ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
migo
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 30 ส.ค. 2004
ตอบ: 1
|
ตอบเมื่อ:
11 พ.ย.2004, 9:17 pm |
  |
อยากจะถามบางท่านที่อาจจะมีประสบการณ์อย่างเดียวกัน หรือผู้ที่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ให้ช่วยอธิบายให้หายข้องใจ
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็ไม่ค่อยกล้าเล่าให้ใครฟังเพราะมันดูบ้าๆ และไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะเป็นกันบ้างหรือไม่
เหตุการณ์เริ่มขึ้นตอนที่ข้าพเจ้าเริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
1. ครั้งแรกที่ได้พบเพื่อนคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน ตอนนั้นขึ้นรถของคณะไปในงานเกี่ยวกับรับน้องใหม่ ข้าพเจ้าเรียนอยู่ปี 1 ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากมาย แค่คุยกันนิดหน่อยเอง แต่ในหัวเหมือนมีเสียงอะไรมาบอกว่า คนนี้แหละจะเป็นเพื่อนสนิทที่สุด มากมาก กับเราตลอดไป (หรือไปตลอด จำไม่ค่อยได้แล้ว) ตอนนั้นในหัวมันคิดแบบนั้น ไม่รู้ทำไม แต่สิ่งที่คิดนั้นทำให้ดีใจอยู่เหมือนกันรู้สึกเหมือนเจอแล้ว พบแล้ว... หลังจากนั้นก็เป็นเพื่อนสนิทกันมาตลอดจนตอนนี้ เกือบ 6 ปีแล้ว แต่เพื่อนคนนี้เรียนด้วยกันแค่ปี 1 ปีเดียวก็ย้ายไปมหาวิทยาลัยอื่น แต่ก็ยังติดต่อกันเสมอมา สนิทแบบไปเที่ยวบ้านกันได้เป็นปกติ แล้วก็สนิทกับคนในครอบครัวด้วย
2. ในปีเดียวกันข้าพเจ้ามีโอกาสได้ร่วมแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยที่นครนายก ได้เจอ ผู้ชายวัยเดียวกันคนหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นก็มีเพื่อนตามข้อ 1 ไปด้วยกัน ตอนนั้นแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย แต่ว่าข้าพเจ้าจำหน้าเขาได้แม่นมากๆ (เป็นเพราะหน้าตาดีด้วยมั้ง)
3. หลังจากกลับมาจากแข่งกีฬา ก็ไม่รู้อะไรทำให้ข้าพเจ้ามั่นอกมั่นใจว่าจะมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกคน ก็คือคนที่เจอตามข้อ 2 ในหัวมันบอกว่า น่าจะได้เจอตอนข้าพเจ้าไปแข่งกีฬาอีกครั้งเมื่ออยู่ ปี 3 จะได้คุยกัน จะได้เป็นเพื่อนกัน ซึ่งหลังจากนั้น ตอนปี 2 ข้าพเจ้าเรียนหนักมากจึงไม่ได้ไป พอขึ้นปี 3 จึงได้เจอเขาอีกครั้ง ข้าพเจ้าไม่ได้บอกเบอร์แก่เขา แต่เขาโทรมาคุย (โทรมาอำ) คุยกันจึงรู้ว่าเป็นเขา ก็งงอยู่พักใหญ่แล้วก็คิดถึงสิ่งที่คิดมาตลอด 2 ปี ที่รอมา ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ถึงอย่างนั้นข้าพเจ้าก็ไม่มั่นใจ ก็คิดว่าสิ่งที่เกิดเป็นเพียงความบังเอิญมากกว่า
4.มาถึงอีกคนหนึ่ง คือ เพื่อนที่ข้าพเจ้าเคยสนิทด้วย ตอนนั้นหลังจากที่เพื่อนคนแรกย้ายไปคนละมหาวิทยาลัย ก็พอดีขึ้นปี 2 ก็เลยมาคบกับเพื่อนคนนี้เป็นผู้หญิง ที่ออกจะเป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่เหมือนคนแรกจะออกเท่ห์กว่า ลุยกว่า มีบางอย่างที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าไม่ใช่ และคิดไปว่าข้าพเจ้าคงคบกับเขาได้เต็มที่คือประมาณ 3 ปี แล้วจากนั้นจะห่างกัน โดยไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร หลังจากนั้น 3 ปี ข้าพเจ้าก็มีอันต้องห่างจากเพื่อนคนนี้ไปจริงๆ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงไม่คุยกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทุกข์ใจมากในตอนแรก แล้วก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นจริง คิดว่าสิ่งพูดขึ้นมาใจหัวมันยังเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
จาก 3 คนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าก็พยายามจะบอกตนเองว่า เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น
แต่ก็ยังมีเรื่องอีกจนได้
5. พอข้าพเจ้าเริ่มขึ้นปี 5 ข้าพเจ้าก็รู้สึกขึ้นมาชัดขึ้น ที่จริงรู้สึกตั้งแต่ตอนอยู่ปี 4 ช่วยปลายปี ว่าจะได้เจอผู้ชายคนหนึ่ง ทำนองว่าจะได้คบกัน แต่ตอนนั้นไม่ค่อยได้สนใจความคิดนี้นักเพราะในใจรู้สึกว่าเป็นอนาคตที่ไกลไปมันก็เลยไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร พอขึ้นปี 5 กลางปี ก็รู้สึกว่ามันชัดขึ้น แล้วในหัวมันก็บอกว่าไม่เกินปีนี้นะจะได้เจอแน่ ยิ่งใกล้ปลายปีก็ยิ่งแจ่มชัด มันดูชัดเจนและมั่นใจมากขึ้นเริ่อย ถึงตรงนี้เริ่มจะเชื่อเสียงในหัวนั่นแล้ว แต่ด้วยความที่ชอบลองของ ชอบพิสูจน์ก็ยังไม่ตกลงเชื่ออยู่ดี มันเหมือนมีสองเสียงทะเลาะกันอยู่ ความคิดนั่นมันว่าต้องเจอแน่และหลบไม่พ้นแล้วก็เป็นคนแรกที่ตกลงคบด้วย แต่** ผลจากการคบนั้นไม่ใช่เรื่องดี เพราะว่าคบกันแต่ไม่นานจะเลิกกัน และจะมีอะไรตามมาอีกไม่แน่ใจเพราะตอนนั้นมันเป็นอนาคตที่ไกลจนเกินจะคิดออก จนกระทั่งวันหนึ่ง เดือนตุลาคมข้าพเจ้านั่งกินข้าวกลางวันอยู่ ลุงก็โทรมาบอกว่าจะมีคนโทรมาหา ทำนองว่าแนะนำให้ ตอนนั้นเรายังงงๆ
5. ในที่สุดข้าพเจ้าก็ชักรำคาญเสียงจากหัวขึ้นมาก็เลยประชดเล็กๆ โดยคบกับเขาดู (แล้วก็ตัดรำคาญที่ลุงข้าพเจ้า แม่กับพ่อจะลุ้นให้ข้าพเจ้าคบกับเขา) แต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างทำให้ข้าพเจ้าไม่วางใจเขาเท่าไร ข้าพเจ้าจึงวางตัวไม่สนิทเท่าไร อันนี้คงเป็นเรื่องของผู้หญิงทั่วๆ ไปคงจะมี
6. พ่อแม่ฝ่ายชายพอใจข้าพเจ้ามาก ถามถึงทุกครั้งที่ฝ่ายชายกลับบ้าน เห่อข้าพเจ้าจนน้องสาวของเขาดูจะหงุดหงิดนิดๆ อย่างไรก็ตามในตอนแรกข้าพเจ้าพยายามจะทำตัวห่างและเลิกกับเขาเพราะรู้สึกแปลกๆ ไม่มั่นใจ ไม่ใช่ แต่ก็ยังคบเรื่อยมาจนข้าพเจ้าย้ายที่ฝึกงาน ไม่ได้เจอเขา แล้วจุดนี้เองเมื่อห่างกันไป ก็มีเรื่องเกิดขึ้นเรื่องที่ข้าพเจ้าเสียใจที่ควรจะเลิกกันตั้งแต่แรกๆ แล้วเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่แน่ใจนั้นเกิดขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจบอกเลิกกับเขา เพราะมันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนั้น
7. สิ่งที่เสียใจที่สุดขณะนี้คงเป็นเพราะความรู้สึกรักและผูกพันธ์กับพ่อและแม่ของเขา ไม่รู้ทำไม แต่เวลาไปที่บ้าน จะคุยกับแม่ประจำเลย การที่ได้ไปที่บ้านเขารู้สึกอบอุ่นจนน่าประหลาดใจ เหมือนได้กลับบ้านจริงๆ (ทั้งๆที่ก็ไม่ใช่บ้านเราเอง)
8. แต่มันเอาอีกแล้ว เรื่องในหัวมันกลับชัดเจนขึ้นมา ก่อนที่จะเลิกกันนั้น มันบอกว่า ใกล้ถึงเวลาเลิกและพอเลิกกันเราจะได้รู้จักคนเพิ่มขึ้นอีก 1 คน โดยที่เราจะขาดการติดต่อกับคนที่เราเลิกไปเลย จนกระทั่งรู้จักกับคนนี้ มันบอกว่าเขาจะกลับมา.......
ถึงตรงนี้มันจบเพียงแค่นี้ ก็ไม่มีอะไรบอกออกมาอีกเลย ไม่รู้ว่าสิ่งที่เป็นดังข้อ 8 มันเกิดจากในหัวบอก หรือเราอยากให้มันเป็นอย่างนั้น เราก็เลยทำทุกอย่างที่คิดว่าจะกำจัดเขาออกไปจากหัวเรา เอาเบอร์โทรไปทิ้งในชักโครกมั่งล่ะ ส่งรูปที่มีคืนหมด (ยังเหลือนิดหน่อยที่เพิ่งค้นเจอ ไม่ได้ส่งคืน ไม่ได้เอามาดูอีก ทิ้งไว้เฉยๆ ไม่กล้าเอารูปไปทิ้ง) แล้วก็เปลี่ยนเบอร์โทรตอนกลางคืน ก็รู้ว่าน่าจะเป็นอย่างที่ใครๆ เขาก็คงทำ ส่วนของฝากพ่อแม่ก็ส่งให้เขาเพราะตั้งใจจะให้พ่อกับแม่จริง เพื่อเป็นการขอบคุณที่ได้ตอนรับข้าพเจ้าดูแลข้าพเจ้าอย่างดี
9. ช่วงที่เสียใจนั้น ข้าพเจ้าพยายามทำใจและสวดมนต์ เดินจงกรมอยู่บ้าง ตามที่พ่อแนะนำ ดีขึ้นมาก ทำให้ความเครียดมันน้อยลง ทำให้ทำงานต่อไปจนกระทั่งจบการฝึกงาน และกลับมาบ้าน พ่อข้าพเจ้าสวดมนต์แผ่เมตตาให้ ข้าพเจ้ารู้สึกอิ่มใจเป็นบางวัน ก็จะถามพ่อว่าพ่อสวดมนต์แผ่เมตตาให้หรือเปล่า พ่อก็ทำแบบนั้น
ถึงตอนนี้ก็ใช้ชีวิตปกติ เหมือนเดิม กำลังคิดว่ามันจะเกิดขึ้นอีกหรือเปล่าไม่รู้
ถ้าเกิดขึ้นจริง เราก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร ไม่อยากคิด ไม่อยากเดา ไม่อยากรู้เลยด้วยซ้ำ
ไม่รู้ว่าใครจะเป็นเหมือนกันกับข้าพเจ้าหรือไม่
เรื่องเหล่านี้ข้าพเจ้าได้เล่าให้เพื่อน 2 คนที่สนิทกันฟัง ตั้งแต่ข้อ 1-4 และเล่าให้พ่อฟัง ในข้อ 4 นอกนั้นไม่ได้เล่าให้ใครฟังอีก
ข้าพเจ้าพยายามไม่คิดถึงอนาคตอะไร เพราะก็รู้สึกกลัวอย่างไรไม่ทราบ บอกไม่ถูก พยายามจะทำวันนี้ให้ดีก่อน
หมายเหตุ ข้าพเจ้าไม่ได้เล่าให้แม่ฟัง เพราะเกรงว่าจะไม่เชื่อ อ้อลืมบอกไป มีอยู่ครั้งหนึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ดีๆ ก็นึกถึงแม่ ตอนนั้นแม่ออกไปข้างนอกบ้าน ในใจมันหดหู่ขึ้นมาทันที ก็เลยได้แต่ขอให้แม่ปลอดภัย พอแม่กลับมาบ้านแม่บอกว่าขับรถชนมอเตอร์ไซด์มา (ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าอยู่ปีอะไร หรืออาจจะอยู่มัธยม มันนานมากแล้ว)
ถึงตอนนี้ก็กลัวตัวเองจะกลายเป็นคนงมงาย เชื่ออะไรไม่เข้าเรื่องเข้าราว
แต่ก็เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ออก แล้วก็เป็นเรื่องที่เกิดกับตัวเอง จากหัวตัวเอง ไม่ได้มีใครมาบอก ไม่ได้ดูหมอดู เพราะหมอดูคงบอกอะไรอย่างนี้ไม่ได้หรอก
ตกลงมันคืออะไรกันแน่ จะเรียกว่ามันคืออะไร ใครช่วยอธิบายได้บ้างไหมคะ จะเล่าให้ใครฟังก็กลัวเขาจะว่าบ้า จะว่าโกหก เพ้อเจ้อ |
|
|
|
  |
 |
โอ่
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 พ.ย.2004, 9:38 pm |
  |
ทำไมไม่ปรึกษาคุณพ่อท่านปฏิบัติธรรมคงให้คำแนะนำดีๆได้ ที่เล่ามาไม่ค่อยชัดไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เสียงในหัวก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นยังไง
แต่ทั้งหมดเป็นวิถีชีวิตที่เป็นไป จะรักจะสมหวังผิดหวังเป็นไปตามกรรม อย่าไปสนใจอะไรเลย ชีวิตทำดีรักษาศีลใส่บาตรภาวนา ใช้ชีวิตให้ถูกต้องอะไรจะเกิดก็เกิดขึ้นเองแหละ |
|
|
|
|
 |
นิรทุกข์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
30 พ.ย.2004, 3:00 pm |
  |
ถ้าจริงตามที่เล่ามา นิสสัยเดิมติดตัวมา ในอดีตชาติน่าจะเคยปฏิบัติธรรม มาบ้างทำให้สามารถสัมผัสบางสิ่งบางอย่างได้โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่หากมีโอกาสลองเข้าเรียนวิปัสสนากับอาจารย์ที่เชื่อถือได้อาจได้พบความจริงเพราะเมื่อมีแนวทางที่ถูกต้องก็จะสามารถควบคุมทุกอย่างได้
|
|
|
|
|
 |
amai
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435
|
ตอบเมื่อ:
30 พ.ย.2004, 9:05 pm |
  |
อาจเป็นเพราะสติดีมั๊งค่ะ
แบบที่เรียกว่าลางสังหรณ์อย่างเราไม่อยากออกจากบ้าน
ไป ยกตย.เช่น ไปงานเลี้ยง สมมุติเราฝืนปรากฎว่า มีเหตุให้เราไม่พอใจ อย่าง อาจมีอาหารไม่อร่อย ไม่มีเก้าอี้นั่ง แล้วก็มีนึกว่า รู้งี้ไม่น่าไปเลย แบบนี้อ่ะค่ะ ความรู้สึกแรกที่รู้สึกกะอะไรบางอย่าง มีแม่ชีบอกไว้ว่าเรียกว่าสติ
แต่ถูกแล้วค่ะ คนเราไม่ควรงมงาย คือมีความเชื่อได้ แต่อย่างมงาย คือเชื่อโดยไม่ไตร่ตรอง เพราะบางครั้ง อาจเป็นความรู้สึกที่ว่า จิตหลอกจิต คือยังไงหล่ะ
เอาเป็นว่า มีสติแล้ว ควรหาสัมปชัญญะมาต่อท้าย
จะได้แน่นอนไม่ผิดพลาดน๊ะค่ะ
 |
|
|
|
    |
 |
|