ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
11 พ.ค.2007, 2:05 pm |
  |
คน ๔ เหล่า
โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
คนเราเกิดมาในโลกนี้ ต้องตกอยู่ในจำพวก ๔ เหล่านี้ทั้งนั้นคือ
• ตโม ตมปรายโน
คนมืดมาแต่เบื้องต้นแล้วก็มืดต่อไปอีก จำพวกนี้ใช้ไม่ได้
• ตโม โชติปรายโน
มืดแล้วสว่างไป ก็ยังดีหน่อย
• โชติ ตมปรายโน
สว่างเบื้องต้นแล้วมืดเบื้องปลายพวกนี้ใช้ไม่ได้เหมือนกัน
• โชติ โชติปรายโน
สว่างมาแล้วก็สว่างไป นั้นดีมาก
 |
|
แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 11 พ.ค.2007, 2:09 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง |
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
11 พ.ค.2007, 2:06 pm |
  |
บางคนเกิดมาไม่รู้เดียงสาอะไรเลย
เหมือนกับมดกับปลวก มืดตื้อไปหมด
พูดอะไรก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว เรื่องศีลเรื่องธรรมแล้วไม่ต้องกล่าว
เข้าใจว่า ตัวเองโง่เง่าเต่าตุ่นไม่มีสติปัญญา
แล้วก็เลยไม่ทำความดีต่อไป
เห็นว่าหมดวิสัยของตัวแล้ว ซ้ำเติมให้โง่ให้ทึบให้ตื้อเข้าไปอีก
เรียกว่ามืดมาแต่ต้น แล้วก็มืดต่อไปอีก
ขอให้คิดดู คนเราเกิดขึ้นมา
ถ้าไม่มีการศึกษาเล่าเรียน จะเอาความรู้มาแต่ไหน
เรียนอย่างน้อยที่สุดก็ได้ความรู้
ถ้าถือว่าตนโง่ แล้วก็ไม่ศึกษาเล่าเรียนและไม่ปฏิบัติ
มันก็ยิ่งโง่ขึ้นไปกว่าเก่า
คนที่เข้าใจผิดเช่นว่านั้น
ทำผิดพลาดจากการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เลยทีเดียว
แทนที่จะคิดว่าความมืด ความโง่ของเรานั้น
เราจะต้องแสวงหาเครื่องสว่างเป็นเครื่องส่องทางของเรา
ถึงไม่ได้มากสักนิดเดียวก็เอา จึงจะเป็นการดี
คนนั้นเรียกว่า ค่อยสว่างขึ้นหน่อย
อย่าไปถือว่านิสัยบุญวาสนาเราไม่ให้หรือไม่ส่งเสริม
ไม่สามารถที่จะเจริญภาวนาทำสมาธิได้
เลยทอดอาลัยเพียงแค่นั้น
บุญวาสนานิสัยของเรารู้แล้วหรือ เราเห็นแล้วหรือ
ภพก่อนชาติก่อนเราทำอะไรไว้ มันจึงโง่เง่าเต่าตุ่น
ทำอะไรก็ไม่เป็น เราไม่เห็นไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรอก
แต่โดยเหตุที่เราไม่มีปัญญา ก็เลยถือเอาเฉยๆ
นี่แหละว่า บุญวาสนาแต่ก่อนเราไม่มี
เราต้องขวนขวาย ต้องแสวงหา
ต้องอบรมเอาเองซี ทำแล้วมันต้องได้
ถ้าไม่ทำมันจะได้อะไร ให้เข้าใจอย่างนั้น
ให้ปฏิบัติอย่างนั้น มันจึงจะเจริญต่อไป
พวกที่มืดมาแล้วสว่างไป นั้นดี
บุคคลผู้แสวงหาประโยชน์ต้องเป็นอย่างนั้น
ต้องแสวงหาทางพ้นทุกข์แสวงหาความดี
ไม่มีใครเป็นนักปราชญ์มาตั้งแต่เกิด
มันต้องอาศัยการศึกษาเล่าเรียน
การฝึกฝนอบรมเป็นสิบๆ ปี
กว่าจะเป็นศาสตราจารย์ อาจารย์เขาได้
นั่นเรียกว่า มืดมาแต่ต้นค่อยสว่างตอนปลาย
ถ้าเป็นได้อย่างนั้น บุญวาสนาบารมี
มันต้องเป็นพื้นฐานของบุคคลสำหรับให้คนบำเพ็ญต่อไป
พวกสว่างเบื้องต้นแล้วมืดบั้นปลาย อันนี้ไม่ดีเลย
เกิดขึ้นมาเป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม
เกิดในตระกูลผู้ดีมั่งคั่งบริบูรณ์สมบูรณ์ทุกประการ
มีเกียรติยศชื่อเสียง แต่กลับทำตัวเป็นคนเลว
ทำชั่วร้ายยิ่งกว่าเก่า
สามารถที่จะทำอะไรได้ทุกอย่าง
เพราะมีเงินมีทอง มีชื่อเสียง มีอำนาจวาสนา
ทำดีก็ได้ แต่ไม่ทำ
กลับมาทำชั่ว เมื่อทำไปแล้วยากที่จะกลับคืนมาหาความดีได้
คือ มันเลวทรามมาแล้ว นิสัยชั่วช้าติดสันดานของตนเข้าไปแล้ว
จะกลับคืนมาเป็นคนดีก็อับอายขายขี้หน้าเขา
นั่นทำให้สังคมเสื่อม ทำให้สังคมเดือดร้อน
ทำให้คนอื่นวุ่นวาย เพราะเหตุเราคนเดียวเท่านั้น
เรียกว่า สว่างมาแล้วกลับไปมืดอีก
ร้ายกาจว่าพวกอื่นๆ ทุกพวก เรียกว่า รู้แล้วแกล้งทำไม่รู้
ส่วนพวกสว่างมาแล้วก็สว่างต่อไป นั้นดีมาก
เราเกิดมาในตระกูลที่มั่งคั่งสมบูรณ์ มีเกียรติยศชื่อเสียง
เงินทองมากมาย มาคิดถึงตัวเราว่าอุดมสมบูรณ์
เพราะบุญวาสนาบารมีแต่เก่า อันนั้นเห็นได้ชัด
คนที่มีเมตตาปรานีเอ็นดูสงเคราะห์คนอื่น
ตัวเองก็อยู่ในศีลในธรรม
แล้วก็แนะนำคนอื่นให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม
ให้ประพฤติดีประพฤติชอบ ประกอบแต่การกุศล
เจริญรุ่งเรืองด้วยตนเอง แล้วสอนให้คนอื่นเจริญรุ่งเรืองไปด้วย
ตัวของเราก็ยิ่งได้รับความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปอีกกว่าปกติธรรมดา
เขาได้รับคุณงามความดี เขาก็นิยมยกย่องสรรเสริญผู้ที่สอนเขา
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
11 พ.ค.2007, 2:07 pm |
  |
ธรรมที่ควรปฏิบัติสำหรับคน ๔ จำพวกนี้ก็คือ
พวกแรก ตโม ตมปรายโน
เราเป็นคนทุกข์ คนจนไม่มีสติปัญญา
เลยไม่คิดจะทำสมาธิภาวนา คุณงามความดีอะไรทั้งหมด
เลยหมดหนทางที่จะทำคุณงามความดีต่อไป
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ทางที่ถูกคือ ควรจะหัดสมาธิภาวนาทำสมาธิ
แล้วไม่มีทางอื่นใด ทีจะช่วยแก้ได้
ขอให้มีความอดทนพยายามอย่างเต็มที่
ก็จะสำเร็จตามความประสงค์
พวก ตโม โชติปรายโน
คนเราเกิดมาทุกคนต้องมืดมนด้วยกันทั้งนั้น
ไม่ใช่สว่างมาแต่เบื้องต้น
ใครเกิดมาจะรู้จักดี ชั่ว ฉลาดเฉลียวมาแต่เบื้องต้น ไม่มีหรอก
ถึงชาติก่อนจะเรียนรู้มาแล้วก็ตาม
กลับมาเกิดใหม่ก็ต้องมาเรียนใหม่
แต่นิสัยเป็นเหตุให้เรียนได้ดีกว่าคนไม่มีนิสัย
แต่คนมืดนั้นพยายามตั้งใจพยายามทำดี
ความพยายามทำให้ได้รับผลสำเร็จ
ศาสนานี้สอนให้ทำไม่ใช่ให้อยู่เฉยๆ
พระพุทธเจ้าสอนให้ทำทั้งนั้น
ต้องพยายามทำจริง จัง จึงจะดีต่อไป
จะไปอ้างกาลเวลา อ้างธุรกิจการงานต่างๆ นั้นไม่ได้
นั่นมันเป็นเพียงเครื่องประกอบอาชีพของเราเท่านั้น
มันไม่ใช่ของเรา
ของเราแท้ก็คือ การกระทำคุณงามความดี
หัดสมาธิภาวนาตั้งสติกำหนดจิต
นี่แหละเป็นของเราแท้ๆ ทีเดียว คนอื่นมาแย่งเราไม่ได้
การหาเงินหาทองข้าวของสมบัติต่างๆ
มันเป็นของภายนอก ไม่ใช่ของเรา
เราใช้เมื่อยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
ตายไปแล้วไม่เห็นเอาไปได้สักคนเดียว ให้คิดเสียอย่างนั้น
ให้ทำสมาธิภาวนาทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน
โชติ ตมปรายโน
สว่างแล้วกลับมืด เรื่องพรรค์นี้มีมากทีเดียว
เมื่อหัดสมาธิภาวนา ก็เกิดความรู้ความฉลาดพูดจาพาทีคล่องแคล่ว
เพราะเป็นของเกิดขึ้นมาในใจของตนเอง
ต่อมาเกิดความประมาทในกิจวัตรและข้อวัตรต่างๆ ในการทำสมาธิ
สมาธิภาวนาเลยเสื่อม เสื่อมแล้วคราวนี้ทำไม่ถูก
ทำอย่างไรๆ ก็ทำไม่ได้ เลยเบื่อหน่ายขี้เกียจ ในวัตรเสีย
เลยไปหากินตามปกติธรรมดา
เลยกลับเสื่อมเสียแทนที่จะเจริญต่อไป
อันนี้แหละน่าเสียดายด้วย น่าสงสารด้วย
ของดีๆ ทำมาแล้วกลับทิ้งทอดธุระเสีย
มิหนำซ้ำบางคนยังพูดหยาบหยามดูถูกอีกว่า
ศาสนานี้ทำเท่าไหร่ก็ทำเถิด ข้าพเจ้าทำมากแล้ว
ถึงขนาดนั้นยังไม่เป็นไป ยังเสื่อมเสียได้
จึงเป็นที่น่าเสียดายมากที่มาเหยียดหยามดูถูกการบวชการเรียน
การเข้าวัดฟังธรรม และศาสนา
สรุปรวมใจความแล้วว่า
ศาสนานี้สอนให้กระทำ ได้น้อยได้มากก็ทำ
ถึงจะได้น้อยก็ยินดีพอใจกับการกระทำของตน
เรามีมือน้อยก็รับเอาแต่น้อยๆ รับเอามากเกินไปก็ไม่ได้
ความยินดีตามมีตามได้ อะไรทั้งหมดก็เหมือนกัน
ไม่ว่าธรรม ไม่ว่าของภายนอก
มีน้อยแล้วไม่พอใจมักจะเสียหาย
จากหนังสือ ธรรมลีลา ปีที่ 6 ฉบับ 66 พฤษภาคม 2549
โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย
 |
|
|
|
   |
 |
I am
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972
|
ตอบเมื่อ:
14 พ.ค.2007, 8:10 am |
  |
โมทนาด้วยครับ คุณลูกโป่ง  |
|
_________________ ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก |
|
     |
 |
|