ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
amai
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435
|
ตอบเมื่อ:
22 ต.ค.2004, 5:41 pm |
  |
ประชาธิปไตย
โดย หลวงตาแพรเยื่อไม้
จัดพิมพ์โดย ธรรมสภา
“พระพุทธศาสนาของเราน่าเป็นห่วงนะคะ” ปิยพรปรารภเป็นเชิงขอความเห็น
“ทำไมจะต้องเป็นห่วง” หลวงตาถาม แล้วกวาดตามองกลุ่มเพื่อนๆ ของเธอ
“หนูกับเพื่อนๆ ไปฟังอภิปรายมาค่ะ มีท่านผู้หนึ่งได้ปรารภถึงพระพุทธศาสนาว่า เป็นเครื่องถ่วงความก้าวหน้าของสังคมในยุคที่กำลังมีการพัฒนาและ ว่าอาจจะไม่เหมาะแก่ระบอบประชาธิปไตย เพราะการเสียสละของผู้ศรัทธาต่อศาสนาเป็นการเสียสละ ที่ไม่ค่อยเป็นคุณประโยชน์แก่สังคม...”
“เขาแสดงเหตุผลหรือหลักฐาน พยานข้อคิดเห็นของเขาหรือเปล่า”
“มีครับ” ประนตชิงตอบ แล้วชี้แจงต่อไปด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความเลื่อมใสในผู้อภิปราย
“ท่านกล่าวถึงความสุรุ่ยสุร่ายของสาธุชนผู้ศรัทธาต่อศาสนา ว่าเป็นสาเหตุให้เกิดความฝืดเคืองในด้านเศรษฐกิจ ในระยะที่ประเทศชาติกำลังประสบปัญหาเกี่ยวแก่การครองชีพของประชาชน ข้าวของแพง เงินทองหายาก ผู้คนกำลังอดอยาก... แต่ในวงการศาสนาก็กำลังใช้จ่ายสิ้นเปลือง ก่อสร้างวัดวาอารามกัน สิ้นเปลืองเงินทองมากมาย แต่ละวัดก็แข่งขันก่อสร้างวัตถุอาคาร ขนาดงบประมาณเป็นล้านๆ และเมื่อสำเร็จแล้วสิ่งก่อสร้างนั้นก็ไม่เห็นจะถูกใช้ให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา ร้ายกว่านั้นตามวัดในชนบท โบสถ์ ศาลา โอ่อ่าใหญ่โตราวกับวิหาร แต่ปรากฏว่ามีพระอาศัยเพียงไม่กี่องค์... ท่านจึงเห็นว่า การเสียสละและบริหารพระศาสนาของคน ก่อให้เกิดภาระแก่ประชาชน หากประชาชนไม่ถูกรบกวนให้สละประโยชน์ดังกล่าว ก็จะมีเวลามุ่งหน้าทำมาหากิน และเก็บออมไว้ใช้สอยบำรุงครอบครัวให้มีความสุขได้ หรือไม่ก็โอนปัจจัยที่สละกันนี้ไปในทางที่จะเกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมจริงๆ เช่น การพัฒนาถนนหนทาง สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล สุขศาลา ฯลฯ ก็จะเป็นทางช่วยประชาชาติได้ ที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ท่านก็เห็นว่า พระศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนากำลังขัดต่อระบอบประชาธิปไตย”
“น่าฟัง” หลวงตารำพึง แล้วซักต่อไป “คนฟังเขารู้สึกอย่างไร ?”
“รู้สึกว่าคนฟังพากันชอบอกชอบใจ เห็นคล้อยตามไปด้วยครับ”
“แล้วพวกเธอล่ะ เห็นด้วยกับเขาไหม ?” หลวงตาหยั่งเสียง
“ก็รู้สึกว่า เข้าทีเหมือนกัน แต่พวกผมก็ยังไม่เห็นด้วยทีเดียว กลับวิตกถึงฐานะของพุทธศาสนาเกรงว่าจะพลอยกระทบกระเทือนไปด้วย หลังจากเดินขบวนแล้วก็สไตร๊ค์กันบ่อยๆ”
“เธอคิดว่าการทำบุญทำกุศลของชาวพุทธ จะโดนนักการเมืองเดินขบวน แล้วสไตร๊ค์เผาวัดงั้นหรือ ?”
“ก็ด้วยเรื่องนี้แหละครับ พวกผมจึงพากันมาหาหลวงตา หลวงตาคิดว่าทางพุทธศาสนาจะกระทบกระเทือนไหมครับ ? ในยุคที่ประชาชนเรียกร้องประชาธิปไตยนี้”
หลวงตาได้แต่ยิ้ม และพยักหน้าเชิงรับเป็นที่ปรึกษา ส่วนความสำนึกเฉพาะหน้านั้นกลับคิดถึงพวกเด็กๆ เหล่านี้ มีทั้งหมด ๕ คนด้วยกัน หญิงสาม ชายสอง หญิงก็มี ปิยพร อ้อมใจ นันทิยา ส่วนชายนั้นคือ ประณต และพงศ์พันธุ์ ทั้งหมดอยู่ในวัยรุ่น เป็นนักเรียนศูนย์ศึกษาพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง บ่อยครั้งเมื่อหลังจากเลิกเรียนแล้ว ก็พากันมาหาหลวงตา มาซักถามปัญหาศาสนา มีศีลธรรมบ้าง นอกเรื่องนอกราวบ้าง สาเหตุที่เด็กวัยรุ่นเหล่านี้ชอบมาหา ก็เพราะหลวงตาเป็นพระประเภทสบายๆ เข้าใกล้ได้อย่างไม่ต้องระมัดระวังเหมือนพระที่มีชื่อเสียงองค์อื่นๆ มิหนำซ้ำยังคุยสนุกกับเขา บางครั้งพวกเขาก็ได้หัวเราะกับนิทานแปลกๆ
สำหรับหลวงตา รู้สึกว่าท่านก็มีความสุขและอิ่มเอิบเมื่อเห็นเด็กๆ เหล่านี้มีความร่าเริงสนุกสนานเมื่อมาหาท่าน แม้บางคนจะแสดงความเกินพอดีไปบ้าง เช่น ขัดคอท่านหัวเราะดังหรือร้องเพลงอะไรเหล่านั้น หลวงตาก็สู้ซ่อนอารมณ์เก็บความรู้สึก แต่พวกเขาเหล่านี้ก็ไม่พ้นจากการถูกอบรมสั่งสอนด้วยนิทานในวันต่อๆ มา จนเกิดสำนึกรู้สึกตัวถึงกับหายไปก็มี... ที่ไม่หายหน้าไปก็พากันปรับปรุงจรรยาใหม่ เด็กผู้ชายคนหนึ่งมีความเฉลียวฉลาดมาก เคยว่าหลวงตาเป็นพระเจ้าเล่ห์ เพราะไปเล่านิทานทำนองติเตียนแกเข้า...
วันนี้หลวงตามีความรู้สึกเป็นพิเศษ เมื่อเด็กๆ เหล่านี้พากันมาแวะขอคำปรึกษาในเรื่องนี้ กังวลเพราะไปได้รับฟังคำอภิปราย เรื่องพุทธศาสนากับประชาธิปไตย มาจากสมาคมแห่งหนึ่ง
“เธอเป็นนักเรียน เรียนพุทธศาสนา จะต้องหัดทำใจให้กว้าง ฝึกตนเป็นนักฟังที่ดี นักฟังที่ดีนั้นจะต้องมีหลักพิจารณายึดเหตุผล ไม่ด่วนเชื่อหรือปฏิเสธเสียก่อน อย่างที่เธอทำกันอย่างนี้ถูกแล้ว”
(มีต่อ 1) |
|
|
|
    |
 |
amai
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435
|
ตอบเมื่อ:
22 ต.ค.2004, 5:43 pm |
  |
“หมายความว่า หลวงตาเห็นด้วยกับความคิดของผู้อภิปรายผู้นั้นหรือคะ ?” อ้อมใจซึ่งในที่สุดอดใจไม่ไหว ถามออกมา
“ที่เขาว่ามานั้นก็มีส่วนถูกส่วนจริง จะว่าเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือคอมมูนิสต์ก็ไม่ได้”
“ถูกยังไงคะ?”
“ที่ว่าถูก ก็คือความเป็นจริง ที่ว่าวัดวาอารามทั้งเก่าและใหม่ ทั้งซ่อมและสร้างนั้นเป็นเหตุให้สิ้นเปลืองมาก และยิ่งจะเปลืองขึ้นทุกวัน ในขณะเดียวกันพระเจ้าพระสงฆ์ก็นับแต่จะน้อยลงทุกวัดและทุกวัน จึงทำให้สิ่งก่อสร้างที่สร้างๆ กันนั้นยิ่งนับวันจะหมดความหมายลง ต่อไปก็คงไม่ต่างอะไรกับศาลเจ้า ที่มีแต่รูปตุ๊กตาอาศัย... นี่แหละผลที่วงการศาสนามุ่งสร้างกันแต่วัตถุละเลยในการสร้างคน... การสร้างพระ ก็มัวแต่ใช้พิธี ใช้ดิน ใช้โลหะ ทองเหลือง ทองคำ สร้างพระ... ละเลยในการสร้างคนให้เป็นพระ”
“หลวงตาพูดยังกับคอมมูนิสต์แน่ะ” นันทิยาประท้วง
“งั้นหรือ ? หลวงตาไม่รู้หรอกว่าคอมมูนิสต์มันเป็นยังไง แต่ถ้าคนมีความคิดอย่างนี้ สอนให้ประชาชนคิดได้อย่างนี้ คอมมูนิสต์ก็ไม่เห็นจะน่ากลัวน่าเกรงตรงไหน ?”
“ถ้างด... เลิกสร้างวัดกันเสียแล้ว พุทธศาสนาจะอยู่ได้อย่างไรครับ หลวงตา” พงศ์พันธุ์ถาม
“โธ่เอ๋ย ! เธอพูดออกมาได้ ไม่น่าจะเป็นศิษย์หลวงตาเลย” หลวงตาพูดหัวเราะอย่างชวนสนุก
“พุทธศาสนาคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่สั่งสอนเรื่องการก่อสร้าง หรือการออกแบบแปลนแผนผัง แต่สั่งสอนเรื่องคน ว่าคนควรจะประพฤติอย่างไร สร้างความรู้สึกอย่างไร จึงจะไม่เกิดทุกข์อันเกิดจากการเบียดเบียนกันอย่างหนึ่ง เกิดจากการลุ่มหลงอย่างหนึ่ง จะแก้ไขเลี่ยงหลีก ที่แก้ไขไม่ได้ หลีกไม่พ้นอย่างหนึ่ง หากคนส่วนใหญ่เข้าถึงเนื้อหาสาระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงแล้ว แม้จะไม่มีวัดวาอารามเลย พุทธศาสนาก็ไม่มีวันสูญ ตรงกันข้ามแม้จะสร้างวัดกันให้กลายเป็นวิมาน หากคนเราไม่ใส่ใจในการศึกษาและปฏิบัติธรรมแล้ว พุทธศาสนาก็สิ้นใจตายไปเอง ฉะนั้น พวกเธอจะต้องรู้ว่าความมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาอยู่ที่จะช่วยให้คนเป็นคนดี และมีปัญญารักษาตัวรอดจากความทุกข์ ถ้าเธอหวังจะทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนาแล้ว เธอจะต้องตั้งใจศึกษา และประพฤติปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง อย่าเพียงแต่ศึกษาไว้เป็นภูมิเพื่อตีฝีปากกันโก้เท่านั้น”
“หลวงตาพูดยังงี้ ฟังดูแล้วเหมือนเห็นว่าวัดวาที่สร้างกันนี้ มันไม่มีประโยชน์”
“หลวงตาไม่ได้ว่าอย่างนั้นสักหน่อย พงศ์พันธุ์... เพียงแต่อยากจะให้พวกเราคิดกันว่า คน หรือพระ หรือจิตใจนั้นมันสำคัญกว่าโบสถ์กว่าวัด... และวัตถุเท่านั้น ทั้งสองสิ่งต้องอาศัยกันจึงตั้งอยู่ได้ แต่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เรามุ่งสร้างกันแต่วัตถุ ไม่สร้างจิตใจกันเท่าไร วัตถุเจริญขึ้นจริง แต่ส่วนจิตใจคนเสื่อมทรามลง มีความเห็นแก่ตัวจัด คนจึงมีแต่ความทุกข์จากการเบียดเบียนกัน เกิดการขัดแย้งกัน ประท้วงกัน สไตร๊ค์กัน เดินขบวนกัน จนกลายเป็นใช้ตีนเป็นแฟชั่น นิยมแก้ปัญหาด้วยตีนกันไปหมด”
(มีต่อ 2) |
|
|
|
    |
 |
-amai-
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 ต.ค.2004, 5:48 pm |
  |
“พากันเห็นดีเห็นงาม สนุกสนานไปหมด ที่แก้ไขสำเร็จไปนั้นก็ไม่ได้ขัดขวางอะไรหรอก เห็นด้วยเหมือนกัน เพราะปัญหาที่แล้วๆ มานั้น มันก็เหมาะแก่การที่จะต้องใช้ตีนแก้ แต่ทีนี้เรื่องต่อๆ ไปน่ะซี เกิดอะไรขึ้นก็จะเดินขบวนกันตะบี้ตะบันไป แล้วใครล่ะจะรับรองว่าเราจะแก้ด้วยตีนสำเร็จไปทุกเรื่อง หากเรามานิยมตีนกัน ถือเอาตีนเป็นสูตรเป็นตำราแก้ปัญหาบ้านเมืองกันเรื่อยไปแล้ว ศักดิ์ศรีของชาติจะยังเหลืออยู่ได้อย่างไร ? นี่แหละเมื่อกล่าวโดยรวบรัดแล้ว มันก็เป็นผลเนื่องมาจากสังคม เราไม่นิยมสร้างคน ไม่พัฒนาคน ให้มีจิตใจเจริญด้วยความคิดสติปัญญา และการเสียสละความเห็นแก่ตัว หากว่าจะหันมาพัฒนาคน พัฒนาใจคนกันให้เป็นล่ำเป็นสัน ให้คนมีจิตใจดีงาม ด้วยคุณธรรมศีลธรรมแล้ว วัตถุต่างๆ ซึ่งเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยของคนก็จะถูกสร้างขึ้นเอง และจะมั่นคงเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เสียอีก
ผลของการสร้างวัตถุปัจจุบันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ลองนึกดูซิ ไม่ได้ยินไม่ได้ฟังบ้างหรือ เดี๋ยวตึกที่โน่นทรุด ถนนที่นี้พัง สะพานที่นั่นร้าว เสาที่โน้นล้ม... มันเกิดจากอะไร คอร์รัปชั่นใช่ไหม ? ประโยชน์ส่วนรวมงบประมาณถูกเบียดบังเสียจนสิ่งก่อสร้างนั้นๆ ขาดคุณภาพที่แท้จริง...”
เด็กหญิงชายวัยรุ่นทั้ง ๕ มีอาการรื่นเริงขึ้นมาอย่างประหลาด ตลอดเวลาที่ฟังหลวงตาวิสัชชนาอย่างยืดยาว... จนหลวงตาผิดสังเกต จึงหยุดถามถึงเหตุที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ ก็ได้รับตอบว่า
“หนูดีใจจังที่หลวงตาเห็นด้วยกับผู้อภิปรายท่านนั้น ท่านเป็นอาจารย์พวกหนูเองค่ะ..... ! ..... ..... ! .....”
“หลวงตาไม่เห็นด้วยทั้งหมดดอกนะจะบอกให้ อย่างที่เรียกร้องให้สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล สุขศาลา ฯลฯ นั้นน่ะ ! หากว่าเป็นเป็นอย่างนี้ล่ะ ! สร้างโรงเรียนแล้วก็เฝ้าสอนกันแต่ให้มีความรู้ชนิดที่ผิดๆ เช่น รู้วิธีโกง วิธีเอารัดเอาเปรียบกันอย่างฉลาดลึกซึ้ง เป็นต้น โรงเรียนนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับโรงเรียนฝึกการลับมีด เพื่อจะได้ความคมไว้เชือดเฉือนกันและกัน
ส่วนโรงพยาบาลและสุขศาลานั้น หลวงตาเคยท่องเที่ยวไปต่างจังหวัด ได้พบโรงพยาบาลบ้าง สุขศาลาบ้างหลายแห่ง ที่สร้างเสร็จแล้วก็ปิดเงียบไม่ได้เปิดทำการช่วยเหลือใครเลย โรงพยาบาลและสุขศาลาอย่างที่ว่านี้ ว่าไปแล้วประโยชน์ของมันจริงๆ ขณะนี้มันสู้ยาแก้ปวดหัวเม็ดหนึ่งก็ไม่ได้ ที่มันต้องเป็นอย่างนี้ด้วยเหตุผลว่า ทางรัฐบาลไม่มีหมอจะส่งไปประจำ ไม่ใช่เพราะหมอไม่มี หมอน่ะ มี ไม่เคยได้รับข่าวบ้างหรือ หมอไทยเราพากันไปรักษาฝรั่งเมืองมะริกากันเป็นทิวแถว ทั้งๆ ที่การเล่าเรียนศึกษาวิชาแพทย์ก็ได้อาศัยสถาบันที่สร้างขึ้น ด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของคนไทย
ทำไมจึงเป็นอย่างนี้..... ?
....................... เอวัง .......................
 |
|
|
|
|
 |
แมวขาวมณี
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307
|
ตอบเมื่อ:
06 ส.ค. 2006, 5:14 am |
  |
|
   |
 |
^^^
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
18 ส.ค. 2006, 11:08 am |
  |
|
|
 |
|