ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
อธิชาตินันท์
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 19 พ.ค. 2006
ตอบ: 24
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ค.2006, 12:26 pm |
  |
มีคนอยากเปลี่ยนศาสนาเพราะไม่เข้าใจคำสอนของพุทธครับ
เขาได้ตั้งคำถามว่า
"ศาสนาพุทธสอนว่าคนเกิดแต่กรรม เลยอยากถามว่าชาติแรกที่มนุษย์เกิดขึ้นนั้น กรรมอะไรที่ทำให้เข้าเกิด เพราะยังไม่เคยได้ทำอะไรเลย"
เลยอยากถามสมาชิกท่านผู้รู้ทุกท่านว่า
จะตอบปัญญานี้ได้อย่างไร
ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ |
|
|
|
   |
 |
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ค.2006, 12:44 pm |
  |
|
    |
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ค.2006, 12:49 pm |
  |
" กรรม "
--------------------------------------------------------------------------------
- คนส่วนมากยังมีความเชื่อว่ามีผู้ดลบันดาล เช่น ดลบันดาลให้เกิดภัย ดลบันดาลให้เกิดโชคลาภ เป็นต้น แต่ทางพระพุทธศาสนาได้แสดงว่า คนมีกรรมเป็นของตน จะมีสุขหรือทุกเพราะกรรม ก็เปลี่ยนให้คนมากลัวกรรมกันอีก เช่นเดียวกับที่เคยกลัวผู้ดลบันดาล เมื่อคิดถึงก็คิดเห็นไปคล้ายกับเป็นตัวทุกข์มืด ๆ อะไรอย่างหนึ่งที่น่าสะพึงกลัว ผู้เงือดเงื้อจะลงโทษ กรรมจึงคล้ายผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกเข้าใจในทางร้ายอยู่เสมอ เมื่อได้ดีมีสุขก็กลับกล่าวว่าเป็นบุญบารมี กรรมจึงไม่มาเกี่ยวในทางดีตามความเข้าใจของคนทั่วไป
นอกจากนี้ คนจะทำอะไรในปัจจุบันก็ไม่ได้นึกถึงกรรม เพราะเห็นว่ากรรม ไม่เกี่ยว กรรมจึงกลายเป็นอดีตที่น่ากลัว ที่คอยจะให้ทุกข์เมื่อไรก็ไม่รู้ ซึ่งไม่สามารถจะป้องกันได้เท่านั้น ดูก็เป็นเคราะห์กรรมของกรรมยิ่งนักที่ถูกคนเข้าใจไปเช่นนี้ อันที่จริงพระพุทธศาสนาได้สอนให้คนเข้าใจในกรรมเช่นนี้ไม่ ไม่ได้สอนให้คนกลัวกรรม เป็นทาสของกรรม หรืออยู่ใต้อำนาจกรรม แต่สอนให้รู้จักกรรม ให้มีอำนาจเหนือกรรม ให้ควบคุมกรรมของตนในปัจจุบัน
กรรม คือ กาลอะไรทุกอย่างที่คนทำอยู่ทุกเวลา ประกอบด้วยเจตนา คือ ความจงใจ ทุกคนจะทำอะไร จะพูดอะไร จะคิดอะไร ย่อมมีเจตนาคือ ความจงใจนำอยู่ก่อนเสมอ และในวันหนึ่งก็ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องพูดอย่างนั้นอย่างนี้ ไปตามที่ตนเองจงใจจะพูด จะทำ จะคิด นี่แหละคือกรรม วันหนึ่ง ๆ จึงทำกรรมมากมายหลายอย่าง หลีกกรรมไม่พ้น พระพุทธศาสนาสอนเรื่องกรรม
หลักใหญ่ก็มุ่งให้พิจารณาให้รู้จักปัจจุบันกรรมของตนนี้แหละว่า อะไรดีอะไรชั่ว อะไรควรไม่ควร เพื่อที่จะได้เว้นกรรมที่ชั่วที่ไม่ควร เพื่อที่จะทำกรรมที่ดีที่ควร และพระพุทธเจ้ายังได้ตรัสไว้ว่า บุคคลสามารถจะละกรรมที่ชั่วทำกรรมที่ดีได้ จึงได้ตรัสสอนไว้ให้ละกรรมที่ชั่ว ทำกรรมที่ดี ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่ตรัสสอนไว้ และการละกรรมชั่วทำกรรมดีถ้าให้เกิดโทษทุกข์ ก็จะไม่ตรัสไว้อย่างนี้ แต่เพราะให้เกิดประโยชน์สุข จึงตรัสสอนไว้อย่างนี้ พระพุทธโอวาทนี้แสดงว่า คนมีอำนาจเหนือกรรม อาจควบคุมกรรมของตนได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าต้องควบคุมจิตเจตนาของตนได้ด้วย โดยตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ในธรรม เช่น เมตตา สติ ปัญญา สัจจาธิษฐาน เป็นต้น อันเป็นส่วนจิตและศีล อันหมายถึง ตั้งเจตนาเว้นการที่ควรเว้น ทำการที่ควรทำในขอบเขตอันควร
ที่ว่า คนมีอำนาจเหนือกรรมปัจจุบัน ด้วยการควบคุมจิตเจตนาให้เว้นหรือทำกรรมอะไรก็ได้นั้น ถ้าพูดเพียงเท่านี้ก็ดูไม่มีปัญหา แต่ถ้าพูดถึงกรรมอดีตที่จะส่งผลให้ในปัจจุบัน ก็เกิดปัญหาขึ้นอีกสำหรับผู้ที่เชื่อในอดีตชาติว่า กรรมที่ทำให้ในอดีตชาติจะส่งผลให้ในชาตินี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น จึงกลัวอำนาจของกรรมอดีต เหมือนอย่างกลัวอำนาจมืดที่จะมาทำร้ายเอาแน่ ในเรื่องนี้ พระพุทธศาสนาแสดงไว้อย่างไรสมควรจะพิจารณา
' ประการแรก พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลเป็นทายาทรับผลกรรมที่ตนได้ทำไว้แล้ว ข้อนี้เป็นกฎธรรมดาข้อมาติกา คือแม่บท ไม่มีผิดเหมือนอย่างที่คำโบรารณว่า กำปั้นทุบดิน แต่ยังมีกฎประกอบอีกหลายข้อเหมือนอย่างดินที่ทุบนั้น ยังมีปัญหาต่อไปอีกหลายข้อว่า ดินที่ตรงไหน เป็นต้น เมื่อกล่าวว่าดินแล้วก็คลุมไปทั้งโลก คำว่ากรรมก็ฉันนั้นคลุมไปทั้งหมดเพราะคนทุกคนทำกรรมต่าง ๆ ซับซ้อนกันมากมายเหลือเกิน กรรมอันไหนจะให้ผลเมื่อไร จึงมีกฎแบ่งกรรมออกไปอีก สรุปลงว่า กรรมหนักหรือกรรมที่ทำบ่อย ๆ ให้ผลก่อนกรรมที่เบากว่า หรือที่ทำไม่บ่อยนัก คนเรานั้นทำมาทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว จึงมีสุขบ้างทุกบ้างสลับกันไป ผู้ที่มีสุขมากก็เพราะกรรมหนัก หรือกรรมที่ทำบ่อย ๆ ฝ่ายดีกำลังให้ผล ผู้ที่มีทุกข์มากก็ตรงกันข้าม
' และในปัจจุบันนี้ใครก็ตามมีความไม่ประมาท ประกอบกรรมที่ดีอย่างหนักหรือบ่อย ๆ กรรมดังกล่าวนี้จะสนองผลให้ก่อน กรรมชั่วในอดีตหากได้ทำไว้ ถ้าเบากว่าก็ไม่มีโอกาสให้ผล ฉะนั้น ผู้ที่ทำกรรมดีมากอยู่เสมอ ๆ จึงไม่ต้องกลัวกรรมชั่วในอดีต หากจะมีกุศลของตัวจะชูช่วยให้มีความสุขความเจริญสืบไป และถ้าแผ่เมตตาจิตอยู่เนือง ๆ ก็จะระงับคู่เวรในอดีตได้อีกด้วย ระงับได้ตลอดถึงปัจจุบัน ทั้งเมื่อได้ดำเนินในมรรคมีองค์ 8 ของพระพุทธเจ้าเพื่อความสิ้นทุกข์ ก็จะดำเนินเข้าสู่ทางที่พ้นจากกรรมเวรทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ตัณหาเป็นกรรม สมุทัยคือ เหตุให้เกิดกรรม มรรคเป็นทางดับกรรม ฉะนั้น จึงไม่ต้องกลัวอดีต แต่ให้ระวังปัจจุบันกรรม และระวังใจ ตั้งใจให้มั่นไว้ในธรรม ธรรมก็จะรักษาให้มีความสวัสดีทุกาลทุกสถาน
--------------------------------------------------------------------------------
(จาก
.. พระพุทธศาสนา และการนับถือพระพุทธศาสนา
โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระ-สังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)
http://vet.kku.ac.th/koonnatham/article04.htm |
|
|
|
   |
 |
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ค.2006, 1:08 pm |
  |
|
    |
 |
1
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ค.2006, 1:27 pm |
  |
ตอบไปเลยครับ....
เรื่องกรรมเป็นเรื่อง อจินไตย บุคคลที่พยามยามคิดหรืออธิบายเรื่องกรรม อาจทำให้เสียสติได้
หลักคำสอนของพระพุทธองค์คือ....มุ่งให้ถอนศรออกจากอก
คือมุ่งที่การดับทุกข์.........จุดหมายสูงสุดคือนิพพาน
ไม่ควรเสียเวลามามองดูว่าใครยิงศรนั้นออกมา หรือตามจับคนที่ยิงศรนั้น
หรือไม่ควรสนใจว่าเราทำกรรมอะไรมา จึงมารับกรรมเช่นนี้
ถามคนนั้นไปเลยครับว่า.....ถ้าบ้านคุณถูกไฟไหม้.....สิ่งแรกที่สุดคุณจะทำอะไร
ถ้าตอบว่า ดับไฟก่อนก็ถูกต้อง......แต่ถ้ามัวแต่มองหาคนวางเพลิง หรือวิ่งตามโจรไป
บ้านคุณอาจมอดไหม้หมดสิ้น
ถ้ายังไม่เข้าใจก็บอกให้เค้าเปลี่ยนศาสนาไปเถอะครับ.....ถ้าคิดว่าปัญหาหลักอยู่ที่ตัวศาสนา ไม่ใช่อยู่ที่ตัวผู้นั้นเอง......ทุกศาสนาสอนเหมือนกันหมดครับ...คือให้ทุกคนเป็นคนดี....แต่คนจะดีหรือไม่ย่อมอยู่ที่ตัวผู้นั้นเองครับ |
|
|
|
|
 |
ยุทธ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ค.2006, 1:44 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
"ศาสนาพุทธสอนว่าคนเกิดแต่กรรม เลยอยากถามว่าชาติแรกที่มนุษย์เกิดขึ้นนั้น กรรมอะไรที่ทำให้เข้าเกิด เพราะยังไม่เคยได้ทำอะไรเลย"
|
เพราะมีความอยาก จึงมีการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา เมื่อไม่มีความอยากการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็ไม่มี
ป.ล. รู้ได้อย่างไรว่ายังไม่เคยได้ทำอะไรเลย |
|
|
|
|
 |
chuchai379
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ค.2006, 1:57 pm |
  |
ท่านอยากได้อะไรกับศาสนาพุทธ แล้วถ้าจะเปลี่ยนท่านอยากได้อะไรจากศาสนาอื่น
ถ้าไปสู่ศาสนาอื่นท่านจะมีคำถามในลักษณะนี้อีกหรือไม่
ถ้าเข้าไปศาสนาใดๆ แล้วไม่มีใครตอบปัญหาท่านได้ ท่านก็จะไม่นับถือศาสนาใดเลยไช่ไม๊
ศาสนาพุทธสอนให้คนพ้นทุกข์เพียงอย่างเดียว
ศาสนาอื่นเราไม่รู้ครับ |
|
|
|
|
 |
๛ Nirvana ๛
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ค.2006, 8:17 pm |
  |
เขาได้ตั้งคำถามว่า
"ศาสนาพุทธสอนว่าคนเกิดแต่กรรม เลยอยากถามว่าชาติแรกที่มนุษย์เกิดขึ้นนั้น กรรมอะไรที่ทำให้เข้าเกิด เพราะยังไม่เคยได้ทำอะไรเลย"
เรื่องชาติ แรกของมนุษย์นั้น แม้แต่พระญาณของพระพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถ ย้อนไปถึงได้
พระพุทธองค์ ทรงระลึกชาติได้ เป็นแสนโกฏล้านชาติ ไม่มีที่สิ้นสุดแม้กระนั้น
ทรงหยั่งพระญาณ ไป เท่าไรๆก็ยังไม่เจอภพชาติแรก
สัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เบื้องต้นไม่ปรากฏเบื้องปลายไม่ปรากฏ
เพราะ เหตุของ อวิชชา คือความไม่รู้ ในทุกข์ เหตุแห่ง ทุกข์ ความดับแห่งทุกข์
และปฏิปทธาเพื่อไปสู่ความดับทุกข์คือ มรรค
เพราะอวิชชานั่นเอง ทำให้สัตว์ทั้งหลายประกอบกรรม ต่างๆ ดีบ้าง ชั่วบ้าง
แล้วเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น เวียนเกิดเวียนตาย เสวยกรรมที่ตนกระทำ และสร้างกรรมใหม่
ขึ้นมา แล้วก็เสวยกรรมนั้นเป็นอย่างนี้ เรื่อยมา ยาวนานไม่อาจกำหนดได้
สัตว์ทั้งหลาย มีตัณหา คือความพอใจ ใน รูป รสกลิ่นเสียง สัมผัส รวมคือ ความพอใจในกามคุณอารมณ์ เพราะความพอใจในกามคุณอารมณ์ นี้ เรียกว่าพอใจในภพ แห่งกาม
เมื่อมีความพอใจในภพก็ย่อมอยากเกิด บ่อยๆ เหมือนปลา ติด แหที่ ดิ้น เพื่อให้พ้นแห ไปสู่น้ำฉะนั้น คือจิตใจของสัตว์ทั้งหลาย มีตัณหา คือความพอใจในกาม จิตจึงดินรนไปสู่กาม
สัตว์ทั้งหลายจึงเวียนว่ายอยู่ในกามภพ มานับชาติไม่ถ้วน
การที่สัตว์บางพวกกระทำฌาณ สมาบัติ ก็เหตุแห่งตัณหา ทั้งสิ้น
เพราะความไม่รู้ ว่าตัณหานั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์ ทั้งหลาย มี ชาติ ชรา มรณะเป็นต้น
และไม่รู้ความดับแห่ง ทุกข์ และมรรค นั้นเอง ทำให้ สัตว์ทั้งหลายเวียน เกิดตายนับชาติไม่ได้
หาเบื้องต้นไม่ได้ |
|
_________________ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน |
|
     |
 |
๛ Nirvana ๛
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ค.2006, 8:30 pm |
  |
ชาติแรกของมนุษย์นั้นไม่อาจกำหนดได้ แต่รู้ได้ว่ามีอวิชชาเป็นเบื้องต้น
หรือ พูดอีกอย่างว่ามนุษย์เกิดมา จากอวิชชา
สัตว์ต่างๆ ที่มาจากกำเนิดทั้ง สี่ ในแสนโกฏจักรวาล ก็ไม่สามารถประมาณได้
เบื้องต้น ของสัตว์ทั้งหลายที่ วนเวียนในกำเนิด ทั้ง๔ก็ไม่อาจกำหนดได้เช่นกัน
|
|
_________________ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน |
|
     |
 |
ทามทำธรรม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
07 ก.ค.2006, 6:53 am |
  |
เห็นด้วยกับหลายหลายความเห็นครับขอแทรกความเห็นส่วนตัวเพิ่มอีกว่าเป้าหมายของคำสอนในศาสนาพุทธนั้นดูเหมือนจะมีเพียงเรื่องเดียวคือทำอย่างไรจะพ้นทุกข์ตลอดไปเท่านั้นเอง เพราะจุดเริ่มต้นของการแสวงหาธรรมมะของพระพุทธองค์ก็คือเพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์เท่านั้น ดังนั้นหากใครมีเป้าหมายให้กับชีวิตตนไปในทิศทางเดียวกันนี้ ขอแนะนำให้ศึกษาและปฏิบัติให้ถึงแก่นคำสอนของพระพุทธเจ้าครับ เพราะพระองค์ทรงค้นคว้าแนวทางจนสำเร็จแล้วและยังถูกพิสูจน์มาโดยพระอรหันต์มานับไม่ถ้วนว่าทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้จริง แต่หากผู้ใดไม่มีเป้าหมายเพื่อการหลุดพ้นดังกล่าว เช่นอยากให้ชีวิตตนมีคุณค่ามากขึ้น มีคนเคารพบูชาหรือรักเรามากขึ้น อยากรวยมากขึ้น อยากมีมิตรสหายมากขึ้น ก็ไม่คิดว่าคำสอนบางส่วนของพุทธศาสนาจะแตกต่างหรือเหนือไปกว่าคำสอนศาสนาอื่นอื่นครับ คิดว่าไม่มีศาสนาใดดีไปกว่าศาสนาใด เพียงแต่เป้าหมายแท้จริงของแต่ละคำสอนเพื่อสิ่งใดเท่านั้นที่แตกต่าง ดังนั้นจะนับถืออะไรก็ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนอย่างจริงใจก่อนแล้วก็ทุ่มเทให้กับสิ่งนั้นดีกว่าครับอย่างบางคนเปลี่ยนศาสนาเพราะแฟนก็ยังมีเลย จะว่าเขาเขาก็ไม่ผิดก็เป้าหมายของเขาคือแฟนไม่มีสิ่งอื่นใด ส่วนความคิดผมเองมองหาทางพ้นทุกข์เป็นหลักเพราะรู้สึกว่าเคยอยากได้อะไรก็ตามเมื่อได้มาแล้วสุดท้ายก็ยังรู้สึกทุกข์อยู่อีก จึงขอปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ดีกว่าแม้นไม่สำเร็จแต่จิตบริสุทธิ์ขึ้นทำให้ทุกข์น้อยลงกว่าปกติก็ยังดี ลองฝากถามเพื่อนดูด้วยก็ดีครับว่าอยากศึกษาวิธีพ้นทุกข์หรือไม่ หากสนใจไม่ต้องเปลี่ยนศาสนาเดิมหรอกครับเพียงแต่อยากให้ค้นคว้าด้วยตนเองดูว่าแก่นแท้วิธีการปฏิบัติตนให้พ้นทุกข์นั้นต้องทำอะไร และตนปฏิบัติตามสิ่งที่ค้นคว้าเจอนั้นได้มากน้อยแค่ไหนให้ผลอย่างไร หากไม่ได้ผลเป็นเพราะยังไม่รู้วิธีการที่ถูกหรือปฏิบัติตามไม่ไหว
สำหรับคำถาม
"ศาสนาพุทธสอนว่าคนเกิดแต่กรรม เลยอยากถามว่าชาติแรกที่มนุษย์เกิดขึ้นนั้น กรรมอะไรที่ทำให้เข้าเกิด เพราะยังไม่เคยได้ทำอะไรเลย"
หากมองคำถามให้ดีดี มนุษย์ในคำถามนี้ย่อมหมายถึงกายมนุษย์โลกอันมีจุดเริ่มต้นหลังการเกิดของโลกและเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าเคยตรัส(ไม่ใช่คำสอนให้ปฏิบัติ)เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง ที่ว่ามีตัวตนเรียกว่าอะไรไม่ทราบมาหลงกินมวนดินหรืออะไรก็ไม่ทราบอีกเช่นกันแล้วเกิดการหลงติดทำให้รูปหยาบขึ้นพัฒนาเป็นกิเลสกลายเป็นเผ่าพันธ์มนุษย์นี้ขึ้นมา จึงเห็นได้ว่า ที่มาของตัวตนมนุษย์แรกก็มีเหตในคำอธิบาย แต่ยังไม่เคยได้ยินว่าพระองค์ตรัสถึงที่มาของตัวตนที่ไปกินมวนดินนั้นมีจุดเริ่มกำเนิดอย่างไร เชื่อว่าเพราะคนสมัยนั้นไม่มีใครถาม แต่ผมไม่สงสัยเพราะความเข้าใจว่าเป็นเรื่องของความไม่สิ้นสุดดั่งการถามหาดาวดวงแรกในห้วงอวกาศ ย่อมหาไม่มีวันเจอ แต่ถ้าเรากำหนดขอบเขตให้มันเช่นในขอบเขตอวกาศของสุริยจักรวาลนั้นเราก็อาจได้คำตอบคือดวงอาทิตย์ หรือสายน้ำที่กำลังไหลอยู่เราถามหาน้ำที่เป็นจุดเริ่มต้นของมันอยู่ที่ใดไล่ขึ้นไปจนถึงยอดเขาเจอต้นน้ำน้ำก็ยังไหลซึมมายังไม่เจอต้นน้ำแท้จริงอีก ไล่ไปไล่มาก็เจอมาจากสายฝนที่มาจากไอน้ำที่ระเหยมาจากหยดน้ำที่กระเซ็นมาจากธารน้ำดังกล่าวก็กลายเป็นว่าหาจุดเริ่มกำเนิดไม่ได้ ธรรมมะของพระพุทธเจ้าถึงไม่ได้เน้นสาระที่นอกเหนือสิ่งที่ไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ไงละครับตามความคิดเห็นส่วนตัวแบบค่อนข้างยาว ขออภัยหากทำให้เสียเวลาอ่าน  |
|
|
|
|
 |
กรีนเดย์
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 01 ก.ค. 2006
ตอบ: 9
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ค.2006, 1:15 am |
  |
เห็นด้วยกับคุณ ทามทำธรรม อย่างยิ่ง ค่ะ และข้อความของคุณไม่เสียวลาอ่านค่ะ  |
|
_________________ ธรรมะทั้งปวง เป็นอนัตตา |
|
    |
 |
ยุทธ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ค.2006, 3:00 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
เห็นตัวตนที่ไปกินมวนดินนั้นมีจุดเริ่มกำเนิดอย่างไร |
๔. อัคคัญญสูตร ( คัดมาบางส่วน )
ครั้นแล้วตรัสเรื่อง สมัยหนึ่งโลกหมุนเวียนไปสู่ความพินาศ สัตว์ทั้งหลายไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหมกันโดยมาก. เมื่อโลกหมุนกลับ ( คือเกิดใหม่ภายหลังพินาศ ) สัตว์เหล่านั้นก็จุติมาสู่โลกนี้ เป็นผู้เกิดขึ้นจากใจกินปีติเป็นภักษา ( ยังมีอำนาจฌาณอยู่ ) มีแสงสว่างในตัว ไปได้ในอากาศ ( เช่นเดียวกับเมื่อเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม ).
อาหารชั้นแรก
แล้วเกิดมีรสดิน ( หรือเรียกว่าง้วนดิน ) อันสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส สัตว์ทั้งหลายเอานิ้วจิ้มง้วนดินลิ้มรสดูก็ชอบใจ เลยหมดแสงสว่างในตัว เมื่อแสงสว่างหายไป ก็มีพระจันทร์ พระอาทิตย์ มีดาวนักษัตร มีคืนวัน มีเดือน มีกึ่งเดือน มีฤดู และปี. เมื่อกินง้วนดินเป็นอาหาร กายก็หยาบกระด้าง ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏ พวกมีผิวพรรณดี ก็ดูหมิ่นพวกมีผิวพรรณทราม. เพราะดูหมิ่นผู้อื่นเรื่องผิวพรรณ เพราะความถือตัวและดูหมิ่นผู้อื่น ง้วนดินก็หายไป ต่างก็พากับบ่นเสียดาย แล้วก็เกิดสะเก็ดดินที่สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส ขึ้นแทน ให้เป็นอาหารได้ แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายก็หยาบกระด้างยิ่งขึ้น ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏชัดขึ้น เกิดการดูหมิ่น ถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น สะเก็ดดินก็หายไป เกิดเถาไม้สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส ขึ้นแทน ให้กินเป็นอาหารได้ ความหยาบกระด้างของกาย และความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น เกิดการดูหมิ่น ถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น เถาไม้ก็หายไป ข้าวสาลี ไม่มีเปลือก มีกลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสารก็เกิดขึ้นแทน ใช้เป็นอาหารได้ ข้าวนี้เก็บเย็นเช้าก็แก่แทนที่ขึ้นมาอีก ไม่ปรากฏพร่องไปเลย ความหยาบกระด้างของกาย ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น. |
|
|
|
|
 |
|