกว่า รูป กับ นาม

คุณคิดว่ามันง่ายนักหรือที่จะรู้..สิ่งมีชีวิต กับ สิ่งไม่มีชีวิต
คนส่วนใหญ่คิดว่าง่าย...คิดตามหลักวิทยาศสตร์นั่นแหละ

พระพุทธองค์แสดงว่า...ต้องได้ถึงขั้น นามรูปปริเฉทญาณ
แยกรูป แยกนามได้...เห็นความแตกต่างชัดเจน ซึ่งไม่ใช่เรื่องทำได้ในชาติเดียว
ไม่ใช่การจำกันมา...ไม่ใชท่องเอา

คุณสรุปเอาเอาว่า..ผมอยากพิสูจน์...ก็ให้ไปหาคุณ
ผมบอกแล้วไงว่าเรื่องแบบนี้...ทำให้คนเป็นบ้าได้...ผมไม่สนใจจะพิสูจน์

เรื่องราวที่คุณตั้งกระทู้มา...ไม่ใช่ของใหม่
มีมาก่อนพุทธกาลแล้ว.....มีคนได้กายทิพย์ มีความวิเศษ มากมาย
มีแสดงไว้ในพระไตรปิฎก....แสดงถึงเทวดา พระอินทร์ พระพรหม
ซึ่งบุคคลเหล่านี้มีความเป็นทิพย์...คือ
มีกายทิพย์ อาหารทิพย์ มีอายุทิพย์

คุณยังหลงว่าคุณมีกายทิพย์...คุณเป็นผู้วิเศษ...คุณทำได้
คุณยังขาดสติควบคุมอีกมาก...ขอเตือนว่า...ระวังจะบ้า
ถ้าคุณมีกายทิพย์จริง..คุณก็ไปหาผมเองก็แล้วกัน..คุณวิเศษมิใช่หรือ
ทำไมต้องให้ผมมาหาคุณด้วย

ผมขอเตือนคุณว่า...การฝึกฝนวิชาใดก็ตาม...
หากปราศจากสติควบคุม...ทำให้บ้าได้ทั้งนั้น
ไม่ใช่แค่เรื่องกายทิพย์...รวมถึงไสยศาสตร์ทุกเรื่อง

ขอบคุณที่คุณลงท้ายว่า จบ....
ชวนไปหาแล้วพูดว่าจบ...มันขัดกันนะ

แต่เมื่อคุณพาดพิงมาถึงผม...ผมให้มันจบยังไม่ได้
เมื่อผมได้แสดงความเห็นตามที่อยากชี้แจงแล้ว
ก็หมดเรื่อง...
ถ้าคุณจบ...ผมก็จบ

ถ้าคุณจะมีต่อ...ผมก็ยินดีต่อ...ผมมันเป็นคนความรู้เยอะ...
ศึกษามามาก....ความรู้พอตัว...ไม่กลัวใคร...และที่สำคัญ...ไม่โง่
ถ้าหมั่นใส้...ก็พูดมา...ยินดีพูดคุยกับคุณได้ตลอด...
แต่ขอให้เป็นเรื่องในกระทู้....ไม่ใช่มาชวนผมไปพิสูจน์กายทิพย์กับคุณ
คนฉลาด...ถ้าอ่านความเห็นผมตั้งแต่ต้น...ไปชวนผมไปพิสูจน์หรอกครับ
 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 04 พ.ย.2004, 4:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากรู้ไปทำไมเรื่องกายทิพย์ กายเป็นทิพย์ก็เทวดาไงครับ ถ้าคนมีจิตเมือนเทวดา และมีกำลังสมาธิระดับอุปจาร สมารถทำอุคหนิมิตได้ ก้ถอดกายออกจากกายหยาบนี้ได้ เหมือนเอาไส้หญ้าปล้องออกจากเปลือกหญ้าปล้อง
 
สัปเหร่อ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 พ.ย.2004, 8:56 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออนุญาต

อยากออกความเห็น
 
ซุปเปอร์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 พ.ย.2004, 6:02 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณสำเร็จ คุณโต้แย้งได้ดีมาก แต่คุณไม่คิดถึงหลักความจริง ก่อนที่ข้าพเจ้าจะอธิบายให้คุณได้เกิดปัญญามากขึ้นกว่าเดิม ก็อยากจะถามคุณว่า อะไรคือแยกรูปแยกนาม แยกอย่างไร ใช้ความรู้อะไรแยก ใช้วิธีการอย่างไรแยกรูปแยกนามอะไรของคุณนั่น

ข้าพเจ้าเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาก็เพื่อให้ ผู้ใฝ่ทางธรรมได้รู้ว่า กายทิพย์มีจริง ไม่ต้องแยกอะตอมก็มีการทิพย์ได้ เพราะความรู้และสมองสติปัญญาของคนเราไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะทำได้เพียงแต่ทำให้สรีระร่างกายเป็นอะตอมเปล่งแสงได้ มองเห็นเป็นการทิพย์ได้ คือโปร่งแสง แต่แยกอะตอม คือเคลื่อนย้ายกายทิพย์ไม่ได้

อ่านตรงนี้ให้ดี กายทิพย์ไม่ใช่การแยกอะตอม แต่กายทิพย์คืออะตอม หากแยกอะตอม ก็จะเป็นกลารเคลื่อนย้ายอะตอม ซึ่งถ้าจะกล่าวอย่างให้เข้าใจง่ายก็คือ การแยกร่างหรือแบ่งภาคอะไรทำนองนั้น

คุณคิดว่า อะตอมไม่มีชีวิต แล้วคุณคิดว่า อะตอมอยู่ในร่างกายหรือมีอยู่ในร่างกายของสรรพสิ่งไม่ได้หรือ

น้ำ เป็นสิ่งมีชีวิตไหม

สัตว์ที่เราเอามากิน (หมายถีงที่เรากิน) มีชีวิตไหม

พืชที่เราเอามากิน(หมายถึงที่เราเอามาปรุงกิน) มีชีวิตไหม

ต้องอธิบายอีกว่า ไม่มีชีวิต แล้ว สัตว์พืช น้ำ อันเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตนั้น ทำไมจึงทำให้สรรพสิ่งที่มีชีวิตดำรงอยู่ได้

หลักการของข้าพเจ้ามีอยู่ว่า ในน้ำในดิน ในอากาศ ย่อมมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าเหล่านั้น รวมไปถึงอะตอม ที่สามารถถ่ายถอดอิเลคตรอน และถ่ายทอดโปรตอนให้แต่กันได้ (คุณอย่าเอาตำรามาอ้างว่า โปรตอนเคลื่อนที่ไม่ได้นะขอรับเพราะคนละอย่างกับของข้าพเจ้า)

เมื่อในน้ำในอากาศมีอะตอมแห่งสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็น ก็ทำให้เกิดความรู้เกี่ยวกับการเดินทางของเสียง การเดินทางของแสง และอื่นๆอีกหลายอย่าง

ในร่างกายของมนุษย์มีเซลล์ประกอบกันเป็นอวัยวะ เซลล์เหล่านั้นก็ประกอบไปด้วยอะตอม ที่ไม่มีเครื่องมือใดใดตรวจพบ เพราะอะตอมเป็นสิ่งที่เล็กที่สุดไม่มีเครื่องมือใดใดตรวจหาได้ มาถึงตอนนี้คุณพอจะเกิดปัญญาแล้วหรือยังละคุณสมเส็จ
 
ซุปเปอร์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 พ.ย.2004, 6:11 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อีกประการหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่ได้ชวนคุณมาดุกายทิพย์ของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าจะให้คุณพิสูจน์ เพราะคุณคิดว่าอะตอมไม่มีในตัวมนุษย์ คุณนะไม่โง่ดอกนะ แต่อวดฉลาดนะคุณ

ถ้าคุณยีนยันความฉลาดน้อยของคุณว่า อะตอมเป็นสิ่งไม่มีชีวิตไม่มีในตัวมนุษย์ก็เชิญมาพิสูจน์ได้ แล้วคุณก็จะได้รู้ได้เห็นด้วยตาของตอนเอง ดังกระทู้ที่ข้าพเจ้าได้อรรถาธิบายไปฉะนี้

ยังขาดไปอีกอย่าง ที่มีกระทู้แสดงความคิดเห็น ว่า ศาสนาอื่นไม่เอาหลักวิทยาศาสตร์มาสอน ยังรู้น้อยไปคุณ ศาสนาทุกศาสนาเป็นหลักวิทยาศาสตร์ จะว่าเป็นแม่แบบหรือเป็นแม่บทของหลักวิทยาศาสตร์ก้ว่าได้ แต่ศาสนาเป็นหล้กวิทยาศาสตร์ที่รวมหลักการทางวิทยาศาสตร์ไว้หลายแขนงตั้งแต่ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิทยศาสตร์กายภาพ เคมี และอื่นๆ
 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 11 พ.ย.2004, 9:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อเราออกจากกายนี้ด้วยอุคหนิมิตที่เป็นสมาธิ เรารู้สึกในตัวเราที่เป็นมนุษย์อย่างไร กายที่ถอดจากกายก็เอาความรู้สึกเป็นตัวตนของเราทั้งหมดนั้นออกไปด้วย นั่นแหละคือความจริงของกายทิพย์ กายทิพย์จะมีรูปร่างอย่างไรอย่าได้สำคัญ สำคัญแต่เป็นความรู้สึกของเราว่ามีตัวออกจากตัวทิ้งตัวของเราไงว้ที่หนึ่ง และเราได้ไปอีกที่หนึ่งแล้ว นี่คือความจริงแท้ชัดในโลกสมมุตินี้
 
charoem
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 เม.ย. 2008
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 09 พ.ค.2008, 12:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้ปฏิบัติหลายท่านเมื่อฝึกลมหายใจ ขณะนอนจนหลับไปบางทีมารู้สึกอีกครั้ง เมื่อเห็นร่างของตนเองอยู่ที่ใดไม่รู้และสถานที่เหล่านั้นดูเหมือนแปลกตาเสียนี่กระไร เลยทึกทักเอาว่าเป็นความฝัน ถ้าหากการเข้าและออกของกายทิพย์ ์ผู้ปฏิบัติมีสติอย่างสมบูรณ์จนเห็นทั้งการเข้าออกย่อมสามารถแยกแยะได้ว่าเป็นการถอดกายทิพย์หรือความฝัน แต่ผู้ที่มีบุญแต่ชาติปางก่อน และมักจะฝึกกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกจนเป็นนิตย์แล้วโอกาสจะทำให้กายทิพย์หลุดออกจากร่างไปยังที่ต่างๆนั้น ไม่สู้ยากนักและอาจเป็นการบังเอิญเสียด้วย

สูตรลับเฉพาะของพระพุทธองค์ กัลลัง นุ ตัง สมนุปัสสิตุง ควรหรือเพื่อจะตามรู้เห็นสิ่งนั้น คำตรัสของพระพุทธองค์ ทรงตรัสสอบอารมณ์ พระภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่เมืองสารนารถ พาราณสี เมื่อครั้งแสดงธรรมจักรกัปวัตนะสูตรแล้ว ทรงจำพรรษาและเริ่มทรงสอนอนัตตลักขณสูตร ว่าด้วยเรื่องไตรลักษณะญาณ ในร่างกายและจิตใจ ๕ ชนิด ท่านทรงเปรียบและแยกแยะแต่ละอย่าง ว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยงเมื่อไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือสุขเล่า เมื่อไม่เที่ยงเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นเรา หรือของเราหรือ เมื่อไม่เที่ยงเป็นทุกข์และไม่เป็น เรา ของเรา ควรหรือเพื่อจะตามรู้ ตามเห็น ตามพอใจและไม่พอใจ สิ่งนั้น

วิธีเพิ่มกุศลให้จิต จิตอันเป็นกุศลย่อมดึงกุศลกรรมมาห้อมล้อม จิตอันเป็นอกุศลย่อมดึงอกุศลกรรมมาห้อมล้อม มองมนุษย์และสัตว์แต่แง่ดี ส่วนที่ชั่วอย่ารู้ของเขาเลย จะค่อยทำให้จิตกลายเป็นกุศลทีละน้อย

เพิ่มกุศลจิตทวีคูณ เมื่อจิตที่มองสัตว์บุคคลในแง่ดี ส่วนดีแล้วย่อมทำให้จิตวางเฉยต่อสัตว์บุคคล เราควรเพิ่มภาวะจิตให้ขยายออกและอิ่มเอมมากขึ้นโดยวิธีแผ่เมตตา เช่นระลึกคำว่า สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนเกิดแก่ เจ็บ ตาย จงเป็นสุข เป็นสุข เถิด และอีกวิธีคือ ขณะทรงอารมณ์สงบจากสมาธิและวิปัสสนา ให้แผ่แสงสว่างแห่งเมตตาและธรรมที่กำลังรู้เห็นอยู่นั้น ยิ่งทำให้มีพลานุภาพมากทวีคูณ

หลับลึกช่วยการถอดกายทิพย์ ผู้ฝึกเจริญสมาธิวิปัสสนาและฝึกถอดกายทิพย์ หวังติดต่อกับโลกวิญญาณขณะหลับ จำเป็นต้องให้กายนี้พักผ่อนเต็มที่ และไม่เป็นที่กังวลต่อจิตใจขณะหลับ บางท่านอาจนอนไม่หลับ บางท่านอาจจะสามารถรับรู้และตื่นต่อวิญญาณที่มาใกล้ตัว มีวิธีที่จะทำให้กายนี้หลับได้ลึกอีกวิธีหนึ่งคือ จะต้องฝึกให้กายนี่ได้เริ่มนอนตั้งแต่ประมาณ ไม่เกิน ๓ ทุ่มเป็นต้นไป แม้ใหม่ๆไม่หลับก็นอนเช่นนั้นทุกวัน นานวันเข้ากายนี้จะหลับเร็ว และจะพบว่าเริ่มมีความฝันที่เป็นเรื่องราวที่ยาวขึ้นและติดต่อกัน หากท่านใดถอดกายทิพย์ได้จะไปได้เป็นภพภูมิทีเดียว
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 10 พ.ค.2008, 8:21 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ซุปเปอร์ พิมพ์ว่า:
กายทิพย์มีจริงหรือไม่ <br>
คำตอบ คือ กายทิพย์มีจริง หมายความว่ามนุษย์ (ในที่นี้กล่าวถึงเฉพาะมนุษย์เท่านั้น) ทุกคนสามารถมีกายทิพย์ได้ <br>
กายทิพย์คืออะไร กายทิพย์ คืออะตอมภายในสรีระร่างกายของมนุษย์ที่แยกตัวออกจากเซลล์ของสรีระร่างกาย เพราะภายในสรีระร่างกายของมนุษย์นั้นจะประกอบไปด้วยเซลล์ต่างๆ เซลล์เหล่านั้นก็จะมีอะตอมอยู่ เมื่อบุคคลใดฝึกตนถูกหลักวิธี อีกทั้งมีความรู้ที่ถูกต้อง ฝึกตนถึงระดับหนึ่ง ก็จะสามารถแยกอะตอมภายในร่างกายของตัวเองได้ ซึ่งอะตอมที่แยกตัวนั้น อาจจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ หรืออาจสามารถบังคับแยกอะตอมได้ <br>
กายทิพย์มีลักษณะเช่นใด กายทิพย์เป็นอะตอม ดังนั้นจึงโปร่งแสง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า กายทิพย์จะคงรูปอยู่ครบถ้วนหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการฝึกตน ในที่นี้หมายถึงมองเห็นเป็นรูปร่างครบถ้วน <br>
กายทิพย์สามารถเคลื่อนที่เคลื่อนย้ายได้ กล่าวคือ กายทิพย์สามารถเคลื่อนย้ายหรือเคลื่อนที่ไปได้ตามใจนึก ซึ่งก็ย่อมขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจและวิธีการฝึกตนที่ถูกต้อง ดังนั้นผู้มีกายทิพย์ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ที่ฝึกตนดีแล้วมีสมาธิที่ดีแล้ว <br>
กายทิพย์เกิดขึ้นได้เมื่อใด สำหรับผู้ที่ฝึกตนดีแล้วมีความรู้ถูกต้องแล้วจึงจะสามารถมีกายทิพย์ได้ ดังนั้นกายทิพย์จะเกิดได้ทุกเวลาที่ต้องการ บางครั้งจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัต บางครั้งสามารถกำหนดให้เกิดได้ตามใจของบุคคลนั้นๆ <br>
ที่กล่าวไปทั้งหมดเป็นลักษณะ ของกายทิพย์ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงมีจริง <br>


คุณเจ้าของกระทู้ ต่อไป ถ้าจะนำเอาของใครมาเขียน ก็ให้บอกด้วยว่า เป็นข้อเขียนของใคร ไม่ใช่นำมาดัดแปลงคำบางคำ แล้วใส่ชื่อตัวเอง น่าเกลียด ผู้เจริญทางจิตใจ และใฝ่ศาสนา เขาไม่ทำกันดอกนะคุณ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 10 พ.ค.2008, 8:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ต้องขออภัยต่อเจ้าของกระทู้
ข้าพเจ้าลืมไปว่า เจ้าของกระทู้คือ ข้าพเจ้าเอง พึ่งนึกขึ้นได้ว่า ตอนนั้น ใช้ชื่อว่า "ซุปเปอร์" แต่ดันลืมพาสเวอร์ด เลยเข้าเวบฯไม่ได้
(เขาเข้าใจผิด เลยไม่ได้เข้านั่นแหละนะ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตามรอย
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 16 เม.ย. 2008
ตอบ: 109
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 14 พ.ค.2008, 12:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ใครไปขุดกระทู้มาล่ะครับเนี่ยเถียงกันมันส์มาก
แต่จะมีไม่มีก็ช่างมันเถอะนะครับ 555
 

_________________
อย่าประมาทลืมตน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
อภินันโท
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 07 พ.ค. 2008
ตอบ: 6

ตอบตอบเมื่อ: 27 พ.ค.2008, 2:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องของคุณน่าสนใจดีครับ มีอัจฉริยะหลายคนแล้วครับ ที่ถูกหาว่า บ้า สติ ฟั่นเฟือน แต่ ให้ รับฟังไว้ครับ และมุ่งมั่น ค้นคว้าให้ลึกซึ้ง ชัดเจน และ หาหลักฐานมาอธิบายให้ได้ครับ มีทางเป็นไปได้ครับ ตามทางการปฏิบัติสมาธิ สำคัญคือ ต้องมีสติ ครับเวลาปฏิบัติ อย่าไปอยากได้ อยากรู้ครับ ไปตามทางเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอครับ เพราะศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ รู้ได้เฉพาะตนครับ ใครทำไครได้ พิสูจน์ด้วยตนเองครับ แต่รู้เรื่องกายทิพย์ก็ยังไม่ใช่ที่สุดของความรู้นะครับ ยังมีมากกว่านั้นอีกครับ ไปตามทางเรื่อยๆ เดี๋ยวเห็นเองครับ สุดท้าย ก็จะวางเฉยไปเลยนะครับรับรอง เป็นกำลังใจให้ครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง