Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
หญิงนักภาวนาชาวกรุง
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
สายลม
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245
ตอบเมื่อ: 08 มิ.ย.2004, 2:45 pm
หญิงนักภาวนาชาวกรุง
หลวงตากล่าวถึงสตรีท่านหนึ่ง เธอใช้ชีวิตที่ไม่แตกต่างอะไรจากคนทำงานทางโลกทั่วไป เนื่องจากมีครอบครัวมีบุตรธิดาถึง 3 คน ยิ่งกว่านั้นยังมีภาระหน้าที่การงานที่จะต้องบริหารและรับผิดชอบ แต่ด้วยจิตใจที่รักและเห็นคุณประโยชน์อันใหญ่หลวงของงานด้านจิตตภาวนา เธอจึงพยายามเจียดเวลาเพื่อเดินจงกรมและนั่งสมาธิภาวนาอย่างจริงจัง ฝึกสติอบรมปัญญาไปพร้อมๆ ควบคู่กับการงานโดยมิยอมให้เสียงานทางโลกแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นยังทำให้ความคิดความอ่านในหน้าที่การงานดีขึ้นแจ่มชัดขึ้นอีกด้วย เพราะเต็มพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ ความคิดความอ่าน... จึงไม่วู่วามตามอารมณ์หรือตามความฟุ้งซ่านส่ายแส่ของจิตใจ เหมือนในขณะที่ยังควบคุมจิตได้ไม่ดีพอ
เธอปฏิบัติเช่นนี้ อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอมาหลายปีด้วยความพากเพียร กระทั่งเห็นผลแห่งการปฏิบัติพอเป็นแรงจูงใจให้เพียรยิ่งๆ ขึ้น ครั้งหนึ่งเธอมีโอกาสได้เข้ากราบสนทนาธรรมกับหลวงตา ที่สวนแสงธรรม ในคราวท่านลงไปกรุงเทพฯ และได้เล่าผลอัศจรรย์ของจิตที่เกิดจากจิตตภาวนาถวายหลวงตา เป็นที่รื่นเริงในธรรมทั้งอาจารย์และศิษย์
กาลผ่านไป เมื่อหลวงตาท่านกลับวัดป่าบ้านตาด อุดรธานีแล้ว ตอนเช้าวันหนึ่ง ปลายปี พ.ศ. 2538 หลังจังหัน หลวงตาท่านแสดงธรรมได้ระยะหนึ่ง เนื้อธรรมที่แสดงนั้นได้ไปสัมผัสกับเรื่องที่ท่านได้สนทนากับสตรีท่านนี้ ท่านจึงได้เมตตาเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า มีพยานแล้ว ดังคำเทศน์ต่อไปนี้
"...พอพูดอย่างนี้ ก็ไปสัมผัสเรื่องหญิงคนหนึ่ง แกภาวนาอยู่ตามประสีประสาของแก สุดท้ายเอาจริงเอาจัง... เป็นเข้าจริงๆ เวลาเป็นเข้าจริงๆ แล้วเห็นโทษของกิเลสนี้ แหม... แกว่าอย่างนั้นนะ
ทำไมมันถึงร้ายแรงเอานักหนากิเลสนี่ รุนแรงมาก ทั่วสามแดนโลกธาตุกิเลสขยำคน
ฟังซิ แกไม่ได้เรียนนะ แกไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนทางอรรถทางธรรม ออกจากภาคปฏิบัติล้วนๆ
มองไปที่ไหนดูมีแต่กิเลสขยี้ขยำหัวสัตว์โลกเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่ว่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่ามนุษย์ ไม่ว่าชาติขั้นวรรณะใด มีแต่กิเลสขยำเอาโงหัวไม่ขึ้นเลย สลดสังเวช บางทีก็กระซิบบอกเพื่อนฝูงบ้าง บางคนพวกคลังกิเลสมันก็ไม่พอใจสุดท้ายจะทำภาวนาก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปทำอยู่ตามป่าตามอะไร เพราะทำงาน อยู่ตลอดเวลา สติไม่ได้เผลอตลอดเวลา มันเป็นเองของมัน
คำพูดอย่างนี้ไม่เป็นจริงเอามาพูดได้เหรอ ต้องออกมาจากภาคปฏิบัติรู้จริงเห็นจริง
สตินี้ดี ดีจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะทำการทำงานอะไร สติจ่อแล้ว ทำงานก็ทำไปตามเรื่อง ทำงานทางโลกก็ทำ ภายในก็ทำ หมุนติ้ว
นั่นเห็นไหม ได้ยินแต่หลวงตาบัวว่า หมุนติ้วๆ นี่ มีพยานแล้วนะ
เพื่อนฝูงเขาสงสาร พอทราบว่าเราไป เพราะแกอยากพบครูบาอาจารย์ อยากพบ เราแกก็อยากพบ พอดีแกก็มาจริงๆ คนมากๆ ก็ใส่เปรี้ยงเลย นั่นละ ขึ้นเวทีแชมเปี้ยน แล้วไม่ใช่เวทีธรรมดา ซัดกันใหญ่เลย แกก็ออกมาอย่างกระจ่างเลยนะ เปรี้ยงๆๆ นั่นละ ความรู้ความเห็นที่เป็นขึ้นจากจิตใจไม่สะทกสะท้านนะ แกก็ใส่มาเปรี้ยงๆ ทางนี้ก็ใส่กันเลย
ก็ทำกำดำกำขาวไปอย่างนั้นละ แต่จิตมันดูดดื่มอยากทำตลอดไป แต่ทีนี้ก็ไม่ทราบว่า ผิดหรือถูกประการใด
บอกแกว่า ถูกแล้ว เอ้า เอาเลยนะ รวมตัวแล้ว ทีนี้ฟาดลงไป ถลุงมันตรงนั้นๆ ชี้แจง เป็นระยะๆ เข้าไป แกพอใจเอาอย่างมาก
ทีนี้เป็นที่ตายใจแล้ว
เราว่า ตายใจน่ะถูกต้องแล้ว ที่ปฏิบัติมานี่ถูกต้องแล้ว แกนั่งภาวนาได้ถึง 13 ชั่วโมงก็มี 9 ชั่วโมง 10 ชั่วโมง 13 ชั่วโมงก็มี พิจารณาทุกขเวทนา ทุกขเวทนาเป็นของจริงทุกส่วน เป็นของจริงแล้วไม่มีกระทบกระเทือนกันเลย จะนั่งตั้งกัป ตั้งกัลป์ก็ได้ อย่าว่าแต่เพียง 12 - 13 ชั่วโมงเลย ลุกออกมาเฉยๆ นี่แหละจะนั่งตั้งกัป ตั้งกัลป์ก็ได้
ไม่มีอะไรที่จะเข้ามากระทบกระเทือนจิตใจได้เลย เมื่อต่างอันต่างจริงแล้วไม่คละเคล้ากัน
นั่นฟังซิแกพูด พูดอาจหาญเสียด้วยนะ เราก็รื่นเริงเห็นผลของการปฏิบัติธรรมนี่ละ ธรรมของพระพุทธเจ้าพอปรากฏขึ้นในใจ
เห็นโทษของกิเลสเห็นจริงๆ เห็นจนสลดสังเวช มองไปไหนๆ พิจารณาไปไหน แหม มีแต่ กิเลสอย่างเดียวครอบงำสัตว์โลกให้ดิ้นล้มดิ้นตายกันอยู่ ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด แล้วโลกก็ไม่รู้ ด้วยนะ น่าสงสารอันหนึ่ง แกว่า
โลกก็ไม่รู้ด้วยนะ มันขยี้ขยำจนจะตายก็ยังดิ้นเพลินกันอยู่
คนมากนะวันนั้น วันที่แกมาหา เพราะไม่มีเวลาที่จะพูดโดยเฉพาะ ไม่ต้องเฉพาะ ฟาดเลย เราว่าอย่างนี้แหละ แกเห็นโทษของกิเลสจริงๆ
เราไม่ตายให้กิเลสตายมีสองอย่าง ขั้นนี้ขั้นเห็น โทษของกิเลสเห็นเต็มหัวใจ เห็นคุณค่าของธรรมก็เห็นเต็มหัวใจ ทั้งสองอย่างนี้บรรจุเข้าสู่ใจแล้ว เอาชีวิตเข้าแลกเลย ไม่มีความสะทกสะท้าน เรื่องกับความตายหมุนติ้วๆ
นี่ละคนหนึ่งจะไปได้ ไม่นานละ แน่แล้ว เป็นผู้หญิงนะ มีลูก 3 คน แกก็เคยส่งปัจจัยมาวัดนี้ ประจำเดือน แกเล่าให้พัง คนฟังนี่ โห อ้าปากไม่งับแหละ ลืมตาหลับไม่ลงเพราะขึ้นตามหลัก ธรรมชาตินี่ หมุนติ้วๆ แกพูดเปรี้ยงๆ เอ้า เปิดๆ ให้หมด เราว่าอย่างนั้นนะ เราก็หิวอยากฟังนี่นะ มันมีแต่พูดคนเดียว เป็นบ้าอยู่ พูดตลอดเวลาเพราะไม่มีใครรู้ใครเห็นด้วย เหมือนบ้าพูดคนเดียว เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราเป็นบ้า พอดีได้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นพยาน
เอ้าพูดๆ เลย เอาให้เต็มที่นะ เราอยากฟังเหลือเกินธรรมะประเภทนี้ พูดอย่างนี้แหละว่า
"ไม่เคยได้ฟัง เพิ่งจะมาได้ฟังนี่แหละ เอ้า เปิดเลย" พอแกเปิดแล้วตรงไหนเป็นจุดที่ควรจะแนะ ก็แนะแก แกไม่ใช่ธรรมดานะ ตีเปรี้ยงๆ ลงไปเลย
เอ้าจุดนี้ๆ เอ้าๆ
นี่ละจวนจะไป ไม่อยู่แล้ว เป็นธรรมชาติแล้ว เป็นอัตโนมัติแล้วหมุนเรื่อย จิตเข้าถึงขั้นนี้แล้ว หมุนเรื่อย เห็นโทษของกิเลสจนจะสลบไสล กิเลสเป็นโทษแก่โลกขนาดไหน เวลาเข้าถึงตัวมันจริงๆ แล้ว จนสลบไสล โทษของมันทำให้เจ็บให้แสบให้เข็ดให้หลาบให้กลัว จนไม่รู้จักเป็นจักตาย หลบกิเลสหนีกิเลส ตายก็ตาย ให้ได้พ้นจากกิเลสก็แล้วกัน ให้พ้นๆ มันก็บินละซิ พระพุทธเจ้าสอนเล่นเมื่อไร พวกเราไม่เห็นนั่นซี จึงได้ว่ากิเลสแหลมคมมากนา แกพูด แกก็เปิดเต็มที่เหมือนกัน
แกพูดด้วยความตื่นเต้น และแกก็ไม่มีผู้ใดจะตอบรับแกอย่างนั้น เราก็ตอบรับเต็มภูมิเลย เพราะหิวกระหายอยากฟังมานาน
ธรรมะประเภทนี้มีแต่ประเภทความจำ จำได้ก็มาบ้าน้ำลายกันเหมือนนกขุนทองแก้วเจ้าขาๆ เรียนจบพระไตรปิฎก กิเลสตัวเดียวหนังไม่ถลอกเลย เห็นแต่อย่างนั้นเต็มบ้านเต็มเมือง นี่แกเอาจริงเอาจังแน่แล้ว...
คนนี้ไม่นานด้วยนะ เมื่อมีผู้แนะจุดสำคัญนี้แล้วมันจะพุ่ง ไม่ลูบไม่คลำเมื่อมีผู้แนะ ความที่ดำเนินมาแล้วก็ว่าถูกต้องแล้วก็หายห่วง
จุดไหนที่กำลัง ดำเนินก็ชี้บอก ทางนี้ก็พุ่งๆ เลย เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกันนะ คนไม่เคยกับศาสนาเวลามาปฏิบัติมันเป็นขึ้น นี่ละ
ความรู้จากภาคปฏิบัติกระจายอย่างนี้เอง ความรู้ในหนังสือที่ท่านจดจารึกมาในตำรับ ตำราในพระไตรปิฎกพประมาณเท่านั้นนะ ไม่ได้ซอกแซซิกแซ็กกระจายไปทุกแห่งทุกหน เหมือนภาคปฏิบัติ... เรียกว่าทั่วท้องฟ้ามหาสมุทรเลย..."
นับแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นต้นมา สตรีท่านนี้ยังไม่มีโอกาสเข้ากราบหลวงตาอีกเลย จนกระทั่งต้นเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2542 ณ สวนแสงธรรม ถนนพุทธมณฑลสาย 3 กรุงเทพมหานคร จึงได้เข้ากราบหลวงตาและสนทนาธรรมอีกครั้งหนึ่ง ใช้เวลาสนทนาเล็กน้อย ดังนี้
หลวงตา
เวลานี้พิจารณาอะไรอยู่
สตรีนักภาวนา
การปฏิบัติของลูกอาจจะไม่ได้ถูกร่องรอยที่หลวงตาสอนให้พิจารณานะเจ้าคะ เพราะว่าการปฏิบัติของลูกตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนมีสติสัมปชัญญะ ตามรักษาจิต ใช้วิธีนี้อย่างเดียวเจ้าค่ะ ตามรักษาจิตนี้ ลูกไม่ต้องกลับมาพิจารณา เลย อยู่กับจิตว่าง อยู่กับปัจจุบันธรรมก็จะเห็นความเกิดดับของสัญญา ความ เกิดดับของสิ่งที่รู้ทั้งหมด รู้แล้วดับ ถ้ารู้แล้วไม่หลง รู้แล้วดับหมด พอทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันก็ชัดขึ้นมาว่า มันไม่ใช่ตัวตน มันเป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่ ตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น มันเป็นธรรมชาติที่เกิดดับ เกิดดับเท่านั้นเอง เท่านั้น หลังจาก ช่วงนั้นแล้วก็เลิกถูกต้ม เลิกถูกจิตต้มอีกต่อไป
หลวงตา
มันต้มยังไง ?
สตรีนักภาวนา
ถ้าเมื่อก่อนนี้การที่จะระมัดระวังเฝ้ารักษาจิตนี้ ต้องสติตามดูตามรู้ กิเลสถึงจะไม่เกิดนะเจ้าคะ แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้วรู้เท่าทันสัญญา สติตั้งมั่น ไม่หลงอารมณ์ ทุกอย่างดับหมด ดับหมด เพราะอย่างนั้นถ้าครั้งไหนเกิดเพลิน เผลอไป แล้วหลงอารมณ์ ไปคว้าอารมณ์ก็ปล่อยได้เลย เพราะว่ารู้ว่ามันโง่ไปแล้ว เพราะฉะนั้น ลูกกราบรายงานหลวงตาว่า การรักษาจิตของลูกนี้มิได้พิจารณา เลยเจ้าค่ะ แต่การรู้ที่เห็นขึ้นเป็นขึ้นในขณะที่อยู่กับปัจจุบันธรรมตลอดเวลา แล้วทุกๆ วันนี้สิ่งที่ปฏิบัติอยู่ของลูกนี้ แม้แต่ฟังหลวงตา แม้จะอยู่ในหมู่ผู้คน ลูกเหมือนกับมี ตาอีกตาหนึ่งเห็นจิตตลอดเวลา เฝ้าดูจิตตลอดเวลาตั้งแต่ลืมตาจนเข้านอน ฉะนั้น การภาวนาของลูกนี้ ความเผลอเพลินในการทำงาน มีบ้างที่จิตส่ออก แต่นอกนั้นแล้วจิตจะอยู่รักษาข้างในหมด จะไม่ออกไปเพ่นพ่าน เพราะรู้ดี รู้เช่น เห็นชาติหมดว่ามันออกไปมันเอามาแต่อะไรแล้วเข็ดหลาบเบื่อหน่ายเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นวันทั้งวันจะมีสติตามรักษาจิตโดยไม่ต้องมีใครมาบอกเลย
หลวงตา
เข้าใจ เอาอยู่จุดนั้นละนะ เราจะไม่เร่งไม่บอกอะไรละ ให้เอาปัจจุบันนี้ เป็นหลักนะ เร่งก็เร่งอยู่ในปัจจุบัน ไม่เร่งก็อยู่ในปัจจุบัน ไม่นอกปัจจุบันแล้วไม่ผิด เข้าใจไหม ให้อยู่ในปัจจุบัน จิตในลักษณะในธรรมชาตินี้เป็นยังงั้น คุณก็มีครอบครัวเหย้าเรือน มีงานมีการอยู่ จึงไม่ค่อยเร่งให้ ปล่อยให้เจ้าของ เร่งเจ้าของเอง เข้าใจ ? ถ้าเป็นนักบวชนักปฏิบัติ แล้วไล่ตีหลงทิศไปเลย มันเป็นขั้น เป็นตอน
สตรีนักภาวนา
แต่จิตที่ดูเหมือนไม่เร่ง แต่มันก็ไม่ยอมปล่อยนะ
หลวงตา
เราเข้าใจ พูดอย่างนี้เข้าใจทันทีทันทีเลย ยังบอกให้ไปตามหลักธรรมชาติ ปัจจุบันๆ อย่างนั้นละ มันไม่มีอะไรละ มันอยู่กับปัจจุบันนั้นหมดเลย พอเรียนจบ ปัจจุบันแล้วละ ไม่ต้องถามแล้ว ปัญหาอะไรไม่มีละ ทีนี้เอาละ ดูปัจจุบันของเจ้าของเป็นยังไงเท่านั้นละ
สตรีนักภาวนา
ถ้ามีคนถามว่าลูกจะถามอะไรหลวงตา ลูกไม่รู้จะถามอะไร เพราะว่า ลูกเฝ้าแต่ปัจจุบันตลอดเวลา ถ้าอยู่กับปัจจุบันเมื่อไหร่ เกิดดับก็มาตลอดสายเจ้าค่ะ
หลวงตา
ก็ยังงั้นแล้ว นี่ก็ไม่ถามอะไร เพราะงั้นจึงว่าปัจจุบันนี้ พิจารณายังไงเท่านั้นเอง แน่ะ ก็เข้าปัจจุบันแล้วใช่ไหมล่ะ ถามตรงนั้นแหละ ตรงปัจจุบันสำคัญมาก นี้มันลงปัจจุบันแล้ว
สตรีนักภาวนา
เมื่อก่อนลูกตื่นตี 3 นะเจ้าคะ รู้สึกว่าเวลามันน้อยไป เดี๋ยวนี้ลูกขยับมา เป็นตี 2 ครึ่งทุกวันเจ้าค่ะ ลูกเดินจงกรมทุกวัน ลูกจะอยู่กับปัจจุบันเจ้าค่ะ อยู่กับปัจจุบัน เพราะฉะนั้น มันไม่มีความกลัวตาย ไม่มีความกลัวอะไรเลย เพราะรู้ว่าทุกๆ ขณะจิต ถ้าตายลงในขณะใด นี่มันอยู่พื้นเลยเจ้าค่ะ มันไม่มีสิทธิ์เลยที่จะหลุดไปไหนเจ้าค่ะ
..................................................................
คัดลอกบางส่วนมาจาก ::
หนังสือ...หยดน้ำบนใบบัว
หนังสือชีวประวัติของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
_________________
"อย่าลืมตัว อย่าลืมปัจจุบัน อย่าลืมปฏิบัติ"
DEV
บัวเริ่มพ้นน้ำ
เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 155
ตอบเมื่อ: 08 มิ.ย.2004, 3:49 pm
ซ๊าทุๆๆๆๆๆๆๆ ค๊าบบบบบบ
เดฟ
TU
บัวทอง
เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589
ตอบเมื่อ: 08 มิ.ย.2004, 5:12 pm
กับหญิงนักภาวนาชาวกรุง ตัวอย่างของ "ผู้หญิงในทางธรรม" ที่ปฏิบัติธรรมจนเห็นผลเป็นที่ประจักษ์แจ้งนะค่ะ
กับเจ้าของกระทู้ ที่นำข้อธรรมดีๆ ของผู้หญิงในทางธรรมมาเผยแพร่นะค่ะ
-สายลม-
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 09 มิ.ย.2004, 1:16 pm
เป็นแบบอย่างของนักปฏิบัติธรรมที่ดี ของนักปฏิบัติธรรมในยุคสมัยนี้
และประเภทที่ชอบอ้างติดนั้นติดนี้ไม่มีเวลาปฏิบัติ
ขอยกคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ที่ว่า
"ถ้ามีเวลาหายใจ ก็ต้องมีเวลาปฏิบัติธรรม"
จะเห็นว่าถ้าเราตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจังแล้ว เรื่องธุระหน้าที่การงานนั้นไม่ใช่
เรื่องอันเป็นอุปสรรคแต่ประการใด ถ้ามองกลับกันสิ่งที่เราทำ เรากระทบ ได้สัมผัส
เรื่องราว คนต่างๆ อารมณ์ต่างๆ นั้น เป็นเรื่องที่ช่วยให้การปฏิบัติธรรมของเรา
นั้นเจริญมาขึ้น โดยอาศัยอารมณ์เหล่านั้นมาเป็นตัวช่วยพัฒนาสติปัญญาของเรา
-สายลม-
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 09 มิ.ย.2004, 1:30 pm
หญิงนักภาวนา ท่านนี้
สมัยหนึ่งเคยปฏิบัติตามแนวของหลวงตามหาบัว (ตามหนังสือ)
หลังจากนั้นก็ได้ไปปฏิบัติตามแนวทาง "ดูจิต" แบบหลวงปู่ดูลย์
โดยได้รับการแนะนำวิธีปฏิบัติจากลูกศิษย์หลวงปู่
จากเนื้อการสนทนากันระหว่างหลวงตา กับหญิงนักภาวนานั้น
จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติวิปัสสนานั้นเราต้องละทิ้ง ปล่อยวางความคิดทุกชนิด
แล้วหันมาดูจิตโดยตรง ปัญญาของการปฏิบัติวิปัสสนานั้นไม่ได้เกิดจากความคิด
ขอคำของหลวงปู่ดูลย์ ที่กล่าวไว้ว่า
"คิดเท่าไร ก็ไม่รู้ แต่เมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ก็ต้องอาศัยความคิด จึงจะรู้"
ประโยคนี้มีความหมายเป็นสองตอน
ตอนที่หนึ่ง ก็คือ การปฏิบัติวิปัสสนานั้น เราต้องละวางความคิดทุกชนิด ถ้าเรายังเข้าใจว่าปัญญานั้นเกิดจากความคิด แล้วใช้ความคิดพิจารณาให้เกิดปัญญาเพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ การปฏิบัติแบบนี้ก็ไม่ใช่วิปัสสนา เป็นแบบวิปัสสนึก มากกว่า
ตอนที่สอง "แต่ก็ต้องอาศัยความคิด จึงจะรู้"
บางคนบางท่าน อาจจะสับสนว่าทำไมหลวงปู่จึงพูดกลับไปกลับมา แบบไม่มีจุดยืน
ผมคิดว่าที่จริงแล้วหลวงปู่ที่พูดให้เราเข้าใจลักษณะของความคิด และการปฏิบัติ
เมื่อเราเข้าใจลักษณะความคิดแล้ว ก็สามารถนำไปปฏิบัติได้ถูกต้อง
มีอยู่คำหนึ่งที่เราต้องตีความหมายให้เข้าใจ คือ "อาศัย"
คำว่า "อาศัย" หมายถึงพักหรือใช้ อยู่ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ใช่นำมาใช้จนกลายเป็นเรื่องจำเป็น หรือขาดไม่ได้ ทำนองนี้ครับ
amai
บัวบาน
เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435
ตอบเมื่อ: 09 มิ.ย.2004, 3:53 pm
สาธุอ่ะค่ะ
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
ตอบเมื่อ: 10 มิ.ย.2004, 7:29 am
สาธุค่ะ
^^^
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2006, 7:00 pm
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
ตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2006, 9:04 pm
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th