ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
amai
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435
|
ตอบเมื่อ:
05 ม.ค. 2005, 6:14 pm |
  |
เจ้าชายกับต้นสะเดา
นิทานธรรม ฉบับพิเศษ
จัดพิมพ์โดย ธรรมสภา
พระเจ้าพรหมทัตแห่งเมืองพาราณสี แคว้นกาสี ทรงมีพระโอรสพระองค์หนึ่งเป็นคนเกเรดุร้ายหยาบคาย ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นฤาษี ได้รับมอบหมายให้อบรมพระโอรส พระอานนท์เกิดเป็นพระเจ้าพรหมทัต
ฤาษีออกบวชจากตระกูลพราหมณ์ผู้มั่งคั่ง หลังจากบิดามารดาถึงแก่กรรม ครั้งเป็นฆราวาสได้เดินทางไปศึกษาไตรเพทและศิลปวิทยาที่เมืองตักสิลา เมื่อจบการศึกษาแล้วจึงได้สละทรัพย์สมบัติออกบวชเป็นฤาษี อยู่ในป่าหิมพานต์ บำเพ็ญฌานสมาบัติจนได้บรรลุคุณวิเศษต่างๆ คือ ตาทิพย์ หูทิพย์ เหาะเหินเดินอากาศได้
ต่อมา ฤาษีประสงค์จะเดินทางมาเยี่ยมบ้านเกิด จึงเหาะจากป่าหิมพานต์มาลงที่เขตเมืองพาราณสีแล้วเดินทางเข้าไปอาศัยอยู่ในพระอุทยานของพระเจ้าพรหมทัต เช้าวันรุ่งขึ้นท่านภิกขาจารอย่างสำรวมเรื่อยไปจนกระทั่งถึงลานหน้าพระราชวัง
ขณะนั้น พระเจ้าพรหมทัตประทับนั่งอยู่ในพระตำหนักทอดพระเนตรลงมาทางช่องพระแกล (หน้าต่าง) เห็นฤาษีเดินภิกขาจารอย่างสำรวมแล้วเกิดเลื่อมใส ตรัสกับตัวเองว่า “ฤาษีนี้สำรวมตา หู สำรวมกาย มองเพียงแค่ชั่วแวบจิตใจคงจะสงบ ท่านเดินอย่างองอาจเหมือนพญาราชสีห์ทุกๆ ย่างก้าว ท่านมีอะไรดีหรือ”
จากนั้นทรงคิดได้ว่า “เขาพูดกันว่า ธรรมที่ทำให้สงบมีอยู่ ในจิตใจของท่านน่าจะมีธรรมข้อนั้นอยู่เป็นแน่”
พระเจ้าพรหมทัตจึงทรงรับสั่งมาที่อำมาตย์คนหนึ่ง “ไปนิมนต์ฤาษีมาหาฉัน”
“มีอะไรหรือ เจริญพร” ฤาษีถามอย่างสำรวม
“พระเจ้าพรหมทัตทรงรับสั่งให้นิมนต์พระคุณท่านเข้าไปในวัง” อำมาตย์ชี้แจ้ง
“เจริญพร...” ฤาษีตอบรับ ครั้นแล้วก็เดินตามอำมาตย์เข้าไปในพระราชวังด้วยอาการสำรวม
พระเจ้าพรหมทัตทรงดีพระทัยมาก ที่ฤาษีรับนิมนต์เข้ามาในพระราชวัง พระองค์ทรงไหว้อย่างนอบน้อม แล้วนิมนต์ให้ขึ้นนั่งบนตั่งทองซึ่งมีเศวตฉัตรกั้นอยู่เบื้องบน จากนั้นจึงทรงสนทนากับฤาษีนั้น
“พระคุณเจ้า อยู่ที่ไหน” พระเจ้าพรหมทัตตรัสถาม
“อยู่ที่ป่าหิมพานต์” ฤาษีกราบทูล
“แล้วพระคุณเจ้าจะไปไหนต่อ”
อาตมาจะไปหาที่จำพรรษาสัก ๓ เดือน”
“ถ้าอย่างนั้น โยมขอนิมนต์พระคุณท่านอยู่จำพรรษาในอุทยานของโยมก็แล้วกัน”
“ที่ตรงนี้แหละที่โยมขอนิมนต์พระคุณท่านอยู่จำพรรษา” พระเจ้าพรหมทัตทรงชี้ให้ฤาษีดูมุมสงบในอุทยาน ครั้นแล้วทรงรับสั่งให้สร้างบรรณศาลา (โรงที่มุงบังด้วยใบไม้) จากนั้นทรงรับสั่งให้สร้างที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน เพื่อให้ฤาษีใช้ประโยชน์เต็มที่
พระเจ้าพรหมทัตทรงมีเรื่องไม่สบายพระทัยอยู่เรื่องหนึ่ง คือ เรื่องเจ้าชายทุฏฐกุมาร พระโอรสของพระองค์ที่ทรงเกเรนิสัยดุร้ายหยาบคาย พระองค์ทรงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะอบรมพระโอรสให้มีนิสัยอ่อนโยนและสุภาพ แต่ก็ไร้ผล พระเจ้าพรหมทัตทรงหนักพระทัยมาก
“ใครจะช่วยอบรมลูกเราได้” พระเจ้าพรหมทัตทรงครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลา
การที่พระองค์นิมนต์ฤาษีให้อยู่จำพรรษาในพระอุทยานของพระองค์ ก็เพื่อให้ได้ช่วยโปรดพระโอรสของพระองค์ด้วย พระเจ้าพรหมทัตเสด็จไปหาฤาษีเสมอที่ทรงว่างจากพระราชภารกิจ จนกระทั่งเกิดความคุ้นเคย
วันหนึ่ง จึงพาพระโอรสไปหาฤาษีด้วย “พระคุณท่าน ลูกชายโยมคนนี้นิสัยดุร้ายหยาบคาย ไม่มีใครจะอบรมเขาได้ นอกจากพระคุณท่านเท่านั้น” พระเจ้าพรหมทัตทรงกระซิบบอกฤาษี
(มีต่อ) |
|
|
|
    |
 |
amai
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435
|
ตอบเมื่อ:
05 ม.ค. 2005, 6:34 pm |
  |
“ขอถวายพระพร เจ้าชายยังอบรมได้อยู่ แต่ว่าต้องใช้กุศโลบาย” ฤาษีกราบทูล
วันนั้นก่อนเสด็จกลับ ทรงมอบเจ้าชายให้อยู่กับฤาษีในพระอุทยาน
“ลูกพ่อ พ่ออยากให้ลูกอยู่กับพระคุณท่านสักวันหนึ่งก่อนนะ ตกเย็นพ่อจะให้คนมารับ” พระเจ้าพรหมทัตตรัสบอกเจ้าชาย
ครั้นพระเจ้าพรหมทัตเสด็จกลับไปแล้ว ฤาษีก็ได้ชวนเจ้าชายสนทนาด้วยเรื่องต่างๆ
“องค์ชายมีพี่น้องกี่คน” ฤาษีเริ่มสนทนา
“องค์เดียว” เจ้าชายตรัสเสียงห้วน
“นับว่าองค์ชายโชคดี”
“โชคดียังไง”
“โชคดีที่ไม่ต้องมีใครแย่งความรักจากพระบิดาพระมารดา”
เจ้าชายทรงพอพระทัยมากกับคำพูดของฤาษี เมื่อคุ้นเคยกับเจ้าชายแล้ว ฤาษีก็พาเจ้าชายไปเดินเที่ยวเล่นในพระอุทยาน “องค์ชายเสด็จมาเที่ยวบ่อยไหม” ฤาษีชวนสนทนาต่อ
“นานๆ ที” เจ้าชายตรัสตอบและยิ้มให้
“องค์ชายรู้จักต้นไม้นั่นไหม” ฤาษีตรัสถามพลางชี้ไปที่ต้นสะเดาอ่อนต้นหนึ่งซึ่งสูงได้ ๔ นิ้ว และมีใบ ๒ ใบ
“ไม่รู้จัก” เจ้าชายสั่นพระเศียร
“ลองไปเด็ดมาเคี้ยวดูซี่”
เจ้าชายทรงทำตามที่ฤาษีทูลแนะนำ ไปเด็ดใบสะเดาใบหนึ่งมาเคี้ยว แต่ยังมิทันไรก็ทรงบ้วนทิ้งและตะโกนเสียงดังลั่น “ใบอะไร ขมจังเลย”
“เป็นอะไรไปหรือเจ้าชาย” ฤาษีแกล้งทูลถาม
“ก็ใบไม้นี้นะซี” เจ้าชายชี้ไปที่ต้นสะเดาด้วยท่าทางโกรธ
“มันใบต้นอะไร ขมจังเลย ต้นแค่นี้มันยังมีพิษร้ายขนาดนี้ ถ้าโตขึ้นพิษมันจะร้ายขนาดไหน ใครเผลอกินเข้าไปไม่ตายกันหมดหรือ” ว่าแล้วเจ้าชายก็เสด็จรี่ไปถอนต้นสะเดา แล้วขยำจนแหลกละเอียด มิหนำซ้ำยังทรงเหยียบซ้ำ
ฤาษีเห็นเหตุการณ์กำลังดำเนินไปตามแผน เนื่องจากได้สิ่งเปรียบเทียบ แล้วจึงทูลต่อไปว่า “องค์ชาย พระองค์ทรงถอนต้นสะเดาทิ้งก็เพราะพิโรธว่ามันมีรสขม และทรงรังเกียจว่าหากปล่อยให้มันโตใหญ่ขึ้นไปจะเป็นอันตรายต่อคนได้ องค์ชายก็เหมือนกัน ขณะนี้ทุกคนทั้งในและนอกพระราชวัง ต่างเห็นองค์ชายเป็นเหมือนต้นสะเดา และเชื่อได้ว่าต่อไปในภายภาคหน้า พวกเขาจะทำลายองค์ชายเหมือนอย่างที่องค์ชายทำลายต้นสะเดา”
เจ้าชายยืนฟังฤาษีพูดด้วยความตกตะลึง เพราะทรงนึกไม่ถึงว่าจะมีผู้บังอาจสอนพระองค์ได้อย่างแหลมคมเช่นนี้ ฤาษีเข้าใจท่าทีของเจ้าชายได้ดี จึงถือโอกาสนั้นถวายการอบรมว่า “องค์ชายจะต้องไม่ทำตัวเหมือนต้นสะเดาอีกต่อไปนับแต่นี้ ขอให้ทรงมีเมตตากรุณาต่อทุกคน และมีความอดทนหนักแน่นให้มาก ไม่ควรพูดให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจ แต่ควรพูดให้เกิดความรักความสามัคคี เพราะคนเหล่านี้ต่อไปก็คือผู้ค้ำบัลลังก์ขององค์ชาย”
ถึงตรงนี้ เจ้าชายมีอาการเศร้าซึมอย่างเห็นได้ชัด พระองค์เริ่มสำนึกผิดน้ำพระเนตรคลอ “พระคุณท่าน นับว่าโชคดีที่เสด็จพ่อได้พาข้าพเจ้ามาพบท่าน มิฉะนั้นแล้ว ข้าพเจ้าคงหลงตัวทะนงตนไปอีกนาน ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณท่านมาก”
ครั้นแล้ว เจ้าชายก็ก้มลงกราบฤาษีและทรงกล่าวปฏิญาณตนเป็นคนดีตลอดไป
นิทานธรรมเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การแก้ไขที่ยากลำบากนั้น คือการแก้ไขนิสัยคน ซึ่งบางครั้งต้องใช้เวลาและกลวิธีที่แยบยล เหมือนพระเจ้าพรหมทัตและฤาษีจากป่าหิมพานต์แก้ไขนิสัยเจ้าชายทุฏฐกุมารได้ ก็เพราะใช้เวลาและกลวิธีที่แยบยลฉะนั้น
........................ เอวัง ........................ |
|
|
|
    |
 |
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
24 พ.ค.2007, 2:45 pm |
  |
|
|
 |
ฌาณ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
|
ตอบเมื่อ:
02 ก.ย. 2008, 4:23 pm |
  |
สาธุครับ |
|
_________________ ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ |
|
  |
 |
|